นิยายอดีตรักเหมืองป่า บทที่ 31 ![]() ด้วยประสบการณ์จากการชุมนุมขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปีก่อน ทำให้ผมนึกสังหรณ์ใจว่า การชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คืนนี้ ท่าทางจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว การกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาลและบุคคลที่เกี่ยวข้องบนเวทีเป็นไปอย่างดุเดือด ในขณะที่รอบรั้วมหาวิทยาลัยด้านอก เสียงระเบิดพลาสติก เสียงตะโกนโต้ตอบดังขึ้นเป็นระยะ ๆ "ไอ้คอมมิวนิสต์ ไอ้พวกขายชาติ กูจะฆ่าพวกมึงเอาเลือดมาล้างตีน... เห้... เห้..." เสียงโห่ร้องตะโกนยั่วยุจากคนข้างนอกดังลั่น โปสเตอร์ต่อต้านพระถนอมและแผ่นป้ายประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐตามที่ต่าง ๆ ที่นักศึกษานำไปติดไว้ถูกรื้อทำลาย และนำไปเผาไฟข้าง ๆ กำแพงรั้ว ผู้ที่อยู่ใกล้เวทีปราศรัยในธรรมศาสตร์อาจจะไม่ได้ยินและไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนั้น เพราะโดนกลบด้วยเสียงปราศรัยบนเวที แต่ผมซึ่งเดินวนไปรอบ ๆ บริเวณที่ชุมนุมเพื่อสำรวจทางหนีทีไล่ได้ไปพบเห็นมาหมด เมื่อมองลอดรั้วออกไปทางฝั่งสนามหลวง ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างดุจกลางวัน ผมเห็นผู้คนทยอยมาสมทบกับผู้ที่กำลังส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ก่อนมากขึ้น บนถนนติดกับรั้วธรรมศาสตร์ใกล้ ๆ กับกองไฟที่คนพวกนั้นก่อขึ้น มีรถเก๋งตราโล่จอดอยู่สองสามคัน มันเอาแน่! ผมนึกในใจ แล้วผมก็เดินลัดเลาะไปด้านหลัง กะจะเดินไปหาทางออกแถวนั้น แต่ครั้นไปถึงก็เห็นประตูปิด ด้านนอกมีเด็กวัยรุ่นแต่งตัวคล้ายนักศึกษายืนออกันแน่นไปหมด ผมเริ่มใจเสีย พวกเพื่อน ๆ ที่ไปชักชวนผมมาก็ไม่เจอหน้าค่าตาใครสักคน แต่ก็คิดในใจว่าพวกเขาคงมีภาระหน้าที่อะไรสักอย่าง ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่เหล่านั้นควรกลับบ้านดีกว่า แต่จะออกทางไหน? แรกมาถึงที่ชุมนุมยังไม่มืด พอจับทิศทางถูกบ้าง แต่ตอนนี้ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว เดินวนไปรอบ ๆ หลายเที่ยวก็ชักหลงทิศ เพราะผมไม่เคยเหยียบรั้วธรรมศาสตร์มาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก... แม่น้ำเจ้าพระยา! ใช่... แม่น้ำเจ้าพระยา ผมนึกออกแล้ว ทางฝั่งตรงข้ามกับธรรมศาสตร์ คือท่าเรือพรานนก ในยามค่ำคืนผมกับสาวบัวเคยออกมานั่งมองแสงสีฝั่งพระนครด้วยความชื่นชมอยู่บ่อย ๆ ผมจะต้องเดินไปตั้งหลักทางนั้น และในที่สุดผมก็เดินไปถึงท่าน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นท่าน้ำพรานนกฝั่งธนบุรีอยู่ในเงามืดเยื้องห่างออกไปทางซ้ายมือ เมื่อเลี้ยวซ้ายเลียบริมฝั่งแม่น้ำไปบนสะพายไม้กระดานแคบ ๆ และต่อกันเป็นทอด ๆ ประมาณหนึ่งร้อยเมตร ก็ถึงท่าเทียบเรือ ซึ่งเงียบเหงาเหมือนบ้านร้าง มองลงไปริมแม่น้ำ เรือเล็ก ๆ สองสามลำถูกล่ามติดอยู่กับเสาหลักริมฝั่งโคลงเคลงไปมาตามแรงคลื่นที่เกิดจากเรือเร็วลำหนึ่งแล่นผ่านไป ผมเดินขึ้นมาจากท่าเทียบเรือมาถึงด้านนอก ซึ่งเป็นหัวมุมตึกท่าพระจันทร์ ผมก็ได้พบกับกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่ง เป็นพวกต่อต้านนักศึกษา มีอยู่ประมาณ 7-8 คน เมื่อพวกเขาเห็นผมเดินโผล่ออกไป ใครคนหนึ่งในกลุ่มนั้นก็ตะโกนถาม "เฮ้ย- -แกจะไปไหน" "กลับบ้าน" ผมร้องตอบ "เดี๋ยว ! หยุดก่อน" ว่าแล้วก็กรูกันมาที่ผมสามสี่คน ชายคนหนึ่งยึดชายเสื้อผมไว้ แล้วออกคำสั่งด้วยสุ้มเสียงที่ดุดันให้ผมยืนเฉย ๆ และบอกให้ชูมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ คนที่ตามมาทีหลังสองคนก็ลงมือตรวจค้นตัวผม พวกเขาช่วยกันค้นหาวัตถุต้องสงสัยด้วยการลูบคลำตั้งแต่ข้อเท้า ไล่ขึ้นมาถึงสะเอว ผลักไหล่ให้ผมหมุนตัวหันซ้ายหันขวาอย่างหยาบคาย... "นักศึกษาที่นี่หรือเปล่าวะ-มึง" ไอ้คนที่ล้วงกระเป๋าสตางค์ของผมออกมาตรวจค้นหาบัตรประจำตัวกระชากเสียงข่มขู่ "ไม่" ผมสั่นหัว "ไม่แล้วเสือกมาที่นี่ทำไม ไสหัวไป" ผมมองไปที่กระเป๋าสตางค์ของผมที่อยู่ในมือของเขา "ขอกระเป๋าผมคืน" "ไอ้สัตว์ ไปให้ห่างตีนกูเลย" "เอากระเป๋าผมคืนมาก่อน ผมไม่มีค่ารถ" "อ๋อ--" ชายคนนั้นสะแยะเขี้ยว "จะขอค่ารถเรอะ ได้ซี้- -นี้แน่ะ..." หมัดที่กำแน่นไม่รั่วลมของเขาที่ปล่อยออกมาช่างแม่นเหลือเกิน ตรงเข้าปลายคางของผมพอดี โป้งเดียวจอดครับ... ! พอฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยเข้าจมูกจนแทบสำลัก เพราะมันลากผมไปกองไว้ข้างถังขยะสกปรกที่ล้มคว่ำติดอยู่กับกำแพงธรรมศาสตร์ด้านนอกนั่นเอง เวลาผ่านไปสักครู่สติความจำของผมก็ค่อย ๆ กลับคืน ผมคลำหากระเป๋าสตางค์ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง... ไม่เจอ มันหายไปแล้ว พวกห่าเหวพวกนั้นก็หายไปด้วย แต่มีตำรวจ 2 นายเดินทื่อเข้ามา "มาทำอะไรแถวนี้" ตำรวจนายหนึ่งถามขณะผมยันกายลุกขึ้นนั่ง "ผมถูกทำร้าย" ผมบอกพวกเขา "อ้อ- - สมควรตาย" แล้วตำรวจทั้งสองนายนั้นก็เดินจากไป คล้ายกับว่าความเดือดร้อนของผมซึ่งพวกเขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด ความเคียดแค้นและความวิตกกังวลเทประดังเข้าสู่จิตใจผม ใจหนึ่งอยากจะวกกลับเข้าไปในธรรมศาสตร์อีกครั้ง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเป็นห่วงสาวบัว ป่านนี้คงคอยแย่แล้ว ค่ารถก็ไม่มี แล้วกูจะทำยังไงเล่าวะ...? ภายในสมองรู้สึกมึนงง คล้ายกับเพิ่งโดนหมัดเสยปลายคางเข้าไปอีกรอบ เดินซิวะ สองตีนนี่ไง มันเคยดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงเขายามาแล้ว ให้มันเดินฝ่าดงกรุงเทพฯเสียสักครั้งจะเป็นไรไป หลังจากนึกทบทวนหนทางไปมาอยู่ครู่หนึ่งผมก็ตัดสินใจออกเดิน และเดินเลียบซีกกำแพงวัดมหาธาตุฯทะลุออกหน้าสนามหลวงเลี้ยวซ้ายผ่านหน้าธรรมศาสตร์ ผ่านพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ มุ่งหน้าไปสะพานพระปิ่นเกล้า ขณะเดินผ่านผู้คนที่ยกพวกกันมาต่อต้านนักศึกษาในรั้วโดมแน่นขนัดอยู่ด้านนอก ก็ไม่มีใครหันมาสนใจผม เพราะคงคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับเขา เมื่อเดินอยู่บนสะพานพระปิ่นเกล้า ก็มีรถสายตรวจคันหนึ่งแล่นแซงขึ้นไปด้านหน้า และมีแสงไฟฉายส่องมาที่ใบหน้าของผม... ก่อนที่รถคันนั้นจะแล่นผ่านเลยไป "แท็กซี่ไหมพี่" ชายขับรถแท็กซี่ผู้ยืนเช็ดกระจกรถของเขาอยู่ริมถนนเลยตีนสะพานฯมาสักประมาณ 200 เมตร ร้องถาม เมื่อผมเดินผ่านไปใกล้ ผมโบกมือปฏิเสธ และบอกว่าเดินไปใกล้ ๆ แค่นี้เองพี่ ทั้งที่ความจริงมันยังเหลือระยะทางอีกตั้งไกล เพราะเมื่อผ่านมาถึงแถวนี้ผมก็พอจะจดจำสถานที่ต่าง ๆ ได้บ้างแล้ว ผมจึงเดินต่อไปโดยไม่ต้องเดาสุ่ม ถึงทางแยกเลี้ยวเข้าสู่ถนนอรุณอัมรินทร์ รถตุ๊กตุ๊กคนหนึ่งก็แล่นมาจอดข้าง ๆ ฟุตบาทที่ผมกำลังก้าวเดินอยู่ เสียงท่อไอเสียรัวตุ๊ก ๆ เหมือนใจผมเต้นรัว และปวดหนึบ ๆ ที่ต้นคอ เพราะพิษหมัดไม่รั่วลมของไอ้ถ่อยสถุลพวกนั้น คนขับตุ๊กตุ๊กคันนั้นชะโงกหน้ามาถามว่าไปไหน? "ไปซอยวัดดง" ผมตอบ "โหพี่ อีกตั้งไกล พี่เคยไปหรือเปล่า?" "ห้องเช่าของผมอยู่ที่นั่น" "อ้าว- -แล้วพี่มาจากไหน ทำไมถึงเดินมาล่ะ?" "ผมมาจากสนามหลวง พอดีกระเป๋าสตางค์หล่นหาย" ผมบอกความจริงไปครึ่งเดียว คือมาจากสนามหลวงจริง เพราะผมเดินผ่านมาทางนั้น แต่เรื่องอื่น ๆ จำต้องกั๊กไว้ เพราะไม่อาจไว้ใจคนแปลกหน้า... จนในที่สุดเขาก็ชวนให้ผมโดยสารไปกับรถตุ๊กตุ๊กของเขา "เดี๋ยวไปเก็บเงินปลายทางกับแฟนพี่ก็ได้" เขาให้เหตุผล ผมจึงก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะรถคันนั้น คิดในใจว่าเงินแค่ 30 บาท เมื่อไปถึงสาวบัวก็คงหมดปัญหา แต่ให้ตายเถอะ พอรถตุ๊กตุ๊กคันนั้นเลี้ยวเข้าไปในซอย และจอดลงตรงหน้าห้องพักของผมตามที่ผมบอก หัวใจของผมเหมือนจะหล่นไปอยู่ที่หัวแม่เท้าด้วยความตกใจ ประตูห้องพักหลังนั้นปิดงับกุญแจ! แสดงว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน "ห้องพักของคุณจริงหรือเปล่า?" ชายขับรกตุ๊กตุ๊กทำเสียงไม่พอใจ "ผมจะโกหกคุณไปทำไม" ผมว่า "แล้วไหนล่ะแฟนคุณ?" ชายคนนั้นกระชากเสียงจนผมรู้สึกน้อยใจ ตอนที่เชิญผมให้ขึ้นรถเขาพูดจาอ่อนน้อม แต่ครั้นผิดหวัง วาจากลับเปลี่ยนเป็นคนละคน "อย่าบอกนะว่า คุณเธอออกไปหาตังค์" เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะเยาะ "นี่คุณ- -" ผมชักเลือดขึ้นหน้า "จะพูดจาอะไรควรให้เกียรติผู้อื่นเขาบ้าง อย่ามองคนอื่นต่ำเกินไป ทั้งผมและแฟนมีงานมีการทำ และเราก็พักกันอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าเธอออกไปไหน เพราะตอนที่ผมออกไปเธออยู่ที่นี่... เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณคงจำบ้านหลังนี้ได้ พรุ่งนี้สาย ๆ คุณมาเก็บเงินได้เลย แม้ผมจะออกไปทำงานแต่ผมจะฝากเงินค่ารถของคุณไว้กับเจ๊บ้านนี้" ผมชี้ไปที่ห้องแถวที่อยู่ติดกัน ซึ่งกลางวันจะเปิดขายของชำเล็ก ๆ น้อย ๆ "ผมคงไม่เสียเวลาและเสียค่าน้ำมันฟรีอีกรอบหนึ่งหรอก" ชายคนนั้นพูดแล้วทำท่าจะสอดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อนำรถของเขาจากไป แต่สุดท้ายเขาก็ชะงัก เมื่อไฟฟ้าภายในร้านชำหลังนั้นสว่างขึ้น พร้อมกับประตูเหล็กด้านหน้าถูกแยกถ่างออกพอให้คนที่อยู่ข้างในเดินลอดออกมาได้ "อะไรกันละคุณ" อาโก แฟนของเจ๊เจ้าของร้านชำนั่นเอง เดินตรงเข้ามาถาม "ผมอาศัยรถเขามาครับ ว่าจะให้มาเก็บตังค์ที่แฟน แต่บ้านใส่กุญแจไม่รู้เขาออกไปไหน?" "อ้าว! แล้วไม่เจอกันหรอกรึ?" อาโกส่งเสียงร้องขึ้นอย่างตกใจ "เขานั่งฟังข่าววิทยุยานเกราะอยู่กับพวกผมที่นี่ สักพักก็บอกว่าเป็นห่วงคุณ จะไปตามให้กลับมา" คราวนี้ชายขับรถตุ๊กตุ๊กที่นั่งฟังผมกับอาโกถามไถ่กันอยู่บนรถ ก็ลุกเดินกลับมายกมือไหว้ขอโทษผม "ตอนแรกผมคิดว่าถูกคุณต้ม" เขาว่า "จริง ๆ นะครับ คนกรุงเทพฯเชื่อใจยาก ถ้าคุณบอกความจริงผมเสียแต่แรก คือ... ผมหมายถึงว่าคุณกลับมาจากม็อบ... เอ่อ... เพราะผมก็เกลียดถนอม-ประภาสเหมือนกัน" ************* |
บทความทั้งหมด
|