อดีตรักเหมืองป่า บทที่ 26 ![]() "...บ้านฉันอยู่สุราษฎร์ อยู่ในหลาดพรุพี (หลาด= ตลาด) พอพวกคอมฯมี ฉันหนีไปเขาศูนย์... เขาศูนย์คอมฯมี ฉันหนีไปพิปูน แล้วกลับกะทูน เพราะพิปูน-คอมฯก็มี... มาอยู่กะทูน ฉันอยู่ไม่ได้ พวกคอมล้อมนาย ฉันจึงย้ายหนี หนีมาบ้านส้อง อยู่เหนือคลองสบายดี ทำไร่หลายปี พอคอมฯมีหนีเลย... หนีจากเหนือคลอง มาอยู่ช่องช้าง ฉันทำงานจ้าง กรีดยางลุงเฉย พวกคอมฯเต็มบ้าน ลูกหลานป้าเชย (ป้าเชย= เมียลุงเฉย -- ผู้เขียน) ไม่อยู่แล้วเหวย ลุงเฉยก็คอมฯ... หนีจากช่องช้าง ไปทางเหมืองทวด เดินจนตีนปวด ร่างกายผ่ายผอม เห็นซากรถถัง ผุพังเพราะคอมฯ คนอ้วน-คนผอม แถวนี้คอมฯทั้งเพ... หนีมาเหมืองทวด ตีนปวดไม่ทันหาย พวกคอมล้อมนาย ฉันต้องย้ายแล้วเด้ --(ย้ายแล้วเด้ = ย้ายอีกแล้ว ) ย้ายไปกงตาก คอมฯมากทั้งเพ ขาด้วน-ขาเฉ ตาเหล่-ก็มี.... กงตาก กรุงชัง คอมฯยังเป็นร้อย ยิงนายตายบ่อย ฉันเลยถอยหนี (นาย= ทหาร,ตำรวจ,อาสาสมัครฯ) หนีออกห้วยมุด คอมฯอุดคอมฯตี กลับบ้านพรุพี คอมฯตีค่ายโคกแค... หนีไปพระแสง คอมฯนอนตะแคงสบาย หนีออกบางลาย เห็นคอมฯชายทอดแห คอมฯหญิงถือปืน ยืนยามคอยแล หนีเข้าลานเข้ คอมฯทั้งเพเหมือนกัน... คลองหนวน ยูงงาม คอมฯมากเหมือนผึ้ง กว่าถึงควนเริญ ฉันเดินจนน่องสั่น คลองตาล บ้านใหญ่ ก็เกือบไปเหมือนกัน พอดีหนีทัน แถวนั้นไม่ปลอดภัย... หนีออกเคียนซา คิดว่าคอมฯหาม่าย ( หาม่าย ,หาไม่ =ไม่มี ผู้เขียน) แต่ผลสุดท้าย ไปนอนอยู่กลางค่ายใหญ่ ฉันคนกลัวคอมฯ ตรมตรอมหัวใจ ไม่รู้หนีไปไหน เลยตัดสินใจเป็นคอมฯ... หือ หือ... "แหม-นุ้ย! ถ้าไม่ใกล้ชิดจนรู้ว่านุ้ยไม่ได้ฝักใฝ่เรื่องคอมฯ ก็จะไม่เชื่อเลยนะนี่" สาวบัวแหนหน้าขึ้นมองผมแล้วยิ้ม "จะเรียกว่าไม่ฝักใฝ่เสียทีเดียวก็ไม่เชิง เพราะถ้ายกขึ้นตาชั่ง - - ระหว่างคอมฯกับนาย ผมก็เลือกที่จะเทน้ำหนักไปทางคอมฯ" "อ้าว- -ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า?" สาวบัวถามขึ้นอย่างแปลกใจ "เพราะถ้าจะให้น้ำหนักว่าฝ่ายไหนเห็นแก่ประชาชนผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบมากกว่า ก็ต้องยกให้คอมฯ พวกเขาเสียสละ อุทิศตนเพื่ออุดมการณ์ ต้องการปลดแอกให้มวลชน ต้องทนนอนกลางดินกินกลางทราย ทั้ง ๆ ที่บางคนก็เป็นลูกเศรษฐี ครอบครัวมีฐานะ บางคนเป็นนักศึกษา มีความรู้ความสามารถ-อนาคตจะทำมาหากินอยู่ในเมืองได้อย่างสุขสบาย แต่สู้อุตส่าห์ละทิ้งความสะดวกสบายเหล่านั้นยอมเข้าป่า ขึ้นเขาไปจับปืน เพราะพื้นที่ข้างล่างไม่เหลือช่องว่างให้พวกเขาได้ต่อสู้ในแนวทางประชาธิปไตยที่แท้จริง" "แสดงว่า อนาคตข้าง หากต้องเลือกข้างเข้าจริง ๆ นุ้ยก็คงจะยืนอยู่ข้างฝั่งโน้น... อย่างนั้นใช่ไหม?" "ใช่" ผมตอบหนักแน่น "แต่จริง ๆ แล้วการทำงานให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าป่าขึ้นเขาเสมอไป อยู่ข้างล่างช่วยเป็นหูเป็นตา หรือไม่ก็คอยอำนวยความสะดวกให้กับสหายที่ลงมาเคลื่อนไหวในที่ราบ ก็ถือเป็นการช่วยเหลือผลักดันภาระปฏิวัติได้เหมือนกัน แต่มันอาจเสี่ยงลูกปืนมากกว่าอยู่บนเขาสักหน่อย เพราะโดดเดี่ยว ในขณะที่พื้นที่ข้างล่างหูตาของฝ่ายอำนาจรัฐมากมายเหมือนตาสับปะรด จึงอาจพลาดท่าเสียทีได้ง่าย ถ้าไม่รู้จักระมัดระวังตัว" "หลายคนจึงต้องขึ้นเขา?" "ใช่" ผมพยักหน้า "แต่ต้องถึงคราวจำเป็นจริง ๆ คือ-ต้องเป็น แดง จนไม่อาจปกปิดได้แล้วนั่นแหละ จึงควรที่จะขึ้นไปร่วมเคลื่อนไหวกับพวกสหายในป่า" "แต่ท่าทางน้องหมอน จะไม่คิดเหมือนนุ้ย" "นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นห่วง และกำลังคิดหาทางช่วยเหลืออยู่" อีกสองสามวันต่อมา ผมชวนสาวบัวกลับมาหมู่บ้าน... ซึ่งเดี๋ยวนี้เราสองคนไม่ต่างจากผัวเมียที่อยู่กินกันอย่างเปิดเผย ไปไหนด้วยกันเหมือนเงาตามตัว จนญาติพี่น้องทั้งสองฝ่ายไม่รู้สึกแปลกใจ แม่กับพ่อของผมก็วางเฉย ไม่ขัด และไม่ส่งเสริม แม้บางคืนสาวบัวจะมาค้างกับผมที่บ้าน ท่านทั้งสองก็ไม่ว่ากระไร ผมกับสาวบัวมาพักอยู่ที่หมู่บ้านสามสี่คืน แล้วก็กลับไปเหมือง ผมหยิบหนังสือธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสใส่ย่ามไปฝากหญิงหมอนสองสามเล่ม ทั้งหมดเป็นหนังสือชุดธรรมะกับการเมือง ที่ผมเห็นว่าเธอควรจะต้องเรียนรู้เสียก่อน ก่อนที่ความรู้เกี่ยวกับลัทธิการเมืองระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์จะพุ่งเข้ามาหาเธอในอนาคตอันใกล้นี้... อย่างแน่นอน ต้นเดือนพฤษภาคม 2519 ผมมีกำหนดจะต้องกลับไปรายงานตัว และลงทะเบียนเรียนวิชาครูปีการศึกษาที่ 2 ที่ วค. ซึ่งก่อนจะออกจากเหมืองสักวันสองวัน ผมก็ได้สอบถามความรู้สึกของหญิงหมอนที่มีต่อหนังสือธรรมะสองสามเล่มที่ผมนำมาให้เธออ่าน เพราะอยากรู้ว่าเธอมีความคิดเห็นอย่างไร พอจะมองสังคมมนุษย์ในสภาพที่ควรจะเป็นบ้างหรือยัง? "เป็นไปได้ยาก" เธอตอบ "ฉันว่าทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไปข้างหน้ามากเกินกว่าที่จะถอยกลับมาอยู่ในระดับนั้นได้แล้ว อิทธิพลของทุนนิยมสามานย์ครอบงำเสียจนไม่เหลือพื้นที่ว่างสำหรับผู้ที่ยึดถือแนวทางนี้แล้ว" "นอกจากอำนาจปืนขับไล่นายทุนและศักดินาให้หมดสิ้นไป- -ใช่ไหม?" "ใช่!" หญิงหมอนพยักหน้าตอบรับทันที "เมื่อวานฉันฟังบทความทางวิทยุเสียงประชาชน เรื่อง สองมือใครสร้าง-สองมือใครทำ แล้วรู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน... แต่ถึงอย่างไรก็ขอบใจนุ้ยมาก ที่เตือนสติ" "ผมกลัวหมอนจะผิดหวังภายหลัง" "กลัวรบไม่ชนะหรือ?" "นั่นไม่สำคัญ" "แล้วจะมีอะไรให้ผิดหวังอีกล่ะ ถ้าปฏิวัติสำเร็จ?" "หมอนต้องกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นอีกสักครั้งนะ" ผมชี้ไปที่หนังสือ ธัมมิกสังคมนิยม ที่วางอยู่บนหิ้งไม้ไผ่ ตรงหัวนอนของผม "เพราะคำสอนทั้งหมดมีอยู่ในนั้น... แต่ต้องอ่านช้า ๆ อย่ารีบ ระหว่างที่ผมยังไม่กลับไปเรียนหนังสือ มีอะไรสงสัยถามผมได้... แม้ผมจะไม่แตกฉานถึงขั้นพหูสูต แต่ก็พอจะเข้าใจบ้าง อย่างน้อยก็เข้าความหมายของคำยาก ๆ บางคำ ที่หมอนอาจจะไม่เข้าใจ และตีความไม่ออก" หญิงหมอนทำสีหน้าเบื่อ ๆ และพูดว่า "ไว้ว่างเมื่อไหร่ก็จะอ่านอีกรอบ นุ้ยกลับ วค.ก็ไม่ต้องเอากลับไป ทิ้งไว้ที่นี่แหละ" หญิงหมอนหมายถึงหนังสือทั้งหมดนั้น ผมพยักหน้า และกำชับว่า "ผมตั้งใจจะเอามาฝากหมอนอยู่แล้ว แต่ต้องพยายามหาเวลาอ่านให้ได้นะ" "รับรอง" เมื่อเห็นเธอรับคำหนักแน่น ผมก็รู้สึกโล่งใจมากทีเดียว เมื่อถึงวันเปิดภาคเรียน ผมก็จากสาวบัวและเพื่อน ๆ ในเหมือง จากพ่อ แม่ และน้อง ๆ ที่บ้าน เดินทางสู้รั้วการศึกษาถิ่นเก่า... การกลับมารายตัวต่อสำนักทะเบียนฯในวิทยาลัยฯรอบนี้ ทุกสิ่งอย่างปรกติ นอกจากหมดสิทธิ์จับฉลากเข้าพักหอใน เพราะเขาให้สิทธิ์แค่ 2 ปี พวกเรียนต่อ ป.กศ.สูง หรือพวกเรียนเกินเหมือนผม ต้องออกมาหาหอพักเอกชนเช่าอยู่ข้างนอก ข้าวปลาอาหารก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่ได้ผูกขาดกับโรงอาหารของ วค. เหมือนครั้งก่อน เพราะเขาวางระเบียบในการให้บริการไว้แค่นั้น แต่ผมก็ทำใจได้ เพราะรู้มาก่อนว่าต้องเป็นอย่างนั้น... การเรียนก็ยังเรียนกันแบบเดินหาห้องเรียนเหมือนเดิม พอหมดชั่วโมง ก็ชักแถวเดินสับเปลี่ยนห้องเรียนกันให้วุ่น แต่ก็สนุกดี ที่สำคัญก็เท่ากับได้สับเปลี่ยนบรรยากาศ ได้เอ็กเซอร์ไซด์ไปในตัว ลดอาการเบื่อหน่ายที่ต้องนั่งติดอยู่กับที่นาน ๆ เมื่อเดินสวนทางเจอเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนต่อระดับ ป.กศ.สูง ก็ทักทายพูดคุยกันด้วยความคิดถึง เพื่อนหญิงที่อยู่ในชุมนุมดนตรีการละครที่ผมเคยเลยให้ฟัง เจอหน้าผมที่ศูนย์ชุมนุมฯก็ว่า "ดูซิ-หน้าตาเหมือนเปรต- - มึงไปทำอะไรมา?" "เป็นคอมฯ" พูดแล้วผมก็หัวเราะ ฮา ฮา "ยัดแม่-ขืนทำปากดีไปเถอะ เที่ยวนี้มีหวังโดนไล่... เขาไม่สั่งพักแล้วแหละ" "ว่าแต่ ตอนที่กูไม่อยู่ พวกมึงได้ออกไปเล่นละครข้างนอกกันบ้างไหม?" ผมถาม "ไปเล่นกับผีนะสิ! ยัดแม่ มันหาว่าพวกเราในชุมนุมเป็นคอมฯเหมือนมึงนั่นแหละ" "อ้าว!" "ไม่อ้าว ไม่เอิ้ว อะไรทั้งนั้น เฉพาะใน วค.ก็ไม่ค่อยได้เล่น เพราะมันออกกฎเข้มงวด ห้ามเล่นหรือแสดงบทพาดพิงเรื่องการเมือง... หัวทอ- มึงคิดดู มีสิ่งใดบ้างที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง พวกกูเลยแกล้งเล่นกันแต่เรื่องระเด่นลันไดทั้งปี... ยัดแม่ คิดถึงมึงชิบหายเลยว่ะ" "เป็นงัย- -บทกูเหมาะกับระเด่นระตูนักหรือ... หัวทอ-เอ้ย" "ไม่ใช่ -- ถ้ามึงอยู่ มึงจะได้โวยวาย งัยเล่า... คนอื่นโวยวายไม่แสบไส้เหมือนมึง" มันว่า "เอ้อ - แล้วพี่คนนั้นด้วย.. พี่โสภาสที่เขียนบทให้เราท่องกันบ่อย ๆ น่ะ ถ้าแกอยู่ ก็คงน่าดูเหมือนกัน" ผมได้ยินเธอกล่าวถึงพี่โสภาสก็ปิดปากเงียบ ไม่อยากให้มีการซักไซ้ไล่ความต่อ จึงชวนเธอพูดคุยเฉไฉไปทางอื่น พอหายคิดถึงเราก็แยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของตน **************************************** |
บทความทั้งหมด
|