.............เมื่อคืนฟลุ๊คๆนอนดูหนังภาค 5 ของตา Jigsaw จนจบไป เด๋วนี้ลูกศิษย์ลูกหาของตาจิ๊กซอว์ชักจะมั่วซั่วถั่วงอกขึ้นทุกที เจตนารมย์ของตำนานเขาไม่รู้จักเอามาใช้ หยิบเอามาแต่การฆาตกรรมโหดๆ นึกว่าเท่ห์เหรอ การฆ่ากันแบบใช้เครื่องมือซาดิสต์ แบบอุปกรณ์จิตๆแบบนี้ ฆาตกรโรคจิตดาดๆที่ใหนเขาก็ทำกันเกร่อ แต่สิ่งที่จิ๊กซอว์ทำจนก้าวสู่ตำนานน่ะ มันไม่ใช่เป็นเรื่องของความโหดของวิธีการฆ่า แต่เป็นเรื่องของแนวคิด แง่คิด และขบวนการขัดเกลาจิตใจของตัวมันตะหากเล่า ! แต่อย่างว่าคนดูส่วนใหญ่ก็คงดูเอามันส์ ไม่ได้คิดมากอะไรไปกับจิ๊กซอว์อยู่แล้ว ว่าไปแล้วคนดูส่วนใหญ่นี่แหละ ที่เหมาะสมจะเป็นเหยื่อของจิ๊กซอว์ ถ้าด้วยตรรกะทางความคิดแบบจิ๊กซอว์ คนก็ควรจะโดนฆ่ากันทั้งโลกนั่นแหละ อย่างที่บอกมันเป็นตรรกะความคิดของพวกโรคจิตสิ้นคิด พวกที่คิดแบบพันธมิตรพันธมารแบบนี้แหละ ที่สมควรจะโดนจับไปทรมานซะให้ตายอย่างทุรนทุรายที่สุด เพราะมันหนักแผ่นดิน
.............หรือหนังจะบอกว่า คนเราสมัยนี้ใครๆก็เป็นโรคจิตกันได้ ออกไปฟังคลื่น ASTV ก็อยากฆ่าคนแล้ว หรือออกไปรับน้ำมนต์ไอ้เหี้ยลิ้ม ก็เหี้ยน ของขึ้น สติแตกกันได้ง่ายๆ ? หรือแม้แต่เสพเรื่องการเมืองมากไป ก็อาจจะทำให้สติแตกได้ ? เพราะฉะนั้น Saw จะมีอีกกี่ภาค หรือว่า จิ๊กซอว์จะมีลูกศิษย์ลูกหาสืบทอดเจตนารมย์อีกกี่สิบคน ก็มิใช่เรื่องแปลกแต่ประการใด !! จริงๆการที่ Saw ต่อมาได้ถึง 5 ภาคเนี่ยก็ถือเป็นความน่ามหัศจรรย์แล้ว เพราะเรื่องราวทั้งหมดมันคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวละครอะไรก็สัมพันธ์เกี่ยวโยงกันวุ่นวายไปหมด แถมตัวละครสำคัญก็ตายไปตั้งแต่ภาคก่อนๆแล้ว ยังเอาโน่นมาจับโยงนี่กันได้ขนาดนี้ถือว่าเก่งพอตัวแหละ ! เสน่ห์ของหนังภาคนี้ลดลงไปมากด้วยความที่เฉลยตัวฆาตกรแต่ต้นเรื่อง แต่เสน่ห์นึงที่ยังหลงเหลืออยู่ในหนังชุดนี้ก็คือ เล่าหนังแบบกระชับรวดเร็ว อาศัยตัดต่อดี และบทเฉลยช่วงท้ายมันจะมาเร็วแบบให้คนดูงงๆ ตามไม่ทัน ฟันธงต่อได้อีกว่าหนังจะต้องมีฉายโรงไปอีกหลายภาค และถึงหมดมุขแล้ว มันก็จะแปลงร่างกลายเป็น Saw เวอร์ชั่นหนังแผ่นได้อีกสักสิบภาคเป็นอย่างน้อย ถึงเวลานั้น จิ๊กซอว์และทายาทคงกลายสภาพไม่ต่างจาก เจสัน ศุกร์ 13 แน่นอน !!
.............ที่บอกว่าฟลุ๊คมันอยู่ตรงหลัง 5 ทุ่มครับ พอดีดูวู๊ดดี้จบแล้วกะว่าจะนอนแล้วเชียว เปิดทีวีไปเรื่อย เจอช่อง NBT กำลังฉายหนังขนาดไม่ยาวของกรมควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งก็เป็นหนังที่สร้างมาจากนิยาย เอดส์ไดอารี่ นั่นเอง ( แล้วข้าพเจ้าจะไปนอนได้ไง ก็ต้องดูให้จบซะก่อน ) อะฮ๊า ... ดูแล้วคันปากอยากเม๊าท์ อยากวิจารณ์ยาวๆมาก แต่มิกล้าพอที่จะเขียนขึ้นในบอร์ดใหญ่ๆอย่างเฉลิมไทย เลยขอแค่มาลงบล็อคส่วนตัวก็พอแระ! แอบอึ้งที่ดูเหมือนงานการกุศล แต่ก็มีดาราดังๆมาเล่นกันหลายท่าน คุณน้ำผึ้ง ณัฐริกา ขวัญใจจิงโจ้เพื่อนเรา รับบทนางเอกเล่นเป็นคุณแก้วด้วย ( ฮา ) หนังเก็บใจความตามหนังสือไดอารี่เล่มแรกมาแบบไม่เน้นๆเท่าไหร่ ด้วยความที่มันเป็นหนังกึ่งให้ความรู้ของกรมโรคติดต่อน่ะ มันก็เลยใส่รายละเอียด แง่ความรู้ ข้อมูลที่น่าสนใจลงไปซะเยอะ แต่ไม่เน้นเร้าอารมณ์แบบภาพยนตร์บันเทิง ไม่เพิ่มปมความเป็นมาเป็นไปของตัวละคร ไม่มีส่วนที่สร้างความสะเทือนใจหรือจุดพลิกผัน หรือจุดอะไรให้คนดูยึดเหนี่ยว ไม่ได้มุ่งเน้นจะมาสร้างแรงบันดาลใจหรือยกระดับอะไรทางจิตวิญญาณใดๆทั้งสิ้น ? หนังมาแบบมิติเดียวเรียบๆเลยครับ นางเอกแสนดี ครอบครัวแสนอบอุ่นน่ารัก ชีวิตไร้อุปสรรค เพื่อนรักแสนดี ??
.............ชีวิตมนุษย์มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ใครๆก็รู้ แล้วคนเรามันก็ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว ด้านที่แสนดี ด้านที่พอเพียง?? แอบเสียดายที่บทหนังเอดส์ไดอารี่ ที่คุณโต้ง บรรจง ผกก.ร่วมชัตเตอร์ ได้ร่างเอาไว้นานนมแล้ว แต่โปรเจคซ์ก็ไม่คืบหน้าไปถึงใหนสักกะที แอบได้ยินแว่วๆว่าเจ้าของเรื่องเห็นบทหนังแล้วไม่ปลื้มเท่าไหร่ ก็เลยไม่อนุมัติให้สร้าง หนังแนวนี้มันขายนายทุนยากอยู่แล้ว ยิ่งเจ้าตัวเล่นตัวด้วย โอกาสเกิดก็แทบไม่มี มันก็เลยถูกพับเก็บลงลิ้นชักจนฝุ่นจับไปหมดแล้วมั๊ง ! อย่างว่าแหละครับใครจะอยากให้ชีวิตด้านมืดๆของตัวเองถูกถ่ายทอดขึ้นสู่จอภาพยนตร์กันมั่งล่ะครับ ? ใจเขาใจเราอ่ะเนอะ แต่อย่างที่บอกก็คือ ถ้านิยายดีๆเล่มนี้ถูกผันแปรขึ้นจอหนังจริงจะต้องมีหลายๆอย่างที่ดัดแปลง เสริมแต่ง หรือแก้ไขให้เข้าที่เข้าทางอีกมาก เพราะหนังต่างจากสื่อหนังสือ การเอาไดอารี่ออนไลน์ที่ออกแนวเพ้อๆมาเล่าตรงๆใช้ Voice over แบบที่เห็นในละคร NBT เมื่อคืน เวลาขึ้นจอใหญ่ มันไม่ได้ผลแน่ๆ !! มนุษย์เราพอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผ้าขาวมันก็ต้องมีรอยกระดำกระด่างบ้าง บางคนอาจจะสีซีด บางคนอาจจะดำมืดไปเลย รอยด่างเพียงรอยเดียวไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นคนเลว แต่ถ้ารับไม่ได้ และบอกว่าตัวเองเป็นประหนึ่งผ้าขาวบริสุทธิ์เหมือนเด็ก นั่นมันก็นางฟ้าไปหน่อยล่ะครับ !!
..............นิยายเล่มนี้ผมบอกได้คำเดียวว่าเล่าตรงๆแบบ 1234 เล่าเป็น day1 day 2 ไม่ได้แน่ๆ มันต้องมีชั้นเชิงมากกว่านั้น ก็เหมือนหนัง 2499 นั่นแหละครับ ขืนเล่าตรงๆตามจริงล้วนๆ แม่งก็เละอ่ะครับ เพราะไอ้แดงมันอย่างเหี้ย แต่หนังทำให้มันดูเป็น แอนตี้ ฮีโร่ ที่ดูเท่ห์โค่ดๆ !! บางทีกว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างได้ อาจจะต้องเป็นช่วงเวลาอีกสัก 10 ปีถัดจากนี้ ให้ฝุ่นมันจาง ให้อะไรๆมันดูชัดเจนกว่านี้ โอกาสอาจจะมีมากขึ้น ? ผมยังเชื่อมั่นว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนนั้นสามารถเล่าเป็นหนังดีๆได้มากมาย แล้วนับประสาอะไรกับชีวิตเจ้าของหนังสือเล่มนั้น แน่นอนว่ามันต้องเป็นหนังชั้นเยี่ยมได้แน่ หากได้มือเขียนบทเจ๋งๆ และได้ผู้กำกับเก่งๆ ด้วยความที่เรื่องราวของเค้ามันเข้มข้น แล้วก็มีรายละเอียดรายล้อมที่พร้อมจะช่วยดันอยู่แล้ว ! แล้วเชื่อใหม๊ด้วยความเป็นสากลของหนัง มันสามารถที่จะเข้าถึงคนทุกชาติ ทุกเผ่าพันธ์ในโลกนี้ได้ทั้งหมดด้วยซ้ำ ! หากยอมให้คนทำหนังเค้าเปลี่ยนนามธรรมบางอย่างให้มันดูเป็นรูปธรรม ยอมเปลี่ยนเรื่องราวความจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวไปบ้าง หรือแม้แต่ยอมรับความจริงบางจุดที่คนทำหนังเค้าตีแผ่ ... บางทีจาก Pop Idol ก็อาจจะกลายสภาพเป็น Superstar เป็นตำนานที่จะอยู่ในความทรงจำของทุกคน ก็เป็นได้ ? ความจริงทุกอย่างของคนเรา หลายครั้งก็เป็นสิ่งที่เราไม่อยากจะจดจำ ไม่อยากให้ใครมารู้ ...หรือไม่จริง??
//www.pandagroup.pantown.com/