|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ธรรมศาสตรพจน์
ธรรมศาสตรพจน์ รำลึกถึงท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
การกล่าวคำรำลึกถึงท่านผู้หญิงพูนศูข พนมยงค์นั้น พูดได้มาก เพราะท่านมีคุณความดีมาก หากเป็นการปิดทองหลังพระแทบทั้งนั้น จึงจำต้องนำข้อเท็จจริงนั้นๆ มาเผยแผ่ให้เป็นตัวอย่างกับมหาชน แต่คงทำไม่ได้ในเวลาอันจำกัดเช่นนี้ หรือจะกล่าวกลับกันก็ได้ว่า ไม่จำต้องสรรเสริญเยินยอท่านด้วยประการใดๆ เพราะท่านมีความดีพร้อม อย่างที่จะเรียกว่าบริบูรณ์ก็ได้ ท่านไม่อาฆาตมาดร้ายใคร ทั้งๆ ที่ท่านและสามีตลอดจนลูกชายคนโต และมิตรอีกมากหลายถูกเบียดเบียนบีฑามาอย่างเลวร้าย พร้อมๆ กันนั้นท่านก็รำลึกถึงคุณความดีของทุกๆ คน แม้จะไม่ได้ทำคุณกับท่านโดยตรงก็ตาม
สำหรับคำพูดของข้าพเจ้าในวันนี้ ณ ที่นี้ ในโอกาสเช่นนี้ ขอเสนอให้พิจารณาเพียง ๓ ประเด็น คือ
๑) การที่ท่านผู้หญิงไม่ได้รับเกียรติยศใดๆ จากชนชั้นบนของไทย ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตจนกาลอวสาน นั่นคือกิตติคุณที่สำคัญยิ่งสำหรับท่าน เพราะชนชั้นบนยกย่องแต่คนกึ่งดิบกึ่งดี ที่หน้าไหว้หลังหลอก หรือผู้ที่ปราศจากความเป็นเลิศแทบทั้งนั้น ท่านผู้หญิงพูนศุขมีความเป็นเลิศ และไม่ใยดีกับโลกธรรม ทั้งในทางบวกและในทางลบ แสดงว่าท่านเป็นพุทธสาวิกาที่แท้ สมดังคาถาท่อนก่อนจะสุดท้ายในมงคลสูตรที่ว่า จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว.......ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด นั่นเทียว
๒) กล่าวย่อๆ ได้ว่า ท่านผู้หญิงพูนศุข มีคุณวิเศษ เป็น ๓ ม. คือ ท่านเป็นเมียที่ดี เป็นแม่ที่ดี และเป็นมิตรที่ดี พูดกันจริงๆ แล้ว ยากจะหาแม่ที่ดีได้ และเมียดีก็หายากเช่นกัน ยิ่งมิตรดี ที่พระศาสดายกย่องว่าเป็นกัลยาณมิตรด้วยแล้ว นับว่าประเสริฐสุด แต่ละข้อในความทั้งสามนี้ อธิบายได้มาก หากใครก็ตามที่มีมนสิการ แล้วติดตามศึกษาจากชีวิตท่าน แล้วนำมาเป็นเยี่ยงอย่าง จักเป็นอุดมมงคลแท้ทีเดียว
๓) สำหรับสถาบันการศึกษาแห่งนี้ ท่านผู้หญิงไม่เป็นเพียงคู่ชีวิตของท่านผู้ประสาสน์การ ที่อุดหนุนจุนเจือกิจการงานของสามีอย่างจริงจังและจริงใจเท่านั้น หากเวลาท่านได้รับเชิญให้มาพูดกับเยาวชนที่มหาวิทยาลัยนี้ ท่านจะเตือนเขานั้นๆ เสมอ ให้เข้าใจอดีต ให้หาสัจจะจากอดีตให้ได้ เพราะอดีตของเราถูกบิดเบือน คนดีถูกใส่ร้ายป้ายสี มีแต่ความกึ่งจริงกึ่งเท็จเต็มไปหมด แม้ในตำราเรียนและในสื่อมวลชนกระแสหลัก ยกตัวอย่างเช่นพรรคประชาธิปัตย์นั้น เกิดขึ้นจากการที่หัวหน้าพรรควางแผนกับทหารบางกลุ่ม เพื่อทำรัฐประหารในปี ๒๔๙๐ เพื่อทำลายประชาธิปไตยและคณะเสรีไทย ที่กอบกู้เอกราชให้ชาติไทยมา และแล้วหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจภายหลังรัฐประหาร โดยที่คณะรัฐประหารเอาเขาเป็นหุ่นเชิดชั่วคราวเท่านั้นเอง ในขณะที่เลขาธิการพรรคจ้างคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า ปรีดีฆ่าในหลวง และแล้วคนๆ นั้นก็จะได้รับการเสนอชื่อจากรัฐบาลไทยในบัดนี้ ให้ยูเนสโกยกย่องเขาในระดับนานาชาติ ในโอกาสที่เขาจะมีอายุครบศตวรรษ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนกลิ้งกะล่อน และเห็นแก่ตัวอย่างสุดๆ ดังนี้ เป็นต้น
ความข้อที่ว่ามานี้ย่อมยากที่จะได้รับรู้กัน ถ้าคนรุ่นใหม่เข้าใจอดีต ตีความเท็จให้แตกไปจากความจริง เขาแต่ละคนจะมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ธรรมะจะเป็นศาสตราที่แหลมคม ซึ่งจะช่วยให้แต่ละคนอุทิศชีวิตเพื่อคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะก็ผู้ยากไร้ และแล้วแต่ละคนก็จะไม่เห็นการเมืองเป็นเรื่องของการฉวยโอกาส ของการเอารัดเอาเปรียบ ของการปลิ้นปล้อน หากจักเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของส่วนรวม ที่ต้องใช้จริยธรรมเป็นแกนกลางในการแบ่งปันผลประโยชน์ต่างๆ อย่างยุติธรรม โดยเฉพาะก็ผู้ยากไร้ ควรได้มากกว่าผู้ที่ร่ำรวย คนไร้อำนาจ ควรได้รับการดูแลยิ่งกว่าคนที่มีอำนาจ ต้องมีมาตรการการทางธรรมจักร มาคานอำนาจของอาณาจักร ให้เกิดความปกติและความชอบธรรม และให้แต่ละคนอยู่กินด้วยกันอย่างลดการเอารัดเอาเปรียบลงเรื่อยๆ โดยให้รู้จักอยู่กินกันอย่างบรรสานสอดคล้องกับธรรมชาติ
ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ จากพวกเราไปก่อนที่ประชาธิปไตยของไทยจะมีอายุครบค่อนศตวรรษ โดยที่ท่านได้ประจักษ์มากับตนเองเลยว่า การอภิวัฒน์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น ได้ถูกถีบ ถูกกระทืบ และถูกรังควานมาด้วยประการต่างๆ แต่สามีของท่านและกัลยาณมิตรในคณะราษฎรก็ได้ทนุถนอมสาระของประชาธิปไตยไว้ได้เป็นเวลาถึง ๑๕ ปี แม้เผด็จการจะคุกคามสยามยิ่งๆ ขึ้นทุกที โดยอาศัยขบวนการเสรีไทยของชนชาติสยามแทบทั้งหมด เราก็อนุรักษ์สาระแห่งประชาธิปไตยไว้ได้ โดยคงความเป็นเอกราชไว้อย่างสมภาคภูมิ และมีทีท่าว่าจะหยั่งรากลงลึกในทางวัฒนธรรมแห่งความเป็นประชาธิปไตย ที่มีคณะสงฆ์เป็นต้นกำเนิดเสียอีกด้วยซ้ำ ดังคำสนทนาของพุทธทาสภิกขุกับท่านรัฐบุรุษอาวุโสเป็นพยานแห่งการเปิดทวารของประชาธิปไตยแบบไทย ให้ไปพ้นการครอบงำของตะวันตกอย่างน่าสำเหนียกยิ่งนัก
แต่แล้วรัฐประหาร ๒๔๙๐ ก็ทำลายการงอกงาม และสกัดกั้นการเติบโตของประชาธิปไตยไทย ซึ่งตายอย่างสนิทพร้อมๆ กับการเถลิงอำนาจของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี ๒๕๐๐-๒๕๐๑ โดยมีศักดินาขัตติยาธิปไตยมาแทนที่ พร้อมๆ กับการสมาทานลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยม ในกำกับของจักรวรรดินิยมอย่างใหม่
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองตั้งขึ้น ณ วันที่ตรงกับวันประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองของสยามเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ ซึ่งแสดงเจตนารมณ์อย่างเปิดเผยและแท้จริง ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรชาวสยาม โดยที่อำนาจดังกล่าวได้ถูกยื้อแย่งไปจากราษฎรเรื่อยมา จนเกือบจะหมดสิ้นเสียแล้วในปัจจุบัน ถ้าอำนาจที่แท้ดังกล่าวกลับมาสู่ราษฎรชาวสยาม อย่างน้อยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องอยู่ในอาณัติของราษฎร ต้องเปิดเผย และโปร่งใส ไม่ใช่มีไว้เพื่อไล่ราษฎรตาดำๆ ดังกับสัตว์เดรัจฉาน เพื่อเอาที่ไปปลูกอาคารอย่างใหญ่ ให้กับคนรวยและบรรษัทข้ามชาติ เพียงเพื่อผลกำไรสำหรับใคร แต่ไม่ใช่เพื่อราษฎรนั้นแน่แท้ทีเดียว
มหาวิทยาลัยที่ว่านี้ เมื่อถูกตัดคำว่าการเมืองออกไป ก็กลายเป็นสถาบันอุดมศึกษา ที่ปราศจากความกล้าหาญทางจริยธรรม ที่ขาดการสอนสั่งให้เห็นอกคนยากไร้และเข้าใจพวกเขา ว่าสำคัญเท่ากับเรา หรือยิ่งกว่าเรา โดยวิถีชีวิตของเรา ที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเท่าไร ก็คือการเอารัดเอาเปรียบผู้ยากไร้และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเท่านั้น
ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อกลับไปเป็นมหาวิทยาลัยวิชาการธรรมศาสตร์และการเมือง เฉกเช่น ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ Thailand ไปเป็น Siam การเปลี่ยนชื่อจะได้ผล ก็ต่อเมื่อผู้คนพร้อมแล้วกับสาระแห่งชื่อนั้นๆ โดยพร้อมที่จะดำเนินชีวิตไปในทิศทางของความถูกต้องดีงาม แต่เป็นไปได้ไหม ที่ครูอาจารย์จำนวนหนึ่ง จะปลดปลอกคอออกจากตน ไม่ให้สยบยอมกับศักดินาขัตติยาธิปไตยหรือลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม เลิกตามก้นวิทยาการเป็นเสี่ยงๆ อย่างฝรั่งกระแสหลัก ที่มอมเมาเรามายาวนาน จนเราแลไม่เห็นองค์รวมแห่งชีวิต เป็นไปได้ไหมที่เราจะแสวงหาทางเลือกจากเศรษฐกิจทุนนิยม รัฐศาสตร์อำนาจนิยม และปรัชญาอัตตานิยม หรืออวิชชานิยม คงไม่ง่ายที่จะหันสถาบันการศึกษา ให้ออกจากมิจฉาทิฎฐิ แม้พวกนักวิชาการที่สมาทานลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ดัดจริตดีดดิ้นขนาดไหน หรือมีความจริงใจกันอย่างแท้จริง
เราต้องการเห็นสถาบันการศึกษาแห่งนี้ เดินไปในทางบวก แทนในทางลบ นั่นก็คือการกลับมาฟังถ้อยคำของท่านผู้หญิงพูนศุข ด้วยการเข้าใจอดีตให้ถูกต้อง เพื่อสลัดออกจากความกึ่งจริงกึ่งเท็จที่ครอบงำเราอยู่ รวมถึงความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์อันจอมปลอมต่างๆ นั้นด้วย
แนวทางธรรม สลัดออกเสียซึ่งอวิชชา เราจะเดินไปในแนวทางของธรรม คือความถูกต้องดีงาม จนธรรมะกลายมาเป็นศาสตราที่แหลมคม ไว้คอยทิ่มแทงอธรรมหรือมารร้ายในแนวทางที่เป็นของปลอมต่างๆ ได้ อย่างสันติวิธี ก็ต่อเมื่อเรามีเวลาให้ผู้ยากไร้ ฟังเขา คบกับเขา และร่วมมือกับเขา ยิ่งกว่าการคบกับพวกคนรวยและคนมีอำนาจ ซึ่งติดอยู่กับของปลอมแทบทั้งนั้น โดยที่วิทยาการกระแสหลักจากตะวันตกที่เราสมาทานกันมา ก็มาถึงจุดอุดตันแทบทั้งหมดแล้วด้วย
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะสลัดออกเสียซึ่งอวิชชา โดยหันมาหาความตื่น คือพุทธะ ตื่นจากความเห็นแก่ตัว ตื่นจากความมัวเมาในลาภยศอันจอมปลอม เลิกเน้นความวิเศษมหัศจรรย์ที่หัวสมอง หากหันมาหาหัวใจ ให้รู้จักใช้ภาวนามัยปัญญา ให้หัวใจสอนหัวสมอง ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เลิกอ้าขาผวาปีก เลิกแก่งแย่งแข่งดีกัน หากหันมาอุทิศชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ตามแนวทางของท่านผู้ประสาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งก็คือท่านที่ก่อกำเนิดให้กับการอภิวัฒน์ของสยามเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
ถ้ามีคนตั้งจิตอธิษฐานที่จะเดินตามหนทางเช่นที่ว่านี้ นี่จะเป็นการบูชาคุณท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และสามีของท่าน ตลอดจนกัลยาณมิตรทั้งหลายของท่าน ที่อุทิศตนให้กับการอภิวัฒน์ของสยาม อย่างเป็นการบูชาบุคคลที่ควรบูชา อันเป็นอุดมมงคลแท้ทีเดียว
ส. ศิวรักษ์ แสดง ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันพุธที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๐ จาก //www.midnightuniv.org
Create Date : 02 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 2 กรกฎาคม 2550 18:13:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 850 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|