ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
8 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
เพลงดวงดาว ตอนที่ 16

“...คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดครับ”

ทางเดินร้างว่างเปล่า ไม่มีผู้คนให้พบเห็น หากเป็นภายในเมืองที่คีย์พึ่งจากมา เขาคงไม่ค่อยแปลกใจนัก ผู้คนเหล่านั้นคงกำลังใช้ไอพีเพื่อทำอะไรบางอย่างอยู่ในพื้นที่ของตนเอง แต่ในเมื่อศาสนจักรไม่มีไอพี เขาก็นึกไม่ออกว่าเวลาส่วนใหญ่ของคนพวกนี้หมดไปกับการทำสิ่งใด

“ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน พวกเราส่วนใหญ่จึงยังอยู่ที่ฟาร์ม รอให้ถึงเวลาเย็นเสียก่อนเถอะ คุณจะได้เห็นการใช้ชีวิตที่มากสีสรรของพวกเรา”

เนวิตอบอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งทำให้เขารู้สึกอยากเห็นช่วงเวลาที่ว่านั้นขึ้นมา เจ้าบ้านแอบชำเลืองมองไปทางหญิงสวมหน้ากากแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ทำไมคุณถึงไม่นั่งรถมา...และทำไมพวกคุณสองคนถึงเดินทางมาด้วยกันได้”

การพยายามหาคำตอบที่เหมาะสม ทำให้เขาถึงกับต้องเงียบไปครู่ใหญ่ ความจริงแล้วเขาเริ่มต้นการเดินทาง หรือการหลบหนีในครั้งนี้ด้วยรถ หรือถ้าจะให้เฉพาะเจาะจงลงไปมากกว่านั้น ทั้งหมดเริ่มต้นมาจากพินัยกรรมที่ล่องหนหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ การมาเยือนของทริก เจ้าหน้าที่พิเศษจากสำนักวิทยาศาสตร์ และจบลงด้วยการตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างคาดไม่ถึง

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขายังไม่รู้เลยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร และการได้พบกับผู้ร่วมทางที่คาดไม่ถึงอย่างหญิงสวมหน้ากากผู้นี้ ก็ยิ่งไม่มีคำอธิบายเข้าไปใหญ่

“...มันเป็นอุบัติเหตุ”

นั่นเป็นคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกมาได้ในตอนนี้ เนวิหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย

“บางสิ่งที่เธอยังไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะเธอไม่ล่วงรู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้นเอง”

ทั้งสองหันไปมองหญิงสวมหน้ากากพร้อมกัน ทั้งคู่ต่างไม่คาดว่าจะได้ยินอะไรจากปากของเธอ คำอธิบายนี้ยิ่งทำให้คีย์รู้สึกว่าบางที เธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้มากกว่าตัวเขาก็เป็นได้ และการได้พบเจอกัน ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น

เนวิเดินนำทั้งสองคนไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คีย์คาดว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ส่วนที่เป็นลานจอดรถ และห้องประกอบพิธีซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางเข้าไปทุกทีแล้ว เขาควรรีบคิดหาหนทางต่อไปโดยเร็ว แต่การเดินทางไปสู่ดวงจันทร์มีคำตอบอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือสำนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งหมายความว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยสำหรับเขาในตอนนี้

นอกจากว่าเขาจะสามารถล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสำนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้เขาสามารถสร้างอำนาจการต่อรองขึ้นมาได้ แต่เขายังคงมืดแปดด้านอยู่สำหรับเรื่องนี้

'หล่ง' เขาอดคิดถึงเพื่อนที่ต้องแยกจากกันไม่ได้ นั่นเป็นงานประเภทที่เขาถนัดมากที่สุด 'เขาอาจช่วยได้ ถ้าฉันสามารถติดต่อกับเขา และถ้าเขายังคงมีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่' ซึ่งเขาไม่อาจหลอกตัวเองให้เชื่อเช่นนั้นได้เลย

'ถ้าไม่อาจพึ่งพาสำนักวิทยาศาสตร์ ก็คงเหลือเพียง' เขาเหลือบมองไปทางเนวิ ซึ่งอาการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่อาจรอดสายตาของหญิงสวมหน้ากากไปได้

“เอ่อ...นอกจากการทำฟาร์มแมลงแล้ว พวกคุณยังมีเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ อีกไหมครับ”

เนวิหันกลับมาอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เราไม่เหมือนกับคนเมืองอย่างพวกคุณ พวกเราจะใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และการนำมาใช้ก็ต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก...คุณคงยังไม่ลืมว่า เพราะเหตุใดโลกที่เคยสวยงาม จึงกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้ มีบางสิ่งที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง...เพราะพวกเรายังไม่ฉลาดพอที่จะล่วงรู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลัง หรือความจริงทั้งหมดของธรรมชาตินั่นเอง”

ไม่รู้ว่าเขาจงใจที่จะล้อคำพูดของเธอเมื่อครู่นี้หรือไม่

“...นั่นไม่เป็นความจริงเลย”

คีย์โต้ตอบออกมาเบาๆ ตัวเขาเองก็เคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว

“มนุษย์ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่เคยมีมา สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือปัญญา ความสงสัยใคร่รู้ ความสามารถในการตั้งคำถาม และความพยายามในการค้นหาคำตอบ...เรามองขึ้นไปบนฟ้ากว้าง จ้องเข้าไปในอวกาศอันลึกลับ แล้ววันหนึ่งเราก็ติดปีกโบยบินขึ้นไปเพื่อค้นหาคำตอบ ค้นหาความหมายให้กับตนเอง”

“...และความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น ก็คือตัวตนของมนุษย์อย่างพวกเรา”

แววตาของเนวิยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“คุณรู้จักโรคในสมัยโบราณที่เรียกว่า มะเร็ง หรือเปล่า”

คีย์พยักหน้า ความสนใจในประวัติศาสตร์ทำให้เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาบ้าง เขารู้ว่ามันเกิดขึ้นจากความผิดปกติของการแบ่งเซลภายในร่างกายที่หลุดออกจากการควบคุม อีกทั้งเซลที่ผิดปกติเหล่านี้ยังสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เกาะกิน และเติบโตได้อย่างอิสระ จนกระทั่งเจ้าของร่างต้องพ่ายแพ้ต่อเซลผิดปกติของตนเองในที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันง่ายหน่อย”

น่าเสียดายที่ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคชนิดนี้กลับสูญหายไปจนหมด หรือไม่เขาก็ยังค้นไม่พบเอง แต่ในปัจจุบันนี้ไม่มีรายงานเกี่ยวกับโรคชนิดนี้แล้ว นั่นหมายความว่า มันอาจเป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มนุษย์ได้ทุ่มเทปัญญา จนสามารถกำจัดให้สูญสิ้นไปได้ในที่สุด

“ถ้าโลกใบนี้คือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ ผืนแผ่นดินคือโครงกระดูก ท้องทะเลคือเลือด ชั้นบรรยากาศคือปอด ทุกสิ่งทุกอย่างคือองค์ประกอบของร่างกายขนาดยักษ์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้ก็คงเหมือนกับเซลภายในร่างกายนั่นเอง”

“เซลชนิดต่างๆ มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เซลหลายชนิดสูญพันธุ์ไป ก่อนที่จะมีเซลชนิดใหม่ๆ มาแทนที่ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เกิดมีเซลชนิดพิเศษที่เรียกว่า มนุษย์ ขึ้นมาบนโลกใบนี้”

หญิงสวมหน้ากากหันไปอีกทางหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังที่แสนไกล คล้ายกับกำลังคิดถึงความหลัง

“...แล้วสิ่งที่เซลชนิดพิเศษทำกับโลกคือสิ่งใดกัน พวกเราใช้สติปัญญาอันสูงล้ำเหนือปกติเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง พวกเราไร้การควบคุม แพร่กระจาย เกาะกินโลกใบนี้ เจาะเข้าไปในไขกระดูก ดื่มกินเลือดอย่างหิวกระหาย ยึดครองทุกสิ่งโดยไม่ใส่ใจในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันบนดาวดวงนี้”

ทั้งสองประสานสายตากัน

“พวกเราก็เปรียบเหมือนกับเซลมะเร็งของโลกใบนี้ แพร่กระจาย กัดกิน และทำลายบ้านเพียงหลังเดียวที่พวกเรามีอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่...”

เขาเน้นย้ำคำพูดอย่างหนักแน่น

“...และนั่นทำให้พวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ โลกใบนี้กำลังจะตายลงด้วยน้ำมือของพวกเราเอง แต่คนเมืองอย่างพวกคุณก็ยังไม่รู้ตัว พวกคุณยังคงเย่อหยิ่ง ยังคงคิดว่าสติปัญญา กับเทคโนโลยีที่เคยเกือบทำลายโลกใบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง คือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง”

“แต่พวกคุณก็ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านั้นอยู่เช่นกัน”

คีย์อดตอบโต้ออกไปไม่ได้ เขารู้ว่าที่เนวิพูดออกมานั้นก็มีส่วนถูก แต่ 'มันไม่ใช่แบบนั้น' ถ้าหนทางที่ถูกต้องคือการที่มนุษย์ไม่ควรต่างไปจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เป็นเพียงสัตว์อีกชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้น 'มันไม่ควรเป็นแบบนั้น'

“...พอเถอะ”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น เนวิหันไปมองเธอ เขาเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

“...พวกเรามาถึงจุดหมายแล้ว”

เขาเอื้อมมือออกไปผลักประตูเบื้องหน้าให้เปิดออก ภายในห้องนั้นสว่างขึ้นโดยทันที ห้องเล็กๆ ที่คุ้นตาปรากฏขึ้นต่อหน้าคีย์อีกครั้ง ที่โดดเด่นที่สุดในนี้ยังคงเป็นเครื่องมือที่ประกอบด้วยโลหะ กับกระจก ที่มีรูปร่างเหมือนกับโลงศพนั่นเอง เขาเดินตรงไปยังเครื่องมือนั้นโดยไม่รอช้า ก่อนหยุดยืนนิ่งที่ด้านข้างของแผงควบคุม

“ขอจักรวาลจงคุ้มครองคุณ”

หลังจากนั้นเขาจึงเรียกให้คีย์ขึ้นมายืนอยู่อีกด้านหนึ่งของแผงควบคุมนั้น พร้อมกับชี้ให้ดูตัวอักษร 'ผนึก' ที่กำลังกระพริบอยู่

“นั่นหมายความว่ายังไม่มีใครมายุ่งกับมันจนถึงตอนนี้”

เขายื่นมือไปยังแผงควบคุม นิ้วทั้งห้าเคลื่อนไปมาอย่างรวดเร็ว ช่องเล็กๆ ที่ด้านข้างของโลงโลหะ ใกล้ๆ กับแผงควบคุมนั้นเปิดออก แม้ยังมองไม่เห็นถนัดตา แต่คีย์ก็เชื่อว่าภายในนั้นต้องเป็นเพชรที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเถ้าถ่านของ จันทร์ ดุริยดารา บิดาของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากนั้นเนวิก็หลบไปยืนอยู่ทางด้านข้าง พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้เจ้าของที่แท้จริงเป็นผู้หยิบเพชรเม็ดนั้นออกมาด้วยตนเอง นั่นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่มีการสับเปลี่ยนเพชรเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

คีย์ค่อยๆ เอื้อมมือลงไปหยิบสิ่งของเล็กๆ ที่อยู่ภายในช่องนั้นออกมา ไม่น่าเชื่อว่าเขาต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆ มากมายกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้

เขาจ้องมองดูผลึกสีเหลืองสุกใสในมือ มันดูธรรมดาจนเกินไป เหมือนกับหินสวยๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น และมันทำให้เขารู้สึกสับสน 'จะดั้นด้นมาเอามันไปเพื่ออะไรกันนะ'

“...ดูเหมือนหน้าที่ของฉันจะจบลงแล้ว”

หญิงสวมหน้ากากพูดขึ้น คีย์จึงละสายตาจากผลึกหินในมือไปหาเธอ ในขณะที่เนวิยืนดูอยู่เงียบๆ

“เอ่อ ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยพาผมมาส่งถึงที่นี่ แล้ว...แล้วคุณจะเดินทางไปไหนต่อครับ”

ตัวเขาเองนั้นยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ถ้าหากหญิงลึกลับผู้นี้จะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะขอร่วมทางไปกับเธอด้วย เพราะดูเหมือนว่าการอยู่ในศาสนจักรต่อไปคงไม่ทำให้เขาเข้าใกล้ดวงจันทร์ได้

“เราคงต้องจากกันเพียงแค่นี้...แต่ก่อนไป ฉันยังมีเรื่องที่ต้องสะสางเสียก่อน”

อะไรบางอย่างในตัว บอกเขาในทันทีว่า ต้องระมัดระวังแล้ว

“ซูฟีได้จ่ายค่าตอบแทนในส่วนของเขามาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังนะ”

“...คุณหมายความว่า...ไม่ ทั้งหมดนี้เป็นคำขอร้องของซูฟีเท่านั้น และเขาได้ทำตามคำขอของคุณ จัดการกับเนื้อพวกนั้นไปแล้ว...มันไม่เกี่ยวกับผมอีก”

เขากำเพชรสีเหลืองในมือจนแน่นอย่างลืมตัว หัวใจเต้นแรง เหงื่อไหลซึมออกมา 'ไม่นะ ไม่นะ'

“เธอยังไม่เข้าใจกฏของพวกเราจริงๆ สิ่งที่ฉันทำนี้เป็นประโยชน์ทั้งกับซูฟี และตัวเธอ ดังนั้นฉันควรได้รับการตอบแทนจากทั้งสองฝ่าย”

“...แต่ แต่ ซูฟียังคงติดค้างผม เขามาส่งผมไม่ได้ แต่เขาได้ไอพีเป็นค่าตอบแทนไปแล้ว และคุณเข้ามารับช่วงงานนั้นแทน ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องตอบแทนคุณเพิ่มอีก”

“ในตอนนั้นพวกเราทั้งสามฝ่ายต่างยอมรับ เธอเองก็ไม่ได้ทักท้วง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาของฉัน และในเมื่อพวกเราไม่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อน ดังนั้นฉันจะเลือกสิ่งที่ต้องการจากเธอเอง”

เขาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ความรู้สึกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เกิดกับซูฟีเสียอีก 'เธอบอกเล่าเรื่องราวพวกนั้นให้ฟัง แต่ก็ยังตั้งใจที่จะหลอกอีก'

“ไม่ ผมไม่ยอมให้เพชรเม็ดนี้กับคุณเด็ดขาด”

“เธอฉลาดพอที่จะรู้ว่าฉันต้องการอะไร แต่ไม่ฉลาดเลยที่พูดออกมาอย่างนั้น”

“ผมไม่ยอม”

เขาตะโกนเสียงดัง

“นั่นหมายความว่า เธอพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฉัน และตัดสินกันตามวิถีของผู้พเนจร”

“ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกคุณทั้งสอง...”

เนวิที่พูดแทรกขึ้นมา หันมาหาคีย์

“...แต่การต่อสู้กับผู้อาวุโสก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย และหากตายไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพชรที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวในโลกก็ตาม”

คำพูดที่มีเหตุผลนี้ก็ไม่อาจดับความโกรธที่อัดแน่นอยู่ภายในอกของเขาได้

“มาเลย ผมจะสู้กับ...”

เขาไม่ได้กระพริบตา แต่ร่างของหญิงสวมหน้ากากที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าได้หายไปแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ทุกสิ่งที่เคยอยู่รอบกายเขาก็หายไปด้วย เสียงทั้งหมดเงียบไป ภาพของสิ่งต่างๆ แสงสว่างดับวูบ เขายังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ คือความเป็นจริงที่จะเกิดกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ความเป็นจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น ความตายอันเที่ยงแท้ ความตายที่เงียบงัน

เนวิสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เขาเคยได้ยินคำเล่าลือมากมายเกี่ยวกับผู้อาวุโส และพลังฝีมือของพวกเขา แต่ไม่มีคำอธิบายใดที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาพึ่งได้พบเห็นนี้เลย มันรวดเร็ว เรียบง่าย จนคาดไม่ถึง เธอเข้าประชิดร่างเขาราวกับหายตัวได้ มือข้างหนึ่งวางทาบอยู่บนหน้าอกของเป้าหมาย

สมองของเนวิยังไม่ทันบอกได้ว่าเธอใช้มือขวา หรือมือซ้ายจู่โจม ทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งหัวใจ และลมหายใจ ของคีย์ถูกหยุดลงพร้อมๆ กัน เขาล้มหงายไปทางด้านหลัง ราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายโยงทั้งหมดออกพร้อมๆ กัน

เธอก้มลงหยิบเพชรสีเหลืองออกมาจากมือของคีย์ สิ่งที่ก่อนหน้านี้เขายังกำเอาไว้อย่างแนบแน่น แต่มันก็แค่นั้น กว่าที่หลายคนจะล่วงรู้ถึงความจริงง่ายๆ ในข้อนี้ ก็มักจะสายเกินไปเสมอ

เธอเดินจากไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จุดหมายของเธอทำให้เนวิต้องขมวดคิ้ว 'ลานจอดรถ เธอจะไปทำอะไรที่นั่น' มีเพียงคนเมืองเท่านั้นที่สามารถใช้รถได้ และผู้อาวุโสอย่างเธอก็ไม่มีทางที่จะเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น

'หรือว่า' ถึงแม้ว่าเขาอยากจะหยุดเธอเอาไว้ อยากสอบถามความจริงจากเธอ และที่สำคัญ เขาอยากรู้ว่าเพชรเม็ดนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไร กับเหตุวุ่นวายขนานใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นกับสำนักวิทยาศาสตร์ในตอนนี้ แต่ร่างของคีย์ที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าเป็นสิ่งเตือนใจได้เป็นอย่างดี เขาจึงทำได้แค่ปล่อยให้เธอเดินจากไป

“เราคงปล่อยให้เธอจากไปแบบนี้ไม่ได้”

เมื่อผ่านเข้าสู่ลานจอดรถ หญิงสวมหน้ากากก็ต้องเผชิญหน้ากับคนที่คาดไม่ถึง เด็กหญิงผมดำที่มีดวงตากลมโตกำลังยืนรออยู่ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยแปลกใจนัก

“จะให้เรียกท่านอย่างไรดี แพรดาว หรือควรเป็นจักรวาลตารจะเหมาะสมกว่า”

เด็กหญิงยิ้ม

“เช่นกันเราควรจะเรียกเธอว่าผู้อาวุโส หรือควรเป็น ทริก จะเหมาะสมกว่า”

รอยยิ้มที่เคยอยู่เบื้องหลังหน้ากากสลายหายไปทันที เธอปลดหน้ากากลงมา และใบหน้าที่เห็นก็คือทริกคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่รูปร่างของเธอเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไรในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ จากร่างกายที่เคยอวบอัด กลับกลายเป็นร่างที่เหมือนกับเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านกล้าเผชิญหน้ากับผู้อาวุโส”

“หรือเธอกล้าลงมือกับเรา”

เหงื่อเม็ดใสๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นจนเต็มแผ่นหลัง จักรวาลตารเพียงยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่อาจลงมือได้ ภายใต้ดวงตากลมโตสีดำสนิทคู่นั้น มีพลังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่ออกมา แต่เธอไม่อาจเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว เธอต้องรีบนำเพชรเม็ดนี้กลับไปโดยเร็ว

“...คีย์ยังนอนรอความตายอยู่ในห้องข้างๆ นี้ แต่หากปล่อยไว้นานกว่านี้ เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน”

พลังกดดันลึกลับจากเด็กหญิงไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

“...การที่ท่านชักนำเขาไปพบก่อนหน้านี้ คงต้องมีความสำคัญบางอย่าง”

พลังกดดันยังคงแน่วแน่ แต่แล้วอยู่ๆ มันก็หายไป ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน เด็กหญิงถอนใจก่อนเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก ทริกเองก็เร่งรุดไปยังรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้ที่สุด ก่อนมุดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ประตูลานจอดเปิดออก แล้วรถคันนั้นก็พุ่งหายออกไปในท้องฟ้าขมุกขมัว

#####

“พวกนั้นเจาะผ่านระบบป้องกันชั้นแรกของเราได้แล้วค่ะ”

เสียงของทรีดเรียกความสนใจของไอรอนให้กลับมาสู่สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ความหมายในคำพูดนั้นค่อยๆ ซึมเข้าสู่ความเข้าใจของเธอ

“...เป็นไปไม่ได้ แฮกเกอร์ระดับนั้นไม่มีทางเจาะระบบของเราได้แน่”

“แต่มันเป็นเรื่องจริงค่ะท่าน”

ไอรอนรีบดึงข้อมูลจากทรีดมาดูเองโดยละเอียดอีกครั้ง และเธอต้องยอมรับว่าระบบป้องกันที่เธอเคยภาคภูมิใจนั้น ถูกเจาะเข้ามาได้แล้วจริงๆ แต่ไม่ใช่ในแบบที่ทรีดเข้าใจ

“เจ้าแฮกเกอร์คนนี้ไม่ได้อยู่ในสำนักงาน...มันเจาะเข้ามาจากข้างนอกได้อย่างไรกัน”

ไอรอนเผลอกัดริมฝีปากตนเองอีกครั้ง ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่เธอต้องการเลย


Create Date : 08 มกราคม 2555
Last Update : 8 มกราคม 2555 20:36:45 น. 0 comments
Counter : 551 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.