๑๓๐ ปี ชาตกาล ครูศิลป์ พีระศรี




๑๕ กันยายน วันศิลป์ พีระศรี
Corrado Feroci (๑๘๙๒-๑๙๖๒)
ผู้วางรากฐานที่เข้มแข็งให้แก่วงการศิลปะไทยสมัยใหม่
"ศิลปะไม่ได้สอนให้วาดรูปเป็น แต่สอนให้รู้จักการใช้ชีวิต"


ครูเบิร์ด
วาดภาพ
จาก เพจ Arthit Kannikar










ooiooi


๑๓๐ ปี ชาตกาล ศิลป์ พีระศรี ศิลปินเอกยุค “ศิลปะคณะราษฎร” การเกิดขึ้นของอนุสาวรีย์สามัญชน และพระราชานุสาวรีย์แห่งของกษัตริย์ในอดีต

จากข้อมูลของ วิบูล ลี้สุวรรณ (ชีวิตและงานของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี) คอร์ราโด เฟโรจี เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ ที่ตำบลซานยิโอวานนี เมืองฟลอเรนซ์ ศูนย์กลางศิลปะแห่งอิตาลี จบการศึกษาด้านศิลปะ เอกประติมากรรม จากสถาบันวิจิตรศิลป์ฟลอเรนซ์ (The Academy of Fine Arts of Florence)

จบแล้วก็สอบเข้าเป็นอาจารย์ในสถาบันที่เรียนจบมา และได้รับการคัดเลือกให้เป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุได้เพียง ๒๓ ปี ก่อนย้ายมาทำงานในเมืองไทย (สมัยนั้นยังเรียกสยาม) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ ในตำแหน่งช่างปั้น สังกัดกรมศิลปากร ราชบัณฑิตยสภา โดยสัญญาฉบับแรกมีกำหนดอายุ ๓ ปี แต่เมื่อได้แสดงผลงานเป็นที่น่าพอใจจึงได้ต่อสัญญาใหม่โดยไม่มีกำหนดอายุเวลา

ศิลป์ พีระศรี (เปลี่ยนชื่อและสัญชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เพื่อเลี่ยงปัญหาที่เขาถือสัญชาติอิตาลีซึ่งเดิมเคยอยู่ฝ่ายอักษะร่วมกับไทย แต่ไปทำสัญญาสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรในปลายปี ๒๔๘๖ หลังจาก เบเนโต มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสต์ถูกขับจากอำนาจ) มีส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมงานศิลปะยุคใหม่ของไทย ทั้งการก่อตั้งโรงเรียนศิลปากรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ก่อนยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ช่วยบ่มเพาะศิลปินท้องถิ่น ทำให้ไทยลดการพึ่งพาช่างและศิลปินนำเข้าได้มาก เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอนุสาวรีย์หลายแห่ง และช่วงเวลาดังกล่าวที่เขาเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับก็เกิดขึ้นในช่วงที่คณะราษฎรครองอำนาจพอดี

ชาตรี ประกิตนนทการ (ศิลปะ สถาปัตยกรรม คณะราษฎร) กล่าวว่า “ศิลปะสมัยใหม่” ของไทย (ซึ่งต่างจาก ศิลปะสมัยใหม่ในระดับสากลที่ปฏิเสธศิลปะตามแนวเสมือนจริง [realistic art] และคตินิยมตามแบบแผนวิชาการแบบเดิม ขณะที่ของไทย ศิลปะสมัยใหม่คือ ศิลปะที่หันมาเน้นความเสมือนจริง) เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญจริง ๆ มาเกิดขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนเกิดรูปแบบศิลปะและสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “ศิลปะคณะราษฎร”

ในช่วงเวลานี้เอง ศิลป์ได้แสดงผลงานที่โดดเด่นมากมาย (รวมถึงงานของศิษย์ที่อยู่ในความดูแลของศิลป์) เช่น รูปปั้นนูนต่ำอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อนุสาวรีย์ของสามัญชนอย่าง ท้าวสุรนารีหรือท่านผู้หญิงโม พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ หรือ คอซิมบี๊ ณ ระนอง รูปปั้นลอยตัวทหารพลเรือนและตำรวจที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ครุฑ (ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามผิดจากครุฑยุคก่อน) หน้าตึกกรมไปรษณีย์โทรเลข บางรัก รวมถึงพระราชานุสาวรีย์แห่งของกษัตริย์ในอดีต

และตัวอย่างงานศิลปะคณะราษฎรที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางอุดมคติของสองยุคมากที่สุดชิ้นหนึ่ง คงหนีไม่พ้นอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อนุสาวรีย์สามัญชนคนแรก ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ใกล้กับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และกรณีกบฏบวรเดชที่นำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ซึ่งใช้นครราชสีมาหรือโคราชเป็นกำลังสำคัญ การสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีขึ้นที่นี่จึงมีปัจจัยทางการเมืองเป็นส่วนช่วยผลักดัน

จากข้อมูลของ สายพิน แก้วงามประเสริฐ (วิทยานิพนธ์เรื่อง ภาพลักษณ์ท้าวสุรนารีในประวัติศาสตร์ไทย) เหตุกบฏคราวนั้นทำให้ชาวโคราชถูกมองว่ามักมีวิสัยเป็นกบฏ เพราะสืบย้อนไปในอดีตโคราชมักเป็นฐานของกลุ่มกบฏหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกบฏพระยายมราช (สังข์) กบฏบุญกว้าง หรือกบฏกรมหมื่นเทพพิพิธ ผู้นำใหม่ของโคราชจึงต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโคราช เหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ที่ชาวโคราชต่อต้านกบฏเจ้าจากเวียงจันทร์และแสดงความภักดีต่อกรุงเทพฯ จึงถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ประโยชน์ ช่วยสร้างขวัญกำลังใจ และสร้างภาพจำใหม่ให้กับโคราช

การสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีแม้จะเกิดขึ้นโดยการผลักดันจากผู้นำท้องถิ่น แต่ก็ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลคณะราษฎร ซึ่งได้มอบหมายให้ศิลป์เป็นผู้ออกแบบและปั้น เนื่องจากข้อเสนอนั้นสอดคล้องกับอุดมการณ์ของคณะราษฎรหลายประการ ทั้งการที่ท้าวสุรนารีเป็นสามัญชน เช่นเดียวกับคณะราษฎร และยังเป็นผู้หญิง ซึ่งการเล่าประวัติศาสตร์ในอดีตให้คุณค่าค่อนข้างน้อย แต่ในสมัยของคณะราษฎร ผู้หญิงถูกยกบทบาทให้เท่าเทียมกับผู้ชาย เห็นได้จากการกำหนดให้ชายหญิงมีสิทธิเท่าเทียมโดยรัฐธรรมนูญซึ่งก้าวหน้ายิ่งกว่าประเทศตะวันตกหลายประเทศ

ท้าวสุรนารีจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการยกให้เป็นไอดอลตามอุดมการณ์ใหม่ และจำเป็นต้องใช้ศิลปะยุคใหม่ที่ตัดขาดจากศิลปะไทยยุคจารีตเป็นสัญลักษณ์สะท้อนอุดมการณ์นั้น

"การที่กรมศิลปากรไม่ยอมรับรูปปั้นท้าวสุรนารีที่มีรูปลักษณ์เป็นนางฟ้านั้น ประการแรกคงจะเป็นเพราะขัดกับความเป็นจริงที่ว่า ท้าวสุรนารีเป็น 'มนุษย์' โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็น 'สามัญชน' ด้วย ดังนั้นรูปปั้นท้าวสุรนารี ถ้าจะสื่อให้เห็นการกระทำของท้าวสุรนารีได้ดีและเหมาะสมกับสภาพการณ์ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ รูปปั้นนี้จึงต้องมีความเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่ต้องมีบุญญาบารมี แต่ต้องเป็นมนุษย์ที่กล้าหาญ

"ประการที่สอง คงจะเป็นการปฏิเสธแนวคิดตามคติเก่าด้วย เพราะแต่เดิมนั้น การจะสร้างรูปบุคคลที่เคารพยกย่อง มักจะสร้างเป็นรูปเทวดามากกว่า ถึงยุคใหม่จึงต้องการสร้างรูปปั้นเหมือนจริง นอกจากนี้การที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงตั้งข้อสงสัยว่าท้าวสุรนารีไม่เห็นได้ทำอะไรเท่าไร ทำไมจึงยกย่องกันนักหนา สื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างความคิดระบอบเก่ากับระบอบใหม่

"ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสรุปว่าการสร้างรูปท่านผู้หญิงโมเป็นตัวอย่างของความคิดสมัยใหม่ การจะสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีจึงอาจเป็นวิธีการหนึ่งของคณะราษฎร ที่จะแสดงว่าประชาชนทุกคนคือ ผู้กำหนดวิถีประวัติศาสตร์ของประเทศ การที่ประชาชนร้องขอให้สร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีจึงเป็นสิ่งที่กระทำได้ และสอดคล้องกับแนวคิดของคณะราษฎรด้วย"
สายพินกล่าว

อย่างไรก็ดี การที่ศิลป์มีผลงานโดดเด่นในยุคศิลปะคณะราษฎรนั้น มิได้สื่อว่าเขามีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใด เพราะเขาเองก็ทำงานให้กับรัฐบาลทั้งสองยุคอย่างเต็มที่ หากแต่ฝีมือในเชิงศิลปะของเขาถูกจริตของผู้ปกครองในยุคนี้มากกว่ายุคเก่าที่แม้จะรับเอาศิลปะแบบตะวันตกมาใช้บ้างแต่ก็ไม่มาก และเขาก็เข้ามาเมืองไทยในปลายยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว กว่าที่เขาจะได้รับงานใหญ่อย่าง อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็เป็นเป็นช่วงสี่ปีสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง นั่นจึงทำให้ศิลป์ ประติมากรสายเรียลลีสม์ (realism) มีโอกาสแสดงศักยภาพของเขาในยุคคณะราษฎรมากกว่าในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังที่ชาตรีกล่าวว่า

“อุดมคติใหม่ของ ‘ศิลปะคณะราษฎร’ ที่ถูกสร้างขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้กงล้อประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยใหม่ในไทยหมุนไปในรูปแบบที่เรารับรู้ในปัจจุบัน สำคัญที่สุดคือ ด้วยจิตวิญญาณใหม่นี้เองที่เป็นพลังผลักดันเบื้องหลังให้ ศิลป์ พีระศรี สามารถแสดงศักยภาพทางศิลปะที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนเปิดโอกาสให้ท่านสามารถผลักดันแนวคิดและผลงานต่าง ๆ มากมาย”

ตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนการต่อสู้ทางอุดมคติของศิลปะสองยุคของไทยคือ ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับยุคคณะราษฎร คือความจากจดหมายทั้งสองฉบับสะท้อนถึงเมื่อ สมเด็จฯ กรมพระยานริศฯ “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” ที่ทรงประสงค์ให้อนุสาวรีย์แห่งนี้คงอุดมคติทางศิลปะแบบจารีตของไทยเอาไว้ (หากจำเป็นต้องสร้างจริง ๆ แม้พระองค์ทรงเห็นว่าท่านผู้หญิงโมไม่ได้น่ายกย่องมากนัก) แต่รัฐบาลคณะราษฎรไม่เห็นสอดคล้องด้วย “คอร์ราโด เฟโรจี” (Corrado Feroci) หรือ ศิลป์ พีระศรี ที่รับราชการมาตั้งแต่ปลายรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จึงต้องปฏิบัติตามเจ้านายกลุ่มใหม่ที่ต้องการใช้ศิลปะสะท้อนและส่งเสริมอุดมการณ์ใหม่ของตน เนื้อความในจดหมายส่วนหนึ่งมีว่า

“กถามรรค จะทูลถวายเรื่องกรมศิลปากรเขากำลังปั้นรูปท่านผู้หญิงโมกันอยู่ ในว่าจะหล่อเอาไปตั้งเป็นอนุสาวรีย์ประตูชัยโคราช มีขนาดสูง ๔ ศอก เลยทำเป็นรูปหญิงสาวตัดผมปีก ยืนถือดาบ นุ่งจีบ ห่มผ้า สไบเฉียง

“อนุสาวรีย์รายนี้เดิมทีพระเทวภินิมิต (ฉาย เทียมศิลปไชย มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๙๐) เขียนมาปรึกษาเกล้ากระหม่อม ก่อนเป็นรูปผู้หญิงนั่งบนเตียง มีเครื่องยศพานหมากกระโถนตั้งข้าง ๆ เกล้ากระหม่อมถามว่าใครจะทำ เขาว่าเป็นผู้แทนราษฎร นครราชสีมา เกล้ากระหม่อมถามว่า แกเคยเห็นท่าผู้หญิงโม้หรือ หน้าตาอย่างนี้หรือ ได้แต่หัวเราะไม่ได้คำตอบ ถามว่าจะตั้งที่ไหน ตั้งที่ประตูชัย เกล้ากระหม่อมว่าเป็นทางเดินแล้วจะเอารูปปั้นไปตั้งอุดเสีย มิเดินไม่ได้หรือ แกก็หัวเราะแล้วนำแบบกลับไป

“ต่อมาเกล้ากระหม่อมไปที่ศิลปากรสถาน เห็นนายเฟโรจี (ศิลป์ พีระศรี) ปั้นดินเป็นรูปผู้หญิง ยืนถือดาบอยู่ตัวเล็ก ๆ หลายตัว ท่าต่างกัน ถามว่าทำอะไร แกบอกว่าทำผู้หญิงโคราช ใครก็ไม่รู้ที่รบกับผู้ชายนั้น เกล้ากระหม่อมก็เข้าใจ แล้วได้แนะนำว่าเราไม่รู้จักตัว หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ทำไม่ได้ดอก ทำ Allegory (สัญลักษณ์แฝงความหมาย) เป็นนางฟ้าถือดาบดีกว่า แกเห็นด้วย ต่อมาอีกสองสามวัน เกล้ากระหม่อมไปอีก เห็นแกปั้นไว้หน้าเอ็นดูดี เป็นผู้หญิงสาวผมยาวประบ่า ใส่มาลาถือพวกดอกไม้สด นุ่งจีบ ห่มสะไบสะพักสองบ่า ยืนถือดาบ เกล้ากระหม่อมเห็นแล้วก็รับรองว่าอย่างนี้ดี

มาเมื่อก่อนหน้าจะเขียนหนังสือมาถวายนี้ ไปเห็นปั้นตัวเบ้อเร่อ ถามว่าทำไมไม่ทำเป็นรูป Allegory แกบอกว่าเขาไม่เอา

เรื่องท่านผู้หญิงโมนี้ก็ประหลาด ดูในพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ซึ่งถวายมา ไม่เห็นแสดงแผลงฤทธิ์อะไรเป็นแต่คุมพวกผู้หญิงเป็นกองหลังเท่านั้น ทำไมจึงยกย่องกันนักหนาก็ไม่ทราบ”


เนื้อความข้างต้นนี้คัดมาจาก สาส์นสมเด็จ เป็นจดหมายที่ สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ มีไปทูล สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ว่าด้วยเรื่องราวการสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นได้ราวปีกว่า (และเหตุการณ์กบฏบวรเดชซึ่งนครราชสีมามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญเพิ่งผ่านพ้นไป) ซึ่ง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงตอบกลับมาในจดหมายลงวันที่ ๕ มกราคม ปีเดียวกัน ว่า

“ขอทูลสนองลายพระหัตถ์ว่าการสร้างรูปท่านผู้หญิงโมนั้น เป็นอุทาหรณ์อันหนึ่ง ซึ่งแสดงว่าความคิดสมัยใหม่ผิดกับสมัยเก่าหมดทุกอย่าง”

เรื่อง: อดิเทพ พันธ์ทอง
ที่มาภาพ: Silpakorn University

หมายเหตุ: เนื้อหานี้เรียบเรียงใหม่จากบทความที่เผยแพร่เมื่อปี ๒๐๑๙

จาก เพจ The People


ooiooi











ooiooi


๑๕ กันยายน
วันศิลป์ พีระศรี


๑๕ กันยายน ๒๕๖๕ ครบรอบวันเกิดปีที่ ๑๓๐ ของท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปิน นักวิชาการศิลปะ และครูคนสำคัญ ผู้ก่อคุณูปการให้แก่วงการศิลปะเมืองไทย

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในแวดวงของผู้สนใจศิลปะ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้วางรากฐานศิลปะสมัยใหม่ในเมืองไทย ชีวิตและการทำงานของท่านมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อวงการศิลปะบ้านเรา ทั้งในฐานะศิลปินผู้สร้างงาน นักวิชาการศิลปะ และครูผู้สร้างศิลปิน

ในฐานะศิลปิน ท่านศาสตราจารย์ได้ฝากผลงานศิลปะไว้แก่ประเทศไทยหลายชิ้น ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะได้แก่ ผลงานปั้นและออกแบบอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ อาทิ พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช งานออกแบบประติมากรรมนูนต่ำประดับที่ฐานปีกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมถึงอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ดอนเจดีย์

และในฐานะนักวิชาการศิลปะ ท่านได้เขียนบทความทางวิชาการเอาไว้เป็นจำนวนมาก บทความเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่วงการศึกษาศิลปะในประเทศ และหลายบทความได้ทำให้เกิดการตื่นตัวในการอนุรักษ์และหวงแหนมรดกทางศิลปะของไทยในเวลาต่อมา

และในฐานะครูศิลปะผู้สร้างศิลปิน ท่านได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจของท่านตลอดระยะเวลาการทำงานอันยาวนานในการอบรมนักศึกษศิลปะรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้ก้าวสู่เส้นทางศิลปิน เพชรน้ำเอกในวงการศิลปะของไทย อาทิ เฟื้อ หริพิทักษ์ สนั่น ศิลาการณ์ ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ทวี นันทขว้าง ล้วนแต่เป็นศิษย์เอกที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากท่านศาสตราจารย์ทั้งสิ้น

บางส่วนใน เรื่องจากปก
นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ ๙๑ กันยายน ๒๕๓๕
จาก เพจ Sarakadee Magazine


ooiooi



















ศิลป์ พีระศรี หรือ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เข้ารับราชการในไทยสมัยรัชกาลที่ ๖
บิดาแห่งศิลปะร่วมสมัยของไทย และบิดาแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้สร้างความเป็นปึกแผ่นแก่วงการศิลปะไทยให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
และเนื่องด้วยในวันที่ ๑๕ กันยายน ของทุกปี ได้ถูกกำหนดให้เป็น "วันศิลป์ พีระศรี"
เพื่อรำลึกถึงครูผู้อุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อนักเรียนและศิลปะ จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ..(ภาพวาด ดิจิทัล )

จาก เพจนพแก้ว ประยูรเมธา



















เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว
มีโอกาสได้ไปกราบ อ.ศิลป์ พีระศรี
ที่สุสาน Cimitero Degli Allori
ชานเมือง Florence
คือ ๑ในสถานที่ที่อยากไปที่สุดในชีวิต
นับตั้งแต่ได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปากร
กราบอาจารย์เนื่องในวันเกิดปีที่ ๑๒๙
๑๕ กันยายน ๒๕๖๔

ภาพและข้อมูลจาก เพจ Sansukjareanpol (Gung Ampawa)













HBD ๑๓๐ ปี
อาจารย์ ศิลป พีระศรี
"พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว"
Tomorrow will be to late.

จาก เพจ Anjali Jumping










Cr. อาจารย์ ภู่ สุขศรี

มีไม่กี่เรื่องที่อาจารย์เขิน...
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ท่านเป็นคนร่าเริง ตลก อารมณ์ดี
เป็นคุณสมบัติของคนที่ไม่เขินอาย
แต่... ยกเว้นวันที่ต้องแต่งชุดใหญ่ไฟกระพริบ
เขินอายเพราะคนทำงานอยากทำงาน
การไปออกงาน เป็นเรื่องที่ไม่สุนทรีย์ ไม่มั่นใจตัวเอง
และดูเหมือนขัดแย้งกับธรรมชาติของตัวเอง
ที่สำคัญ พวกลูกศิษย์พบจุดอ่อนนี้เสียแล้ว ยิ่งเขินยิ่งถูกแซว

๑๕ กันยายน วันศิลป์ พีระศรี
จาก เพจ Anjali Jumping













แม่เล่าว่า...
พ่อแต่งโคลงถึง อ.ศิลป์ ในปีที่รัฐบาลไทยไม่มีเงินจ้าง
ท่านจึงต้องเดินทางกลับอิตาลี่ ด้วยความเศร้าใจ
ที่ต้องจากลูกศิษย์ และประเทศไทย ที่ท่านรัก...


ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์


อาดูรพูล ทเวศโอ้.........อาจารย์ ศิลป์เอย
จากศิษย์ ดวงใจราน.................สู่เหย้า
แสนทุก ฉุกแตกฉาน.........ดวงจิตต์ ท่านนา
แสนห่วง ทุกศิษย์เจ้า.........จักร้อน เย็นไฉน

อันพระคุณ ท่านไซร้..............นที ปานฤา
หากจะเปรียบ ยิ่งสุรีย์................ส่องหล้า
ประสาท ศิลปศรี.............แด่ศิษย์ เสมอนา
เทิดท่าน เหนือเศียรข้า...........ด้วยจิตต์ ภักดี



ลิขิต รุ่งฟ้า
(นามปากกาของพ่อ อ.เขียน ยิ้มศิริ)
๙ ตุล์ ๙๐
อาจารย์ศิลป์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่อาจารย์
แต่อาจารย์ศิลป์ คือ "พ่อ" ของลูกศิษย์ทุกคน
จาก เพจ Kanongnaj Yimsiri





บีจีจากคุณเนยสีฟ้า กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii ไลน์จากคุณญามี่

Free TextEditor




Create Date : 17 กันยายน 2565
Last Update : 17 กันยายน 2565 6:40:58 น.
Counter : 1296 Pageviews.

0 comments
ตลาดเช้า, สถานีรถไฟพินอูลวิน สายหมอกและก้อนเมฆ
(18 เม.ย. 2567 17:06:42 น.)
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)
Aankhon Mein Teri Ajab Si (आँखों में तेरी अजबसी) from Om Shanti Om (ओम शांति ओम) ปรศุราม
(29 มี.ค. 2567 09:47:16 น.)
Dies Bildnis ist bezaubernd schön from Die Zauberflöte by Wolfgang Amadeus Mozart ปรศุราม
(26 มี.ค. 2567 10:24:16 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณtoor36, คุณปรศุราม, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณtuk-tuk@korat, คุณเริงฤดีนะ, คุณสองแผ่นดิน, คุณทนายอ้วน, คุณkae+aoe, คุณหอมกร, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSleepless Sea, คุณSweet_pills, คุณpeaceplay, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณเนินน้ำ, คุณชีริว, คุณnewyorknurse, คุณThe Kop Civil, คุณeternalyrs, คุณnonnoiGiwGiw, คุณDeep Black Sea, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณ**mp5**, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณกิ่งฟ้า, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณตะลีกีปัส, คุณจอมแก่นแสนซน, คุณร่มไม้เย็น, คุณอุ้มสี, คุณข้าน้อยคาราวะ


Haiku.BlogGang.com

haiku
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]

บทความทั้งหมด