นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 9 ![]() ตอน : น้ำตาป้าพัว ป่าใหญ่ไพรกว้าง ยิ่งดึกยิ่งหนาว หยาดน้ำค้างหยดลงจากชายคาดังเปาะแปะไม่ขาดสาย ตรงระเบียงที่เราสองหลับนอนไร้ฝากั้น หากแต่ผ้านวมผืนใหญ่ที่ห่มคลุมก็ปิดกั้นความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านลงมาได้ชะงัด หม้ายสาวหลับอยู่ในอ้อมกอดของผมภายใต้ผ้าห่มผืนนั้นอย่างเป็นสุข จวบจวนรุ่งรางไก่ป่าโก่งคอขันถี่กระชั้น หล่อนจึงลุกกลับเข้าไปข้างใน ผมตื่นลุกจากที่นอนคว้าจอบเดินไปทำธุระส่วนตัวในป่าริมลำธารแต่เช้ามืด เมื่อกลับออกมาทุกคนก็ตื่นกันหมดแล้ว ลุงทองกับป้าพัวอุ้มเจ้าตัวน้อยลงมาก่อไฟผิงอยู่หน้าทับ สาวบัวก่อไฟหุงข้าวอยู่ข้างบน... หญิงหมอนคงไปทำธุระส่วนตัวหรืออาจไปล้างหน้าแปรงฟันที่ลำธาร ผมไม่แน่ใจ เหนือทิวเขาสลับซับซ้อนแลเป็นเงาลาง ๆ เบื้องทิศตะวันออก แสงเงินแสงทองฉาบทาขอบฟ้าสว่างแจ้ง ยอดไม้ไพรพฤกษ์ที่มองเห็นอยู่รายรอบ มีหมอกบาง ๆ ลอยเรี่ยเคลียคลออยู่อ้อยอิ่ง คล้ายหนุ่มสาวกำลังพลอดรักรำพันจนมิอยากพรากจากลา ในขณะที่นกป่าซึ่งอาศัยหลับนอนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ริมทับลุงทองก็พร้อมใจส่งเสียงร้องรับอรุณกันเจื้อยแจ้ว ผมเดินตรงไปที่กองไฟหน้าทับพร้อมกับคว้าท่อนไม้ท่อนเล็ก ๆ ที่วางอยู่แถวนั้นมารองนั่ง เจ้าตัวน้อยลูกสาวของสาวบัวซึ่งบัดนี้เธอคุ้นเคยกับผมมากขึ้น ก็วิ่งเข้ามาหา ผมอุ้มเธอนั่งบนตัก เอามือลูบเส้นผมอันอ่อนนิ่มเหมือนเส้นไหมของเธอเล่นเบา ๆ "หนาวไหมลูก?" เจ้าตัวน้อยส่ายหน้า "ไม่- - - หนา-ว" ทั้งที่จริงเธอหนาว มือไม้เย็นเฉียบ แต่เธอไม่ชอบเข้าใกล้กองไฟ เนื่องจากบางครั้งควันไฟโชยเข้าจมูกเข้าตาจนทำให้สำลักและเธอก็ร้องไห้ ครั้นได้ไออุ่นจากผมที่โอบกอด เธอก็ว่า "หา-ย หนา-ว- - แย้-ว" ลุงทองมวนบุหรี่ใบจากจุดสูบพ่นควันโขมง ในขณะที่ป้าพัวก็เคี้ยวหมากหยับ ๆ อยู่ในปากคล้ายจะให้มันช่วยผ่อนคลายความหนาวที่โอบล้อมอยู่รายรอบในขณะนั้น ผู้ชราทั้งสองนั่งผิงไฟเงียบเฉย มิเอ่ยปากพูดคุยอะไรกัน จนเมื่อผมเข้าไปร่วมวงไพบูลย์นั่นแหละ ทั้งคู่จึงหันมาสนใจและพูดคุยกับผม "อีบัวมันจะกลับบ้านด้วย" ลุงทองบอกผม และพูดต่อไปว่า "แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะเที่ยวนี้พวกลุงทิ้งบ้านมาหลายวัน อยู่ข้างหลังไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง" ป้าพัวขัดคอว่า "มันจะเป็นอาไร้ สมบัติพัสถานที่พอมีค่านอกจากหม้อข้าวหม้อแกง ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงกับเขาสักหน่อย " "เฮ่ย- -แกก็พูดเป็นบ้าไปได้" ลุงทองทำเสียงดุ "ก้อ-อ้ายเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้นั้นล่ะ ป่านนี้พวกแมลงสาบไม่แห่กันเข้าไปกัดแทะจนพรุนไปหมดแล้วเรอะ เห็นอีหมอนบอกว่าลืมใส่ยากันมดกันแมงอะไรนั่นไว้ด้วย... ไหนจะหญ้าข้างบ้านอีก ป่านนี้เถาปด เถาหมามุ่ยพวกนั้นคงจะทอดยอดเลื้อยเข้าไปถึงในครัวแล้วล่ะ..." ป้าพัวนิ่งไปครู่หนึ่ง แกอาจเป็นห่วงลูกสาวที่คิดจะเดินทางกลับไปบ้านพร้อมกับผมก็ได้ แน่ล่ะ! ถึงแม้เมื่อคืนสาวบัวจะไม่ลุกออกมานอนกับผมที่หน้าระเบียง หญิงชราก็ย่อมจะต้องระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้ว มีลูกสาวเป็นหม้ายใครบ้างจะไม่นึกเป็นห่วงและสงสารลูก อีกทั้งฐานะของตนหรือ-ก็ไม่อาจเทียบเทียมฝ่ายกับชาย... ป้าพัวคงไม่สบายใจกับเรื่องนี้แน่นอน? ผมคิด "ให้สาวบัวไปกับผมนั่นแหละดีแล้ว" ผมว่า "ผมจะได้พาไปตะกั่วป่า ไปหาซื้อชุดสวย ๆ ให้เจ้าตัวน้อยสักชุดสองชุด... เอาไหมลูก น้าจะเลือกซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้หนู" ผมก้มลงหอมแก้มเจ้าตัวน้อย ซึ่งเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมตาแป๋ว "มันจะไม่เอิกเกริกไปหน่อยหรือ?- นุ้ย" ป้าพัวหันไปบ้วนน้ำหมากใส่กอหญ้าข้าง ๆ แล้วพูดต่อ " ป้าไม่อยาก...เอ่อ... พ่อแม่เอ็งน่ะ... เขาจะว่าเอา" ผมหันไปมองลุงทอง ก็เห็นแกก้มหน้าสูดยาใบจากไฟแดงวาบ ก่อนจะปล่อยควันออกมาทั้งทางจมูกและปาก พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ "อยู่ในวัยเรียน มีหน้าที่เรียนหนังสือ อย่าริสัปดนไปยุ่งเกี่ยวเรื่องผู้หญิง" นี่คือคำสั่งอย่างคาดคั้นของแม่ผม ! ผมจำได้ทั้งน้ำเสียง ตลอดจนกิริยาท่าทางของแม่ตอนเรียกผมให้เข้าไปรับเงินใส่กระเป๋า ก่อนจะสะพายเป้เดินออกไปยืนรอรถสองแถวที่ถนนหน้าบ้าน เพื่อเดินทางไปยังสถานศึกษา ตั้งแต่ระดับมัธยมกระทั่งถึงรั้ววิทยาลัย แม่ก็ยังคงเน้นและย้ำเตือนแต่เฉพาะเรื่องนี้อยู่เสมอ ชะรอยแม่คงรู้ว่าลูกของแม่จิตใจอ่อนไหวง่าย... ถ้าหากพานพบหญิงไม่ดีก็คงจะแล้วกันไป แต่ถ้าวันหนึ่งวันใดเกิดไปพบเจอหญิงงามน้ำใจเข้า เขาก็คงจะลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น อนาคตการเรียนก็คงพังพินาศ "เรียนจบ-มีงานทำ และถ้าจะให้ดีก็บวชให้แม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองเสียก่อน จึงคิดจะมีลูกเมีย แม้หญิงคนนั้นจะยากดีมีจนอย่างไร ถ้านุ้ยรักนุ้ยชอบ แม่ก็จะรักจะชอบเธอเหมือนลูกของแม่คนหนึ่งเช่นกัน" แม่ของผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เวลาไปเยี่ยมคุณตาซึ่งอยู่ไกลกันคนละจังหวัด แม่ก็จะหอบหนังสือเล่มโต ๆ ที่พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ของแม่มอบให้ติดมือกลับมาด้วยเสมอ จนบางครั้งพ่อถึงกับล้อแม่ว่า "สมบัติบ้า ไม่รู้จะหอบมาให้หนักบ่าฉันทำไม" ทั้งนี้ก็เพราะภาระอันหนักอึ้งของกล่องใส่หนังสือเหล่านั้นก็มักจะตกอยู่กับบ่าของพ่อเสียทุกคราว... ก็คงเป็นเพราะแม่เป็นคนชอบอ่านหนังสือและชอบศึกษาหาความรู้จากตำรับตำราต่าง ๆ อยู่เสมอนี้เอง แม่จึงเป็นคนหูตากว้างขวางต่างจากหญิงเพื่อนบ้านในขณะนั้นหลายคน การเจรจาพาทีกับใครก็มักเป็นไปในทำนองเอาการเอางาน ไม่เพ้อเจ้อไร้สาระ กระทั่งเพื่อนบ้านพากันเกรงอกเกรงใจไม่ใคร่คิดจะตอแยด้วย ซึ่งผมคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นข้อเสียของแม่อย่างหนึ่งก็ได้ เพราะมันเหมือนกับคุณสมบัติที่ดีที่แตกต่างไปจากผู้อื่นนั้น ได้ปิดกั้นส่วนที่ประเสริฐเลิศล้ำภายในจิตใจของตน ทำให้ผู้อื่นมองเห็นยาก ทว่าผมเป็นลูก ไหนเลยจะไม่รู้ซึ้งถึงน้ำใจของแม่ตน ผมจึงพูดให้ผู้ชราทั้งสองคนคลายวิตกว่า "อย่ากังวลกับแม่ของผมเลยครับ แค่ลุงกับป้าเข้าใจผม ไม่คิดว่าผมหมิ่นน้ำใจก็เป็นพระคุณที่สุดแล้ว สำหรับแม่-ผมพูดให้ท่านเข้าใจเราได้ไม่ยากหรอกครับ" "ถึงเอ็งจะยืนยันอย่างนั้นก็เถอะ ป้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้... อีบัวมันอาภัพ" ป้าพัวพูดได้แค่นั้น น้ำตาก็ไหลพรากลงข้างแก้ม เมื่อหันไปทางลุงทองผัวของนาง ก็เห็นแกเอาแต่สูดยาใบจากพ่นควันโขมง จึงแทนที่ผมจะพลอยเศร้ารันทดไปกับความรู้สึกของป้าพัว ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกขำเมื่อไพล่คิดไปว่า ชะรอยลุงทองคงเกรงจะพลาดผมเป็นลูกเขยเสียมากกว่า ก่อนผมกับสาวบัวจะออกเดินทาง หญิงหมอนจับเจ้าตัวเล็กขึ้นไปอุ้ม หอมแก้มซ้ายขวา พร้อมพูดหยอกล้อกับหลานว่า "อยู่กับน้าหมอนที่นี่แหละ ปล่อยให้แม่กับพ่อไปกันสองคนก็พอ เราไม่ต้องตามไปกวนเขาหรอก" ผมได้ยินแล้วสะอึก ในขณะที่เจ้าตัวเล็กดิ้นเร่า ๆ "ไม่ --อาว เค้า จา ไป- ต๊วย-ย" หญิงหมอนหันมามองหน้าผมแล้วยิ้ม หากแววตาคู่นั้นปราศจากริ้วรอยหม่นเศร้า ผมก็คงคิดว่ายิ้มของเธอ คือยิ้มแห่งความปีติสุขแน่เลยทีเดียว แต่นี่กระไรได้... แม้หล่อนจะส่งยิ้มอันหวานชื่นเช่นนั้นมาให้ ผมกลับไม่กล้าสนองคืนเสียด้วยซ้ำ "แล้วผมจะซื้อของฝากให้มากับสาวบัว หมอนอยากได้อะไรบ้างล่ะ?" เป็นถ้อยคำที่ผมคิดว่าดีที่สุดที่ผมพูดออกไป... เพราะก่อนจากลา ผมไม่อยากพูดคำว่าลาก่อน...กับหล่อน อีแม่สาวผู้มีแววตาอาบซับความหม่นเศร้ายังคงฝืนยิ้ม "ขอเป็นสิ่งเดียวกับที่นุ้ยคิดจะซื้อให้พี่บัว - ได้ไหม?" ผมพยักหน้า "ตกลง-ผมจะซื้อแหวนทองหมั้นไว้ทั้งคู่เลย" ครานี้สาวเจ้าถึงกับยืนตาค้าง คงเพราะคิดไม่ถึงว่าผมจะบ้าพอที่จะพูดออกมาเช่นนั้นได้ ลุงทองนั่งอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะ ฮา ฮา "ของลุงขอกัญชาสักขีดสองขีดก็พอ" แกว่าแล้วหันมาทางลูกสาวคนโต "ว่าแต่ อีบัว-มึงแอบซุกมาให้ดี ๆ อย่าให้ตำรวจมันจับได้-นาเว้ย..." สาวบัวหันไปค้อนผู้เป็นพ่อพลางรับเจ้าตัวน้อยจากหญิงหมอนขึ้นไปอุ้ม และหันหน้ามาทางผม "เราไปกันเถอะ" หล่อนว่า ผมยกมือไหว้ว่าที่พ่อตาแม่ยาย กระทั่งหันมาทางหญิงหมอน เห็นหน้าเศร้า ๆ ของหล่อนแล้วอยากจะตรงเข้ากอดรัดเสียให้ขาดใจตาย... หากเพียงแต่คิด ก็รู้สึกว่าความว้าวุ่นประเดประดังขึ้นมาจนแทบทรงกายไว้ไม่ไหว "ปิดเทอมแล้วผมจะรีบกลับมา" ผมพูดได้แค่นั้น แล้วก็รีบสาวเท้าลงจากกระไดทับด้วยความจงใจที่จะหนีออกมาให้เร็วที่สุด... ซึ่งกว่าจะตั้งสติได้ ผมก็ทอดย่างทิ้งห่างสาวบัวที่กำลังอุ้มลูกสาวเดินตามหลังมาเสียไกลลิบ **************************************** เข้ามาอ่านเจิมเลยครัยหลวงเส
โดย: panwat
![]() นายไข่นุ้ยกำลังคิดเหยียบเรืองสมองแคม...ชีวิตนายไข่นุ้ยเวลานี้น่าติดตามดูเสียแล้ว เห็นท่าแม่จะไม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองอย่างที่ว่า....เสร็จแน่บ่าว...คอยแลต๊ะ
![]() โดย: panwat
![]() ![]() โดย: KeRiDa
![]() โดย: KeRiDa
![]() โดย: KeRiDa
![]() ![]() [ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย] อัฟblogตั้งแต่เมื่อวานมัวแต่ยุ่งเสียตลอดวัน เลยต้องมาเยี่ยมเอาวันนี้ ขอให้มีความสุขนะคะคุณหลวงเส โดย: เกศสุริยง
![]() ![]() โดย: เกศสุริยง
![]() ![]() แวะมาทักทายคุณหลวงเสค่ะ
เรื่องนี้อ่านเพลิน ได้บรรยากาศธรรมชาติ (ติดเรทบ้างนิดๆๆๆ) 5555+ สุขสันต์วันหยุดยาวของเมืองไทย ขอให้ได้พักผ่อนเยอะๆ นะคะ โดย: diamondsky
![]() ![]() ![]() เข้ามาทักทายด้วยความคิดถึงนะค่ะ อาการแพ้คีโมดีขึ้นมากแล้ว พฤหัสนี้ก็ต้องไปรับยาต่อ น่าเบื่อเนอะ อ๋อ..ขอบคุณ สำหรับกำลังใจที่มีให้ต้อยด้วยนะค่ะ โดย: KeRiDa
![]() ![]() เกศสุริยง แวะมาขอบคุณที่แวะไปเฝ้าบ้านให้ กลับมาประจำการดังเดิมแล้วค่ะ กลับจากเที่ยวครั้งนี้ น้ำหนักขึ้นมาก ก็ทุเรียนตลอดข้างทางกินกันจนตัวร้อนเลย อิอิอิ สบายดีนะคะคุณหลวงเส โดย: เกศสุริยง
![]() ![]() โดย: เกศสุริยง
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|