ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
24 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
เพลงดวงดาว ตอนที่ 12

ชายหนุ่มจ้องมองคนแปลกหน้าที่ยังนอนสลบอยู่ภายในรถ 'พวกเราไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย' เขามองไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงไอพีที่เคยเห็นแต่ซากที่พังแล้วของพวกมัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริงที่ยังคงใช้งานได้อยู่ แม้แต่เหล่านักบวชในศาสนจักรที่เขามีโอกาสได้เข้าพบ ก็ไม่มีใครสวมใส่สิ่งนี้เลย

ภายในหัวของเขา มีความคิดสองอย่างกำลังตีกันอยู่อย่างสับสน 'มันอาจเป็นโอกาสเดียวที่ แก้วตา จะรอดชีวิต' เขานึกถึงชะตากรรมที่ลูกสาวตัวน้อยกำลังเผชิญอยู่ แต่ความคิดนี้ก็ค้านกับหลักการที่เขายึดถือมาทั้งชีวิต นั่นคือ หัวใจของผู้พเนจร 'ผู้พเนจรต้องช่วยเหลือกันในยามที่เผชิญภัยอันตราย'

เขาอยากได้ไอพีที่เห็นอยู่ตรงหน้า แต่หากทำเช่นนั้นมันก็คือการขโมย และหากไม่ช่วยเหลือคนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ เขาก็ไม่ต่างอะไรจากเหล่า คนเถื่อน บรรพบุรุษที่เคยใช้ชีวิตอยู่ใน ยุคมืดที่สุด นั่นเอง

เขาได้ยินเสียงแผ่วๆ ดังมาในสายลมหนาว เสียงของสายลมที่พัดผ่านตัวรถที่ตอนนี้กลายสภาพมาเป็นก้อนปูดโปนรูปทรงประหลาด มันดังคล้ายกับเสียงเพลงที่เขาเคยคุ้นในอดีต เสียงเพลงกล่อมเด็กของมารดา เสียงที่ทำให้จิตใจของเขาพบกับข้อสรุปได้ในที่สุด

เขายื่นมีดออกไปใกล้ร่างของคนแปลกหน้า ก่อนลงมือตัดเข็มขัดนิรภัยที่รัดร่างนั้นออก แล้วค่อยๆ ลากออกมายังภายนอกตัวรถ เขาเก็บมีดสั้นไว้เหมือนเดิม นั่งคุกเข่าลง และพยายามปลุกคีย์ให้ตื่นขึ้นมา

“...อา”

แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่แรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้ระบบประสาทของเขาได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อย เขายังคงนอนงงอยู่อีกครู่หนึ่ง กว่าจะสามารถรับรู้ได้ว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างกายเขา

“คุณเป็นอะไรมากไหม”

เขาตะกายลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับพยายามมองหน้าฝ่ายตรงข้าม ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังคงไม่เข้าที่ เพราะภาพจากดวงตาทั้งสองข้างยังคงซ้อนเหลื่อมกันอยู่ แต่เขารับรู้ได้ว่ามันกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ และคงจะเป็นปกติได้ในที่สุด

“...ผม...ผมไม่เป็นอะไร”

ในหัวของเขามีเพียงความว่างเปล่า

“...เกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ที่ไหน...ผม...ผม...”

เขายกมือขึ้นมาปิดหน้า เกิดความรู้สึกวิงเวียนแปลกๆ ขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อเขาพยายามใช้ความคิด

“ผมว่าคุณนอนลงก่อนดีกว่า รถของคุณตกลงมาจากท้องฟ้า แรงกระแทกคงทำให้คุณได้รับความกระทบกระเทือน”

เขาค่อยๆ เอนหลังลงนอนพร้อมกับหลับตา ภาพเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นค่อยๆ ย้อนกลับมาทีละน้อย ความรู้สึกวิงเวียนก็ค่อยๆ ลดลง เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเป็นปกติ เขาได้เห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน และมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับผู้พเนจรที่ไม่ใช่เป็นเพียงข้อมูลที่มีไว้ให้ศึกษาเท่านั้น

ความรู้สึกแรกของเขาก็คือ 'พวกเขาเหมือนกับพวกเรามาก ต่างจากที่ข้อมูลบอกเอาไว้' ชายคนนี้น่าจะมีอายุเท่าๆ กับเขา หรืออาจจะมากกว่าสักสองสามปี

เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวทักทาย

“สวัสดีครับ ผมมีชื่อเรียกว่า คีย์”

ชายแปลกหน้ายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระดับหัวไหล่ ก่อนแบหงายฝ่ามือออก แล้วจึงค่อยยื่นออกมาจับมือกับเขา

“สวัสดี ผมชื่อ ซูฟี”

แม้จะไม่เข้าใจ และรู้สึกแปลกๆ กับท่าทางดังกล่าว แต่เขาคิดว่าคงยังไม่ค่อยเหมาะนัก ที่จะถามถึงเรื่องนี้

“คุณช่วยผมไว้สินะ ขอบคุณมากครับ”

ซูฟี ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า

“รถนั่นต่างหากที่ช่วยชีวิตคุณเอาไว้ ผมแค่ลากคุณออกมาอย่างผู้พเนจรที่ดีควรทำ ก็แค่นั้น”

เขาหันกลับไปมองตัวรถ ที่ตอนนี้สภาพภายนอกของมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาพอจะเข้าใจในระบบนิรภัยของมันแล้ว เขายกไอพีของตนขึ้นดูด้วยความเคยชิน โดยไม่ได้รู้สึกถึงความสนใจอย่างผิดปกติของฝ่ายตรงข้ามเลย

ไอพีของเขาเปลี่ยนเข้าสู่ระบบประหยัดพลังงาน เพราะบนพื้นผิวโลกทั้งหมดนั้นไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย มันจึงแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเจ้าเอสยูหัวกลมที่ยังคงล่องลอยไปมาอยู่ในหน้าจอ พร้อมยิ้มตอบให้กับเขาเหมือนทุกที ถึงแม้ว่ามันจะเคยช่วยเขามาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า ที่ผ่านมานั้นเขาติดต่อกับมันได้อย่างไร

“...ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”

เขาเงยหน้าขึ้น และไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อย ที่คู่สนทนารีบทำเป็นหันมองไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ ในเมื่อคุณปลอดภัยดีแล้ว ผมก็คงต้องขอตัวก่อน”

ซูฟีต้องการจากไปโดยเร็ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับสิ่งล่อใจให้นานไปมากกว่านี้

“เดี๋ยวก่อนครับ...”

คีย์เรียกเขาเอาไว้ เพราะตอนนี้เขายังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาคงต้องพยายามเดินทางไปยังศาสนจักร แต่จะไปอย่างไร และทางไหน คงต้องหวังพึ่งผู้พเนจรแปลกหน้าที่ดูท่าทางไว้ใจได้คนนี้เสียแล้ว

“ผมต้องเดินทางไปยังศาสนจักร ไม่รู้ว่าต้องไปทางทิศไหน...และอีกไกลมากหรือเปล่าครับ”

“...คุณไม่คิดจะกลับไปยังเมืองของคุณก่อนหรือ ถ้ารออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานก็คงมีเจ้าหน้าที่พิเศษมารับคุณกลับไปเอง”

พอได้ยินคำ เจ้าหน้าที่พิเศษ เขาถึงกับสะดุ้ง

“...ผม ผมมีธุระด่วนที่ต้องไปยังศาสนจักรให้ได้น่ะครับ”

ท่าทีของคีย์ ทำให้เขาแปลกใจ 'ต้องมีเรื่องอะไรแน่ บางทีเขาอาจกำลังอยู่ในระหว่างหลบหนี' แต่ถึงอย่างนั้น ลักษณะของฝ่ายตรงข้ามกลับทำให้เขาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดสักเท่าไร

“ศาสนจักรที่ใกล้ที่สุดก็ต้องเป็น แชงกรีลา เดินไปตามถนนสายนี้อีกประมาณครึ่งวันก็คงถึง...”

เขาชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง ส่วนถนนที่ว่าก็คือพื้นที่ที่เคยอยู่ใต้ ถนนบนฟ้า นั่นเอง ถึงแม้จะมีเศษซากต่างๆ กองระเกะระกะ แต่ก็ยังพอมองเห็นมันได้อยู่

“...แต่คุณไม่ควรเดินทางในตอนกลางคืนแบบนี้ หาที่พักผ่อนแล้วรอให้ถึงตอนเช้าค่อยไปจะดีกว่า”

“ทำไมหรือครับ”

ซูฟีไม่แปลกใจนักที่คนพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวบนพื้นผิวโลก

“ยังมีอันตรายจากฝูงสัตว์กินเนื้อที่ออกหากินในเวลากลางคืน ถึงแม้ว่าพวกมันจะเหลืออยู่ไม่มากนักก็ตาม”

คีย์แปลกใจที่ได้ยินเรื่องนี้ เพราะตามข้อมูลที่เขาเคยรับรู้มา บนพื้นผิวโลกแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

“...อย่างพวก เสือ สิงโต หรือ หมี ใช่ไหมครับ”

เขานึกทบทวนถึงชื่อ และภาพของสัตว์ป่าอีกหลายชนิด ที่เกิดและเติบโตขึ้นภายในสถานที่ที่เรียกว่า สวนสัตว์ ในช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามขึ้น นั่นเป็นสถานที่สุดท้ายที่ข้อมูลของพวกมันได้ถูกบันทึกเอาไว้ ในยุคสมัยนั้นสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ได้สูญหายไปจนเกือบหมดสิ้น หลงเหลือเพียงส่วนน้อยในสวนสัตว์ ที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ เท่านั้น

ซูฟีหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคนเมืองพูดถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานพวกนั้น 'เขาคิดว่าพวกมันมีตัวตนอยู่จริงอย่างนั้นหรือ คนพวกนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย'

“ผมหมายถึงพวกสุนัข หรือ หมา ต่างหาก คุณรู้จักไหม”

คีย์ย่อมรู้จักพวกมัน

“แต่พวกมันไม่ใช่สัตว์ป่า และไม่น่าจะมีอันตรายไม่ใช่หรือครับ”

ซูฟียิ้มให้กับความไม่เดียงสาของเขา

“พวกมันเป็นสัตว์ป่า และเป็นอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันจะออกล่ากันเป็นฝูง ฉลาดในการไล่ต้อนเหยื่ออย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ยังมีพวกแมลงมีพิษอีกหลายชนิดที่ออกหากินในเวลากลางคืนด้วย”

มันไม่ตรงกับข้อมูลที่เขาเคยรับรู้มาเลย แต่คีย์ก็ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะพูดล้อเล่น เขาคงคิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาโหดร้ายเพียงสั้นๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก จะสามารถทำลายมิตรภาพที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างมนุษย์ กับเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างสุนัขลงจนหมดสิ้น

ในทุกวันนี้ สุนัขอาจเป็นสัตว์ที่เหลือรอดอยู่มากที่สุด นอกเหนือจากมนุษย์ก็เป็นได้ พวกมันได้หลบหนีจากการตกเป็นอาหารในช่วงของความขาดแคลน และกลับคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติอย่างรวดเร็ว พวกมันล้วนมีพละกำลัง และอาวุธติดตัวอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกมันหันกลับมาอ้าเขี้ยวเข้าใส่มนุษย์ มิตรที่ดีที่สุดก็กลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวไป

“ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ผมขอไปพักกับคุณได้ไหมครับ”

“...เรื่องนั้น”

“แล้วผมจะตอบแทนคุณ”

คีย์คิดว่าเขายังมีเงินที่พ่อทิ้งไว้ให้อยู่อีกมาก แต่เขาลืมนึกไปว่าเงินจำนวนนั้นสามารถแลกเปลี่ยนได้เฉพาะกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทางสภานวโลกาเท่านั้น ไม่อาจใช้ทั่วไปในโลกเบื้องบนนี้ได้ เป็นอีกครั้งที่แววตาของคู่สนทนาของเขาเปลี่ยนไป และเขาไม่ทันได้พบเห็นมัน

“ถ้านั่นเป็นคำสัญญา ผมก็ตกลง”

“ผมสัญญา”

คีย์กล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนที่ซูฟีจะค่อยๆ เดินนำเขาไปในความมืด ชุดของทั้งคู่เรืองแสงขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ถึงแม้ทั้งสองจะมีขนาดรูปร่างใกล้เคียงกัน แต่ความคล่องตัว และพละกำลัง กลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าฝ่ายที่แข็งแรงกว่าย่อมเป็นซูฟีอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมลืมบอกไปว่าผมไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง”

ซูฟีพูดขึ้นในขณะที่ทั้งสองเดินทางใกล้ถึงที่พักค้างแรมของพวกเขา ชุดที่สวมใส่อยู่นั้นค่อยๆ หรี่แสงลง เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระดับหัวไหล่ แบมือออกไปทางด้านหน้า เหมือนกับที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้ คีย์เองก็ทำตามอย่าง และเขาหันมามองพร้อมกับพยักหน้าบอกว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว

สิ่งแรกที่หญิงสาวมองเห็นก็คือไอพีที่อยู่บนแขนของชายแปลกหน้าที่ติดตามสามีของเธอมา และมันทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เธอชื่อ ดวงใจ เป็นภรรยาของผม ส่วนที่นอนหลับอยู่คือ แก้วตา ลูกสาวของผม”

ซูฟีกล่าวแนะนำเบาๆ และนั่นนำความแปลกใจอย่างใหญ่หลวงมาให้กับคีย์ 'พวกเราน่าจะมีอายุใกล้เคียงกัน แต่เขาแต่งงานแล้ว แถมยังมีลูกอีกด้วย' เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครมีครอบครัวเร็วขนาดนี้ แต่บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องปกติของผู้พเนจรเหล่านี้ก็เป็นได้

“สวัสดีครับ ผม คีย์ ครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

ดูเหมือนว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้พเนจรที่เขารับรู้มานั้นจะผิดไปจากความเป็นจริงในหลายๆ ด้าน รูปร่างของพวกเขามองดูไม่แตกต่างจากพวกที่อยู่ในเมืองใต้ดินเลยสักนิด อาจจะมีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โต หรือผิดรูปผิดร่างอย่างที่บอกเอาไว้

นอกจากนี้ คนพวกนี้ก็ยังดูมีวัฒนธรรม อีกทั้งยังคงมีระบบครอบครัว ที่ดูเหมือนจะดีกว่าในเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมาด้วยซ้ำไป 'บางที อาจมีความผิดพลาดในการจัดทำข้อมูลมาตั้งแต่แรกก็เป็นได้' นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่ดูเหมือนจะฟังดูมีเหตุผล

“คุณไปนอนทางด้านนั้น แล้วพรุ่งนี้เช้าเราค่อยออกเดินทาง”

คีย์พยักหน้าเดินจากไปยังมุมที่เขาบอกพร้อมกับล้มตัวลงนอน หญิงสาวดูเหมือนมีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถาม แต่เธอก็ไม่พูดอะไร เมื่อทั้งคู่ล้มตัวลงนอน เขาก็กระซิบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง รวมถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจด้วย หญิงสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย

ความคิดต่างๆ รุมเร้าเข้ามาจนตอนแรกคีย์ไม่คิดว่าเขาจะนอนหลับลงได้ แต่ความเหน็ดเหนื่อยทั้งกาย และใจที่มากกว่าปกติ ก็บังคับให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราได้ในที่สุด

ยามเช้ามาเยือน เมฆหนาขยับเขยื้อนแยกออกจากกันเป็นบางครั้ง เปิดเผยให้เห็นท้องฟ้าที่มีสีสว่าง อากาศเองก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าในตอนกลางคืนเล็กน้อย แต่ยังห่างไกลจากคำว่าอบอุ่น คีย์ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างแปลกประหลาด เมื่อเขาเริ่มขยับตัว ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ เองก็พึ่งตื่นเช่นกัน

'ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนั้นนะ' ความคิดทั้งหลายอันสับสนวุ่นวายในยามที่ล้มตัวลงนอน ไม่ใช่ พ่อ เพื่อน หรือ ทริก แต่กลับเป็นหญิงสาวสวยผู้ลึกลับที่เขาได้พบเจอเพียงครั้งเดียวนั้น ที่เป็นสิ่งสุดท้ายซึ่งเขาจดจำได้ก่อนที่สติจะดับวูบไป

“...สวัสดีค่ะ”

เสียงเล็กๆ ที่น่ารักเรียกให้เขากลับมาสู่ปัจจุบัน เด็กหญิงตัวน้อยตากลมโตกำลังยืนจ้อง และกล่าวคำทักทายกับเขา ถึงแม้จะแลดูสดใส แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ เด็กหญิงคนนี้ต้องมีสิ่งผิดปกติบางอย่าง ที่เขายังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไรกันแน่

“สวัสดีจ๊ะ แก้วตา”

“คุณรู้จักชื่อหนู”

“ผม คีย์ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”

เธอเอื้อมมือจูงแขนของเขาไป 'รูปร่างเธอเล็กเกินไป' นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความไม่ปกติของเธอ ทั้งหมดเดินไปนั่งรวมกัน และซูฟีก็นำเนื้อแห้ง กับอาหารที่ทำจากแป้งบางอย่างออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่คีย์ได้เห็นอาหารหน้าตาแบบนี้

“นี่เป็นทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่เราจะไม่มีปัญหาเมื่อไปถึงแชงกรีลาในตอนบ่ายของวันนี้ พวกเขาจะต้อนรับเรา และแบ่งปันสิ่งที่จำเป็นให้”

ซูฟีกล่าวกับแขกของเขา คีย์ล้วงเข้าไปในชุดก่อนหยิบอาหารเม็ดขนาดประมาณหัวแม่มือ ซึ่งถูกบรรจุเอาไว้ภายในห่อที่ผนึกแน่นออกมา มันเป็นหนึ่งในรูปแบบของอาหารสำเร็จรูปที่พกพาง่าย กินเพียงหนึ่งเม็ดพร้อมกับน้ำ ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารที่เพียงพอสำหรับหนึ่งมื้อ รวมถึงทำให้รู้สึกอิ่มได้ด้วย

อาหารตามปกติของเขาจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารอาหาร น้ำ เนื้อสัมผัส และรสที่ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกอร่อยในการกิน รวมอยู่ภายในถ้วยเดียวกัน พวกมันมีหลายรส แต่ไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นรสของอะไรทั้งสิ้น และจะถูกจัดให้สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละมื้อด้วยการสุ่ม

“...มันคืออะไรคะ”

เด็กน้อยเอ่ยถาม

“มันเป็นอาหารแบบหนึ่ง เธอจะลองชิมดูไหม”

หญิงสาวมองดูอย่างหวาดระแวง ก่อนยื่นมือมาขวางลูกสาวของตนไว้ เขายิ้มให้กับเธอ แกะห่อมันออก ใส่เข้าปาก อมไว้สักครู่ ก่อนกลืนลงไปทั้งเม็ด มันทิ้งรสหวานเล็กน้อยไว้ในปาก กับความรู้สึกอิ่มที่ค่อยๆ ฟูขึ้นมาจากในท้อง

ที่เหลือจึงเริ่มกินกันอย่างเงียบๆ หญิงสาวต้องเคี้ยวเนื้อแห้งไว้ในปากของเธอครู่หนึ่งก่อนป้อนให้กับเด็กน้อย มันคงจะแข็งเกินไปสำหรับฟันของเธอ อาหารเช้าเงียบๆ มื้อนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นเองเสียงใสๆ ของเด็กน้อยก็ดังขึ้น

“นี่มันตัวอะไรคะ”

เด็กน้อยชี้มือไปยังเจ้าตัวหัวกลมซึ่งลอยไปมาอยู่ในไอพีของเขา มันยิ้มตอบเธออย่างน่ารัก

“มันชื่อ เอสยู เพื่อนรักของผมเป็นคนให้มา”

“มันน่ารักจังเลย ขอหนูดูมันชัดๆ ได้ไหมคะ”

เขาขยับตำแหน่งเพื่อให้เด็กน้อยนั่งดูได้ถนัด โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาแปลกๆ อีกสองคู่กำลังจ้องมองดู ทั้งลูกสาวของพวกตน และไอพีที่อยู่บนแขนของเขา แล้วในไม่ช้าการเดินทางมุ่งหน้าสู่แชงกรีลาก็เริ่มต้นขึ้น

#####

'หมดไปแปดชั่วโมงแล้ว' แปดชั่วโมงที่ไม่ได้อะไรคืบหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ไอรอน หยิบยาอีกเม็ดหนึ่งส่งเข้าปาก เธอต้องกินมันทุกๆ แปดชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องนอน มีคำเตือนว่าไม่ควรใช้มันนานเกินกว่าสี่สิบแปดชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเธอ และเธอคงต้องแกล้งลืมไปว่าใช้มันมานานเท่าไรแล้ว

อะไรบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวของเธอเกี่ยวกับการปฏิบัติการของทริก 'เด็กคนนั้นหนีรอดเงื้อมมือเธอไปได้อย่างไรกัน' แม้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกว่าบางที อาจมีคำตอบที่คาดไม่ถึงซุกซ่อนอยู่ในนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะเปิดรายงานฉบับนั้นออกดู

“ท่านคะ...”

“มีอะไร”

เธอตอบทรีด พร้อมกับเริ่มอ่านรายงานฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว

“...ไม่มีการติดต่อจากท่านประธานสภามาอีกเลยนะค่ะ นับตั้งแต่เกิดเหตุพลังงานดับขึ้น”

คำพูดของทรีดทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดปกติได้เช่นกัน แล้วทันใดนั้นเธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม 'ฉันประมาทเกินไปแล้ว'

“ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทันที”

“อะไรนะคะ”

“เร็วเข้า ไม่มีเวลาแล้ว”

'ไม่ใช่ ไม่มีเวลา บางทีอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้' เธอปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของทรีด แล้วกลับมาพยายามมองหาคำตอบที่ต้องการ ซึ่งอาจซุกซ่อนอยู่ภายในรายงานฉบับนี้


Create Date : 24 กันยายน 2554
Last Update : 24 กันยายน 2554 18:48:12 น. 0 comments
Counter : 592 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.