The Notebook ..... ปาฏิหาริย์บันทึกรัก
The Notebook ( รักเธอหมดใจ....ขีดไว้ให้โลกจารึก ) 3ดาว.....
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ผมนับวันรอคอยชมมานานพอสมควร หลังจากที่ได้อ่านหนังสือชื่อเดียวกัน ของ นิโคลัส สปาร์ก ซึ่งเป็นงานเขียนที่ใครบางคนบอกว่า มันไร้พลอต ทั้งเรื่องมีแต่พร่ำบอกกันว่า "ฉันรักคุณ " โดยปราศจากเหตุการณ์ เงื่อนไข และแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไป แต่ด้วยความซาบซึ้งในเงื่อนไขของความรักของตัวละคร และความไพเราะของบทกวีในหนังสือ ซึ่งได้คุณจีรนันท์ พิตรปรีชา มาเป็นคนแปลและเรียบเรียงให้ ทำให้หนังสือ โนตบุค เป็นหนังสือที่น่าดื่มด่ำ กินใจ อ่านแล้ววางไม่ลงต้องอ่านรวดเดียวจบและขึ้นหึ้ง หนังสือเล่มหนึ่งในดวงใจไปเรียบร้อยแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังเป็นหนังสือที่ผมมักจะนิยมซื้อหาเป็นของขวัญให้เพื่อนๆอยู่เนืองๆ
เรื่องราวเกิดขึ้นภายใน สถานพักฟื้นคนชราแห่งหนึ่ง ชายชราคนนึงเพียรพยายามแวะเวียนไปหาหญิงชราคนหนึ่ง เพื่อจะไปอ่านอนุทิน(สมุดบันทึก)ให้กับหญิงชรา ซึ่งป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ ฟัง หลายครั้ง หญิงชราเริ่มมีอาการดีขึ้น บางครั้งก็แย่ แต่เขาก็ไม่เคยท้อถอย แม้แพทย์จะพร่ำบอกเสมอว่า อาการอัลไซเมอร์ของหญิงชราคนนี้ ไม่มีทางรักษาหาย และไม่มีวันดีขึ้น มีแต่จะแย่ลงแย่ลง จนถึงขั้น จำทุกสิ่งไม่ได้เลย
เรื่องราวในสมุดบันทึก ย้อนไปในยุคปี40 เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 1947 ของชายหนุ่มชนบทฐานะยากจน ชื่อโนอาห์ และ ลูกสาวเศรษฐีจากในเมือง ซึ่งมาเที่ยวพักผ่อนในชนบท ชื่อ แอลลี่ย์ ทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งฐานะ การศึกษา นิสัยใจคอ แต่แล้วทั้งสองก็มีใจให้กัน ความรักของทั้งคู่สุกใส เหมือนพลุที่ยิงขึ้นสู่ฟากฟ้า จวบจนกระทั่งซัมเมอร์ใกล้จบสิ้นลง ทั้งคู่ก็ถูกพรากจากโดยครอบครัวของฝ่ายหญิง ซึ่งมองว่า โนอาห์ ยังไม่ดีพอสำหรับลูกสาวตน
โนอาห์ เพียรพยายามเขียนจดหมายรักหา แอลลี่ย์ แต่ก็โดนกีดกัน สุดท้ายเขาจึงตัดใจไปทำงานในเมือง ก่อนจะออกไปร่วมรบสงครามโลกครั้งที่1 และกลับมาฐานะทหารผ่านศึก และได้ทำตามความฝันของตน คือบูรณะบ้านโบราณหลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองเคยมีความหลังกัน ให้ออกมาเป็นแบบที่สัญญากะแอลลี่ย์ไว้
มีภาพข่าวลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น แอลลี่ย์ ซึ่งกำลังจะแต่งงานกับ รอน (พ่อหนุ่มไซคลอป-หนุ่มที่ทั้งหล่อ รวย การงานดี ที่สำคัญรักเธอ ) แอลลี่ย์ จึงกลับมาตั้งคำถามหัวใจตัวเองอีกครั้งว่า จริงๆแล้วในหัวใจเธอ เลือก โนอาห์ หรือ รอน กันแน่ เพื่อตรวจสอบหัวใจตัวเอง เธอจึงขออนุญาติแฟน ขับรถกลับไปเมืองเล็กๆ เมืองที่เธอเคยมีความทรงจำ เพื่อจะหา โนอาห์ อีกครั้ง หลังจาก ขาดการติดต่อกันไปร่วม10ปี
รู้สึกผมจะเล่าเรื่องมากเกินไปแล้ว เด๋วคนที่ยังไม่ได้ดูด่าผมตายเลย แต่ไม่ต้องห่วง ทั้งหมดนี่ ไม่สปอย ฮิฮิ ตัวหนังกับหนังสือมีจุดที่ต่างกันหลายจุดทีเดียว น่าเสียดายที่บางจุดที่ผมว่าดีๆในหนังสือ กลับไม่ถูกยกมาในหนังเท่าไหร่ อาทิเรื่องของความซาบซึ้งในบทกวีวิตแมน ของตัวพระเอก หรือเรื่องพรสวรรค์ในการวาดภาพของแอลลี่กลับไม่ถูกขับเน้น เท่าที่ควร ฉากเลิฟซีนส่วนใหญ่ในหนังสือถูกตัดทอนออกไปหมด ทำให้เรื่องราวความรักของโนอาห์และแอลลี่ในหนัง เป็นความรักที่ค่อนข้างใสซื่อและบริสุทธิ์ แม้แต่รายละเอียดเล็กๆอย่างเช่นภาพวาดของแอลลี่ตอนวัยรุ่น ที่พระเอกเก็บไว้ในห้องนั่งเล่นของบ้าน (รู้สึกถ้าจำไม่ผิด ฉบับหนังใหญ่จะละเลยตรงนี้ ) ซึ่งเป็นจุดเล็กๆที่ทำให้รู้ว่าทั้งคู่มีความหมายต่อกันมากแค่ใหน จะว่าไปแล้วก็มีอีกหลายจุดที่ถูกเสริมขึ้นมา และตัดทอนลงไป แต่อย่างไรก็ดี ธีมหลักของหนังก็ไม่ได้แกว่งหรือเพี้ยนออกไปจากในหนังสือ ผมชอบฉากที่พระเอกชวนนางเอกนอนกลางถนนยามดึก แล้วมองดูการเปลี่ยนแปลงของไฟแดงไฟเขียวนะ ฉากง่ายๆแค่นี้ทำให้คนดูสามารถเข้าใจ ความแตกต่างของคาแรคเตอร์ พระเอก นางเอก ได้อย่างแจ่มชัด (พระเอก มีอิสระเสรี อยากทำไรก็ทำ เอาตัวเองตัดสิน ขณะที่นางเอก ทุกอย่างอยู่ในกรอบ ในกฏ ทุกอย่างต้องแคร์คนอื่น แคร์พ่อแม่ แคร์คนรอบข้าง โดยไม่แคร์หัวใจของตัวเอง ) ซึ่งคำถามสุดท้ายของพระเอกคือ แล้วตกลง ชีวิตเธอ เธอต้องการอะไรกันแน่??
หนังเปิดฉากอย่างสโลโมชั่น ที่ ผู้ชายพายเรือแคนูท่ามกลางอาทิตย์อัศดง ไปตามสายน้ำ สายน้ำที่น่าจะเป็นสายเดียวกับที่โนอาห์พาแอลลี่ไปชม ความงามของฝูงนกเป็ดน้ำ(หรือนกไรจำไม่ได้) ก่อนจะล่องมาถึงบ้านพักคนชรา มองขึ้นไป เห็นหญิงชราคนนึง กำลังทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ฝูงนกสีขาวกำลังบินผ่านไป พอย้อนกลับมานึกแล้วน่าขนลุก บ้านพักคนชราหลังนี้ คือหลังเดียวกับบ้านโบราณ ริมน้ำ ที่เป็นบ้านแห่งความหลังของโนอาห์ กะแอลลี่ (หรือเปล่า ??)
หลังจากนั้น หนังก็ตัดสลับเหตุการณ์ ระหว่างปัจจุบัน กับอดีต ซึ่งทำได้กลมกลืน การแสดงที่พอเหมาะ และเป็นธรรมชาติทั้งคู่พระนางวัยหนุ่มสาว และวัยชรา ทำให้ผมรู้สึกเชื่อไปตามเหตุการณ์ และภาพในหนังที่ดูจนจบ ทำให้เกือบจะลืมเหตุการณ์ในหนังสือไปแทบจะหมด เสียดายบางจุดอย่าง ภาพในช่วงสงครามซึ่งไม่ค่อยจะมีประโยชน์กับเรืองราวสักเท่าไหร่ ไม่ดูโรแมนติก (เมื่อเปรียบเทียบกับฉากสงครามในหนังเกาหลีเรื่อง The classic ซึ่งเป็นหนังแนวใกล้เคียง แต่ทำฉากรบออกมาได้ดูโรแมนติกมากกกก )
มีคนบอกว่าหนังเรืองนี้เป็นหนังแนว tear jerker (บีบน้ำตา) แต่ผมคิดว่า หนังไม่พยายามเร้าอารมณ์มากมายขนาดนั้น แต่ความซาบซึ้งตื้นตันมันออกมาจากตัวเรื่องราวเองมากกว่า และการแสดงของตัวละครโดยเฉพาะคู่พระนางวัยชรา ก็มีส่วนอย่างมาก ที่ทำให้คนดูรู้สึกเต็มตื้นจนต้องหลั่งน้ำตา ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์ของหนังเมโลดราม่าอยู่แล้ว มันจะผิดตรงใหนฟะ
แม้รายละเอียดหลังแต่งงานจะถูกตัดทอนออกไป อย่างไรก็ดี ผมก็ดีใจมากที่หนังหาทางออกให้กับฉากจบ ได้อย่างสวยสดงดงามมาก ถือว่าดีกว่าที่คิดไว้ แล้วก็อาจจะดีกว่าในหนังสือซะด้วย เป็นภาพที่งดงามมาก แล้วก็ทำให้หนังที่น่าจะจบอย่างโศกนาฏกรรม กลายเป็นสุขนาฏกรรมที่แสนจะโรแมนติก อาจจะเป็นความรักและเรื่องราวในอุดมคติไปบ้าง แต่ใครบ้างจะไม่อยากมีความฝันอันแสนหวาน ภายใต้กรอบจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า ท่ามกลางความมืดแห่งนี้ ดูแล้วก็อยากจะมีความรักที่สวยงามแบบ คู่พระเอกนางเอกในหนังเรื่องนี้บ้างจัง
ป.ล. ก็อปมาจากรีวิวหนังเก่าๆที่เคยไปแปะไว้ในป็อปคอร์นแม๊ก เห็นตัวเลขคนคลิกอ่านเกินพันครั้ง ก็รู้สึกอายๆเหมือนกันแฮะ รู้ตัวว่าเขียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มีคนมาอ่านเยอะก็ปลื้มเหมือนกันแฮะ