Letters from Iwo jima - Time - Paprika ..... คุยหนังนอนดูที่บ้านกันดีกว่า
.................................เมื่อวานวันหยุดก็กดตังแล้วก็ไปตระเวณจ่ายหนี้ ไม่น่าเชื่อวันเดียวหมดไปเกิน20000บาท เฮ่อ ชีวิตหนี้ของมนุษย์เงินเดือนจริงๆเลยนะเนี่ย มาบวกลบคูณหารดูสิครับ จ่ายหนี้บัตรเครดิตสามที่ หนี้เพอร์ซันนัลโลนอีกเจ้านึง ก็ปาเข้าไป หมื่นสองแระ ค่าเช่าบ้านอีก8พัน ที่เหลือก็ช็อปปิ้งอีกประปราย ห้าหกร้อยเห็นจะได้ เบ็ดเสร็จก็หมดไปสัก 20600 ได้มั้งครับโดยประมาณ วันเดียวเองนะนั่น ... กลับมาถึงบ้านเพลียเลย สงสัยเพราะจ่ายเงินเยอะไปหน่อย แต่ก็เก็บภาพมาได้พอสมควรนะครับเมื่อวาน ก็ไม่มีอะไรเด่นๆหรอกครับ ก็เป็นภาพเบี้ยบ้ายรายทาง เจออะไรแปลกๆก็เก็บภาพมา เด๋วจะค่อยๆจัดหมวดหมู่แล้วค่อยเอาโพสท์ตามที่ต่างๆทีหลัง อ้อ เมื่อวานไปตัดผมมาด้วยครับ
.................................สองวันที่ผ่านมาดูหนังไปสามเรื่องครับ ไม่ได้ออกไปโรงหนังเพราะรู้สึกว่าไม่มีหนังน่าดูเท่าไหร่ Children of glory คงต้องแล้วแต่ดวง ถ้าอาทิตย์หน้ายังเหลือรอบฉายอยู่และโชคดีมีเวลาอาจจะได้ไปดู ( แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้นี๊ดไปดูเท่าไหร่ ) ส่วนบอดี้ศพ 19 ก็รู้สึกเฉยๆเกินกว่าจะต้องตะลีตะเหลือกไปดูรอบพิเศษ เอาไว้รอหนังเข้าฉายจริงค่อยแวะไปดูก็ได้ ช่วงนี้หนังเช่ามีหลายเรื่องน่าสนใจมากเลย จะหยิบมาเยอะเรื่องก็กลัวจะดูไม่หมด ได้มาสามเรื่องงวดนี้ก็เด็ดดวงทั้งนั้น ไม่คิดว่าจะมีให้เช่า เรื่องแรกที่หยิบดูก็เป็นหนังอนิเมชั่นเรื่อง Paprika ผลงานล่าสุดของ ซาโตชิ คง ( millenium actress - ยังไม่ได้ดู / Tokyo godfather - A ) ผมว่างานนี้อ.คงแกไปซะไกลสุดกู่เลย หนังแฟนตาซีมาก แล้วก็เล่าเรื่องได้ซับซ้อนและก็ค่อนข้างยากในการติดตามพอสมควร หนังเรียกร้องความตั้งใจจากคนดูมากๆครับ สารภาพตรงๆเลยผมเองก็ไม่เก็ตเรื่องราวเท่าไหร่ แต่ชอบไอเดียของมันนะครับ และคงจะมีแต่อนิเมชั่นญี่ปุ่นเท่านั้นแหละที่เล่นเรื่องราวพวกปรัชญาหรืออภิมหาไอเดียแนวๆนี้ได้ ...
................................หากว่าเทคโนโลยีก้าวหน้าขนาดว่ามนุษย์เราสามารถควบคุมความฝันของมนุษย์ด้วยกันได้แล้วไซร้ คุณว่ามันจะเป็นยังไงครับ มันจะได้มากกว่าเสีย หรือเสียมากกว่าได้กันเอ่ย ? โดยฝ่ายนางเอกเป็นกลุ่มคนที่พัฒนาตรงนี้ขึ้นมาเพื่อจะนำเทคโนโลยีการเข้าถึงความฝันมาใช้กับผู้ป่วยจิตเภท แต่ทว่าเทคโนโลยีอันนี้กลับหลุดไปสู่คนร้ายซึ่งไม่รู้ว่าจะเอาเทคโนโลยีอันนี้ไปใช้ในทางเลวแบบใหนกัน ? ถ้าหากว่าเราหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งความฝันทั้งที่ยังตื่นอยู่ และถ้าหากว่าเราไม่สามารถออกจากโลกแห่งความฝันได้แล้วไซร้เราจะแยกโลกแห่งความจริงกะโลกแห่งความฝันได้อย่างไรกัน ? ฟังดูยังกะ Matrix เลยเนอะ แต่เปล่าหรอกครับ มันซับซ้อนกว่านั้นอีก ( ฮา ) หนังมีฉากฝันซ้อนฝัน แล้วก็ฝันของคนนึงไปทับซ้อนอีกคนนึง ใหนจะโลกจริงกะโลกฝันทับซ้อนกันอีก โอ๊ย สนุกสนานไปกันใหญ่ ฮิฮิ .... ดูจบแล้วมึนส์ไปพอสมควรครับ ประหนึ่งซดช้างไปสักขวดครึ่ง ... สรุปให้สองดาวกว่าๆ
................................Letter From Iwojima หนังคู่ขนานกับ Flag of father หนังของปู่คลิ้นท์ อิสท์ วู๊ด คือปีที่แล้วปู่แกเฮี้ยน ก็เลยทำหนังสงครามฟอร์มยักษ์ขึ้นมา2เรื่องซ้อน เหตุการณ์เดียวกัน แต่เวอร์ชั่นนึงเล่าโดยสะท้อนมุมมองของทหารอเมริกัน อีกเรื่องสะท้อนมุมมองทหารญี่ปุ่น แต่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นกลับได้รับการยกย่องกว่าอีกฉบับอย่างเป็นเอกฉันท์ ผมเลยลองหาเวอร์ชั่นทหารญี่ปุ่นมาดูสักหน่อย ... เรื่องนี้ถือเป็นหนังของฝรั่ง ที่ใช้ดาราญี่ปุ่นเล่นทั้งเรื่อง พูดญี่ปุ่นทั้งเรื่อง แต่ไปได้ไกลขนาดได้ชิงหนังยอดเยี่ยมลูกโลกทองคำ และได้ชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยมเลยทีเดียว บังเอิญว่าผมยังไม่ได้ดู Flag of father เพราะฉะนั้นผมจะไม่พูดถึงประเด็นที่เชื่อมโยงกันนะครับ Letter นั้นพูดถึงความอาลัยอาวรณ์ของทหารญี่ปุ่น หนังมาในอารมณ์กึ่งๆเมโลดราม่าด้วยซ้ำ ปกติเวลาดูหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราจะเห็นญี่ปุ่นเป็นทหารชั่วร้ายโฉดชั่ว นานๆทีจะได้เห็นทหารญี่ปุ่นเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ มีชีวิต มีความหวาดกลัวตาย มีอารมณ์หลากหลายเหมือนหนังเรื่องนี้ .... แว๊บนึงผมว่าผมเห็นพระเอก Be with you มาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยนะ แต่ไม่แน่ใจ
.................................ที่แน่ๆผมว่าหนังเรื่องนี้เหมือนสวรรค์ ( ฮอลลีวู๊ด ) สร้างมาให้ เคน วาตานาเบ้ เล่นแท้ๆเลย เพราะหนังเป็นของแกทั้งเรื่องเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังน้อยเรื่องมากๆๆ ที่ฝรั่งจะสร้างหนังให้คนเอเซียเล่นเป็นตัวเด่น แถมเรื่องนี้ไม่ใช่แกเด่นแบบธรรมดา แต่ต้องบอกว่า โคตรเด่น คือแกเป็นพระเอกเต็มตัวเลยอ่ะครับ และก็ต้องบอกว่าแกฉกฉวยโอกาสคราวนี้ได้อย่างงดงาม และถึงแม้แกจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างถล่มทลายเหมือนดาราเอเซียคนอื่น แต่ผลงานการแสดงของแกเป็นที่ยอมรับสูงที่สุดเหนือกว่าดาราเอเซียชั่วโมงนี้ทุกคน เห็นได้จากการที่แกเป็นคนเอเซียคนเดียวในยุคนี้ที่เคยได้ชิงทั้งออสการ์ และ ลูกโลกทองคำ !! พูดถึงหนังบ้างดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ทั้งสมเพชและสงสารทหารญี่ปุ่นครับ คือเท่าที่เราเห็นก็คือ ทหารญี่ปุ่นมันบ้าคลั่ง กระหายเลือด กระหายสงคราม แต่ทหารที่เห็นในหนังเรื่องนี้มันกลัวตาย มันถูกส่งมาสู้ทั้งๆที่สู้ยังไงก็แพ้แน่ๆ ข้าศึกมืดฟ้ามัวดินแต่ทหารญี่ปุ่นมีกระหยิบมือเดียว แถมยังขาดแคลนทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอีกตะหาก ใหนจะมีการแย่งชิงอำนาจการตัดสินใจกันอีก ทั้งๆที่สถานการณ์ย่ำแย่ยังขัดแข้งขัดขากันเอง แบบนี้มันจะไปรอดยังไงไหว ?
.................................เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการวางแผนการรบถือเป็นส่วนสำคัญ ถ้าหากทหารระดับบังคับการ เชื่อฟังนายพลคุริฯ การสูญเสียก็อาจจะลดไปได้มาก อาจจะยืดเวลาที่ทหารอเมริกันยกพลขึ้นบกไปได้อีก ที่สำคัญผมเห็นว่า การฆ่าตัวตายเมื่อรบแพ้ เป็นอะไรที่โง่มาก แทนที่จะเก็บคนเอาไว้เพื่อไปรบอีกจุดนึง ดันมาฆ่าตัวตายเพื่อรักษาเกียรติ ( คนญี่ปุ่นยุคเก่านี่มันบื้อมาก ) แล้วก็การเชื่อฟังคำสั่งของทหารที่ยศสูงกว่าทุกเรื่อง นี่ก็เป็นเรื่องที่โง่ๆของทหารชั้นผู้น้อยเหมือนกัน ถ้าทหารยศสูงๆมันสั่งให้ไปตาย หรือสั่งให้ทำเรื่องเหี้ยๆก็ต้องทำหมดเหรอ ? เป็นคนเหมือนกัน ทำไมไม่รู้จักใช้สมองคิดวะ ? สงครามต่างๆในโลกเรามันเกิดขึ้นมาก็เพราะไอ้พวกโง่พวกนี้แหละ ถ้ารู้จักใช้สมองคิด ถ้ารู้จักต่อต้านความชั่วร้ายเมื่อเห็นว่าหลายๆอย่างมันไม่ชอบมาพากล สงครามต่างๆ ในโลกนี้มันก็ไม่เกิดหรอก ยกตัวอย่าง ถ้าทหารในกองทัพนาซีหรือกองทัพญี่ปุ่น โค่นล้มฮิตเล่อร์ หรือจักรพรรดิซะ คนในประเทศของเขาก็คงไม่ต้องล้มตายเป็นล้านๆ .... ถ้าทหารพม่าระดับนายกองหรือคนที่คุมอาวุธรู้จักใช้สมองบ้าง เขาก็คงจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของไอ้พวกนายพลโฉดชั่ว ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านปฏิวัติซ้อนแล้วยกอำนาจให้อองซานซูจี ป่านนี้ประเทศพม่าเจริญไปแล้ว ในประเทศเพื่อนบ้านข้างๆพม่าก็เหมือนกัน ถ้ามีสมองสักหน่อย ก็คงทำปฏิวัติซ้อนแล้วยกอำนาจให้ประชาชน ป่านนี้ประเทศเจริญไปแล้ว ( อีกเช่นกัน ) .....
................................กลับมาถึงหนังดีกว่า ฉากที่ไอ้ทหารยศสูงมันไปบ้านชาวบ้านแล้วเจอหมาเห่าอ่ะ มันสั่งให้ลูกน้องไปฆ่าหมา ปรากฏลูกน้องเป็นคนดีลากหมาไปหลังบ้านแล้วสั่งให้ชาวบ้านให้ช่วยให้หมาหยุดเห่า ปรากฏตอนกำลังจะเดินไป หมาดันเห่าขึ้นมาอีก ทหารตัวหัวหน้ามันเลยกลับไปยิงหมาทิ้ง แล้วก็มาซ้อมลูกน้องอีก เป็นผมนะ ถ้าแม่งชั่วขนาดนั้นนะ เสือกยิงหมาทิ้ง กูมีปืนอยู่ในมือ มึงอย่านึกว่ามึงใหญ่กว่าแล้วมึงทำอะไรกูได้นะ มึงกระทืบกู มึงก็เอาลูกปืนแดกไปแทนตีนกูแล้วกัน กูไม่ยิงมึงให้ตายทันทีหรอก กูจะยิงมึงที่ท้องแล้วก็กระทืบมึงจนกว่าจะตายแหละ ไอ้สัตว์เอ๊ยย .. ความรักชาติมันไม่ทำให้ชาติเจริญหรอก ถ้าผู้นำของชาติมันเลวทราม สู้หนีทหารไปแล้วคอยปกป้องรักษาความถูกต้องของหมู่บ้านหรือถิ่นที่ตัวเองอยู่ยังดีกว่า คนในประเทศมันดักดานก็เพราะเชื่อคำกรอกหู คำโปรปากันดาของผู้นำชั่วๆนี่แหละ .... สรุปหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังแอนตี้สงครามอีกเรื่องที่เล่าเรื่องได้พอใช้ได้ครับ แต่ไม่มีจุดไคลแมกซ์ ไม่มีฉากน่าประทับใจเมื่อเทียบกับหนังสงครามคลาสสิกเรื่องอื่นๆ หนังก็แบบเรื่อยๆมาเรียงๆ ..ถือว่าพอดูได้ แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นชิงออสการ์หรอกครับ มันเกินไป ..... ให้สองดาวกว่าๆ
.................................Blog ชักยาวไปแล้ว สรุปเรื่องสุดท้ายละกัน Time ของคิมคิดุก ไม่ได้มาฉายเมืองไทยครับ ลงแผ่นแล้ว เห็นว่าที่เกาหลีก็หาโรงฉายไม่ได้ จิงๆหนังของเฮียคิมนี่ไม่ได้เลวร้ายนะครับ ผมว่าทุกเรื่องของแกดูสนุกทุกเรื่อง ซึ่งน้อยมากที่จะเห็นผู้กำกับหนังอาร์ตรักษาความบันเทิงในผลงานของตัวเองได้เหมือนแก คือหลายๆเรื่องของผลงานแกมีความลุ่มลึก มีความงามทางศิลปะ แต่ก็ดูสนุก ดูเพลินทุกเรื่องครับ และที่สำคัญ " แรง " มาเรื่องนี้แกทำหนังรัก แต่ตัวละครในหนังแกก็ " จิตๆ " เช่นเคยครับ เข้าใจยากจริงๆจนผมดูแล้วผมคิดว่ามันป่วงจริงๆนะ น่าพาไปหาจิตแพทย์ !! คือหนังไม่ได้เข้าใจยากนะครับแต่เป็นความประพฤติของตัวละครในหนังแกตะหากสิ ที่ทำไมถึงคิดได้ประหลาดแบบนั้น ? อย่างว่าแหละ มนุษย์ย่อมมีความคิดแผลงๆอยู่ในตัวคนกันทุกคนอยู่แล้ว .. เคยสงสัยใหมครับว่าบางทีรูปแบบความรักของแต่ละคนมันก็อาจจะบิดเบี้ยวหรือผิดเพี้ยนไปได้ตามแต่ปัจจัยรวมถึงสถานการณ์หลายอย่างที่ต่างกันไป .... เมื่อคืนนี้ผมดูจบแล้วผมฝันแปลกๆเลยล่ะ ... บางทีผมอาจจะยังไม่รู้จักความรักดีเท่าที่ควรก็เป็นได้มั้ง ให้สองดาวกว่าๆอีกเหมือนกัน ... ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบ ( จะมีสักกี่คนกันหนอ )
แวะมาเยี่ยมครับ
ขอบคุณนะครับ สำหรับกำลังใจดีดีที่มอบให้กัน แล้วจะมาใหม่นะครับ ^ ^