ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
11 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
ตอน12 แบ่งภาค



เรื่องชุด เทวดาประจำกาย / ศรีจันทารา
ตอน 12 แบ่งภาค



ชาวสภากาแฟทิพย์ จับกลุ่มอยู่ใต้ต้นปาริฉัตก์ที่สะพรั่งไปด้วยดอกขาวละลานตา ชุดรับแขกน่าเอกเขนกถูกเนรมิตอยู่ใต้ต้นไม้หอมนับล้านปี การเสวนาอยู่ในหัวข้อ “ไปเกิดเป็นมนุษย์เห็นทุกข์ได้ง่าย” น่าสนใจต่อบรรดาเทพผู้เสวยสุขอยู่ดีแท้ๆ ลุงโรจนไวฑูรย์เสกสรรค์กาแฟรสกลมกล่อมให้พวกเราคนละแก้ว ด้วยความสามารถพิเศษในการลอกเลียนรสชาติของมันจากความจำสมัยครั้งเป็นมนุษย์ แต่ทว่าหอมกรุ่นกว่า เมธาพรมักบอกว่าไม่เหมือนรสกาแฟสักเท่าไร

เราชาวเทวดาขยาดกับการเกิดเป็นมนุษย์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นช่วงขาลงหรือเข้ากาลเสื่อมตามพุทธสมัยของพระสมณโคดมพระอรหัตสัมมาสมพุทธเจ้า อายุก็สั้น อ่อนแอ เกิดแก่เจ็บตายอย่างทรมาน จิตที่หยาบมักง่ายและไร้การควบคุม ย่อมกระทบต่อโลกอีกหลายด้าน เห็นได้ชัดกับกายที่หยาบมากขึ้นทุกวันไปตามจิตที่สนานไปกับตัณหา จนขาดจิตสำนึกต่อความรับผิดชอบต่อตัวเอง ผู้อื่น และส่วนรวม

มนุษย์ช่วงนี้มีอายุประมาณหนึ่งร้อยปี แต่ผมว่าไม่ถึง แม้จะอยู่ในยุคเจริญด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวพัฒนาไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายเต็มไปด้วยความเครียดและโรคร้าย จากพิษสงของความมักง่ายในเทคโนโลยีที่ค้นพบ และนำมาใช้ผิดร่องผิดรอย การตัดแต่งพันธุกรรมในสัตว์เป็นเรื่องร้ายแรง ที่มิติอื่นๆ ในห้วงจักรวาลยอมรับไม่ได้ การใช้สารพิษในอาหารของพวกฉวยโอกาสทำให้ผู้คนได้รับผลกระทบ ความอ่อนแอเพราะสารพิษตกค้างในร่างกาย (อนุมูลอิสระ) เกินกำจัดได้ มันจะไปทำลายเซลล์อื่นๆ ในร่างกายจนอวัยวะต่างๆ เสื่อม หรือทำให้การแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติ ก่อให้เกิดภาวะมะเร็ง โรคใหม่ๆ เกิดขึ้นตามปฏิกิริยาจากสารเคมี

เมธาพร รัตนกายี โอภาสฯ และผม เหล่าเทพยาดาหน้าใหม่ ฟังลุงโรจนไวฑูรย์อย่างสนใจใคร่รู้ เรียกลุงแบบนี้ อย่าคิดว่าแก่เทียว เพราะท่านยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวนางฟ้าติดตรึม ต้องคอยหาทางหลบเลี่ยงอยู่มิขาด

“เป็นมนุษย์ เห็นทุกข์ง่ายที่สุด” เป็นทั้งหัวข้อและบทสรุป

“จริงครับ” เมธาพร เทวดาที่เพิ่งล่วงจากสวรรค์และกลับขึ้นมาเป็นเทวดาได้ไม่นาน สนับสนุนคำพูดของท่านโรจนไวฑูรย์ทันที

“ถ้าเห็นทุกข์ของการเกิด ก็ตัดใจจากวัฏฏะสังสารได้ง่าย” ท่านกล่าวต่อ แต่ผมนึกถึงความเป็นทิพย์และวิมานกลางอากาศแสนบรมสุขของตัวเองแล้ว ให้เสียดายตะหงิดๆ แบบว่าตัดใจไม่ค่อยลง มันไม่ง่ายนักหรอก

“ปล่อยวางได้ ก็ไปนิพพานได้ใช่ไหม” รัตนากายีครุ่นคิด เธอว่าพวกเทพติดในสุขเกินไป ระเริงสุขจนชะล่าใจเกินไป ตกสวรรค์แล้วจะหนาว

“อย่างนั้นเป็นมนุษย์คงดี เป็นเทพแบบนี้ไม่เห็นทุกข์เท่าไหร่” ผมร่วมแจมการเสวนาไปทั้งไม่เต็มร้อย เสียงอ่อยเสียดายความสุขสบาย รู้คิดแต่ก็แค่คิด อาวรณ์สมบัติทิพย์ในตอนนี้เสียยิ่งกว่าอะไร

“แต่มันเสี่ยงนะประภาธารา ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วดันไม่เห็นทุกข์ หลงไปกับโลก เพลินไปกับกิเลสตัณหา หากตกอบาย ก็แย่เลย..” เทวดารูปงามอย่างเมธาพรเตือนผม คงคิดว่าผมเอาจริงเพราะเบื่อสังสารเต็มที หากถ้าไม่เป็นเทวดาอยู่แบบนี้ กับกายที่เบาขนาดนี้ ก็ไม่แน่ แต่ตอนนี้ผมสุขยิ่งกว่าเศรษฐีพันๆ ล้านคนใด

“ใช่มันเสี่ยง” ลุงโรจนไวฑูรย์ เทพอาวุโสเห็นด้วย “รู้ไหม สมัยพุทธกาล พวกโยคีที่ไม่พอใจกัน เขาสาบแช่งใส่กันอย่างไร? เขาขอให้อีกฝ่าย ไปเกิดใหม่ให้มีรูปงาม มีทรัพย์สินศฤงคารเพียบพร้อม จะได้หลงอยู่ในโลกนานๆ ไง..” ท่านกล่าวจบ ผมหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนถูกว่าเสียเอง เทวดาก็รูปงาม ความเป็นอยู่อย่างทิพย์สำราญเกินมนุษย์มากนัก โอกาสที่จะเห็นทุกข์บางทีก็สายเกินไป ยิ่งถ้าใครเพลินไปกับกามา แทนที่ละล่วงไปโลกมนุษย์ ก็มีไม่น้อยตกอบายไปเลย

“รูปงามก็ดีซิ มีแต่คนรัก เป็นคนรวยด้วยยิ่งดี สบายทั้งชาติมนุษย์เลย” โอภาสฯ พูดขัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า

“ก็เพราะแบบนั้นซิ ถึงไม่เห็นทุกข์ ดีไม่ดี..ก่อวิบากกรรมใหม่ ผิดศีลห้าไปกันใหญ่เลย” นางฟ้าแสนสวยที่สุดในกลุ่มเราเพราะมีองค์เดียว หวั่นๆ การเกิดมาเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมเกินไป “เหมือนเทวดาใช่ไหม หลงสุข” เธอเปรียบเทียบสั้นๆ แต่เห็นภาพชัด

“ทำนองนั้นนะ” ผมคล้อยตาม “แถมที่พวกเราพยายามสร้างบารมีกันต่อ ก็ไม่ใช่หวังนิพพาน แค่ไม่อยากตกสวรรค์ แต่พวกเทพที่หมดบุญ จุติ (ตาย) ไปเกิดเป็นหมูหมาไก่ ก็ทำผมเศร้านะ เบื่อความสุขที่ไม่จีรังนี่เหมือนกัน” พูดเหมือนปลง แต่ก็หวงสุขด้วย อยากสุขอยู่อย่างนี้บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงเหมือนพวกที่ไปเกิดเป็นหนอนกินอุจจาระข้างส้วม ก็คิดว่าตนสุขนัก เพื่อนมาชวนไปเป็นเทวดาก็ไม่เอา ผมเองก็เช่นกัน ใครมาชวนไปนิพพานบรมสุข ก็ยังไม่ถวิลหานัก

ความกังวลทำรัศมีผมหมอง เป็นห่วงว่า ไม่แน่วันใดหากเรารักษาสติไม่ได้ หน้ามืดก่อกรรมไม่ดีขึ้นมา วิบากกรรมก็คงให้เราต้องไปชดใช้

ดอกปาริฉัตก์โรยตัวลงมาโดนเมธาพร คงสะเทือนอารมณ์เขาเข้าอย่างแรง “มีเกิด มีดับ มีพบ มีพลัดพราก..” หน้าตาของเขาเป็นทุกข์ ก่อนเกิดประกายเจิดจ้า จากวูบหนึ่งในความคิดบรรเจิด

“ลงไปเกิดเป็นมนุษย์กันไหม เห็นภัยในวัฏฏะกันแบบชัดๆ ไปเลย จะได้ปลง” เขาชวน แต่เทพทุกองค์เงียบกริบ ผมค่อยๆ ส่ายหน้า ยุคนี้มนุษย์จิตใจหยาบ ร่างกายหยาบไปหน่อย รูปขันธ์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด อายุก็สั้น การดำรงชีวิตก็ยาก ผมออกตัวกรายๆ

“ก็ดีนะ ไปรู้รสชาติแบบนั้น จะได้ตัดใจจากสังสารวัฏได้ง่าย” รัตนกายีโพล่งไม่มีปี่มีขลุ่ย “แต่เพื่อไม่ไห้เสี่ยงเกินไป เราจะแบ่งภาคลงไปเกิด หากพลาดก็จะได้กลับสวรรค์ คืนสู่ร่างเทพได้” ทั้งรัตนากายีและเมธาพรสบตากัน คงเอาจริง ผมสะท้านเยือก

“อย่าสวย อย่ารวยเกินล่ะ ไม่งั้นคงได้เสียเที่ยวแน่” โอภาสฯ เทวดาร่างผอมเพรียวเตือนเพื่อนขันๆ หันมาสบตาผม แค่นหัวเราะ “ผมว่า บางทีคนที่รู้กฎกรรมนั่นเอง ที่ไม่อยากไปเกิดที่เมืองทุกข์อย่างโลกมนุษย์ นิพพานบนสวรรค์สบายดีออก พวกลงไปเกิด บางทีไปเพื่อช่วยคนอื่นๆ มากกว่า ไม่จำเป็นต้องไปเห็นทุกข์ที่เมืองมนุษย์หรอก” เทวดาแนวอย่างโอภาสฯ ผู้ไม่นิยมตามใคร มักมีความคิดแนวๆ เสมอ

…แทนที่จะเลือกสุมทุมพุ่มไม้หรือสถานเข้าฌาน สรุปว่าทั้งเมธาพรและรัตนกายีมาทำสมาธิที่วิมานผม เพื่อแบ่งภาคลงไปเกิด ทั้งคู่ฝากให้ดูแลร่างของพวกเขาด้วย ผมเต็มใจอย่างยิ่งยวด สะดวกด้วยหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล จะได้ดึงพวกเขากลับ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“เด็กชายและเด็กหญิงนั่งเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ ที่มุมโต๊ะในร้านอาหารหรู สั่งอาหารได้ฉาดฉานราวกินอาหารนอกบ้านในร้านแพงๆ เป็นประจำ คนรับใช้บอกเธอทั้งสองว่า คุณพ่อคุณแม่คืนนี้จะบินกลับจากฮ่องกง มาถึงบ้านตอนสามทุ่ม เด็กทั้งสองนั่งฟังอย่างเคยชิน ก่อนหันพูดคุยกัน

“พี่ว่า คงได้รถยนต์คันเล็กก็เที่ยวนี้”

“บงกช อยากได้ชุดเริดๆ”

แม้ดูไม่มีความตื่นเต้นเท่าใดนักสำหรับการได้ข้าวของที่ตัวเองปรารถนา แต่ถ้าไม่ได้ตามต้องการเมื่อไหร่ ทั้งสองก็จะเอ็ดอึงขึ้งโกรธ รู้ว่าความสุขเหล่านี้มันคือข้อแลกเปลี่ยนที่พ่อแม่ต้องหามาปรนเปรอ แทนความอบอุ่นใกล้ชิดที่ทั้งสองมีให้ได้น้อยมาก จนต้องยอมหาสิ่งมาทดแทนให้ทุกอย่าง การเติบโตขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้มีอันจะกิน

กุมุทและสัตตบงกช ถูกเลี้ยงตามใจจากพ่อแม่นักธุรกิจนับพันล้าน นอกจากธุรกิจโคนม โรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่รับผลิตชุดแบรนด์เนมให้กับต่างประเทศ โรงแรมในและต่างประเทศ ทั้งยังมีบริษัทจัดส่งบอดี้การ์ดคุ้มกันเฉพาะงานทั้งในไทย ไต้หวันและฮ่องกง ยังมีธุรกิจสัมปทานบ่อน้ำมันแถวตะวันออกกลาง และโรงงานอาหารสัตว์ในจีน คุณหนูทั้งสองเกิดมาท่ามกลางอภิมหาปราสาท ก่อนถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำต่างประเทศ เงินถูกใช้ราวเศษกระดาษ ทดแทนความสุขภายในบ้าน ด้วยความสุขนอกบ้านที่หาได้รอบตัวดังใจทุกอย่าง

ทั้งสองนับว่าสุขสบายยิ่งกว่าลูกพระราชา เพราะพระราชายังเลี้ยงพระราชบุตรพระราชธิดาได้ไม่เลอเลิศขนาดนี้ ลูกกษัตริย์ต้องถูกสอนเรื่องความอดทนอดกลั้น ความเสียสละและกล้าหาญ สำหรับเตรียมความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งให้ เด็กที่ถูกเลี้ยงตามใจจนอาจเสียคนได้ถ้าหากของเก่ามีมาไม่ดีพอ ก็คงเป็นพวกลูกเศรษฐี หรือไม่ก็ลูกคนทั่วไปที่สบายเกิน พ่อแม่หาให้ทุกอย่างนี่กระมัง

บัตรเครดิตไร้วงเงินจำกัดจากบริษัทชื่อดัง ถูกมอบให้พี่ชายตั้งแต่วัยเพิ่งสิบห้า พร้อมกับบัตรประชาชน

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

“ไหนบอกจะลงไปเผชิญทุกข์ไง” ผมนั่งมองร่างของเมธาพรและรัตนกายี ที่ขัดสมาธิเข้าฌานอยู่แน่นิ่ง

“สงสัยเคยเจอพวกโยคี สาบแช่งไว้..” โอภาสฯ มาเยี่ยมเยียนถึงวิมาน พูดเรื่องที่โยคีสมัยก่อนสาบแช่งศัตรูให้ไปเกิดเป็นคนรวย เป็นคนหน้าตาดี จะได้หลงโลกไปไม่เห็นทุกข์ “แบบนี้ เป็นเทวดาอย่างเราดีกว่าอีก ผมว่าสององค์นั้นเสียเที่ยวเปล่านะประภาธารา ดีที่แบ่งภาคไป ไม่งั้นล่ะกลับมาเป็นเทวดาไม่ได้ง่ายๆ..” เขาประเมินผลของการลงไปเกิดเป็นมนุษย์ของทั้งคู่

“ไอ้เราก็คิดว่าจะลงไปเกิดแบบยากจน อยู่ท่ามกลางหมู่บ้านชนบท” เอามือเกาหัวสองแกรก ก่อนผมจะพูดติดตลก โล่งใจที่ทั้งสองไม่ได้จุติ (ตาย) ลงไป แต่เป็นการแบ่งภาคลงไป ยังไงๆ ก็คงได้กลับมาอีกไม่นาน ตามเวลาสวรรค์ มนุษย์มีอายุแค่หนึ่งวันทิพย์ไม่เกินนี้

“แทนที่ไปแล้วจะเกิดปัญญา อย่างที่ว่าโลกมนุษย์เห็นทุกข์ได้ง่าย ผมว่าลงไปสร้างกรรม แล้วต้องแบกมาชดใช้ต่อไปเสียแล้วซิ” หยิบพิณขึ้นมาดีด พระพายพัดมาทักทาย ดอกไม้ทิพย์โรยตัวลงรับเสียงพิณบรรเลง โอภาสฯ กรีดนิ้วลงไหลลื่น ไม่รับรู้สิ่งนอกตัวชั่วขณะ ผมมองความสุขเหล่านี้อย่างเสียดาย หากจะต้องหมดบุญลงไป ผมกับโอภาสฯ และกุมุทกับสัตตบงกช ใครหลงกว่ากันล่ะทีนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ผับย่านใจกลางลอนดอน มีวัยรุ่นชาวเอเชียคนหนึ่งเป็นเจ้ามือเลี้ยงทั้งกลุ่ม กุมุทในวัยยี่สิบเอ็ดพาผองเพื่อนมาเปิดไวน์ชั้นดี แต่ละขวดราคาเกือบ 100 ปอนด์ ส่วนอาหารอย่างอื่นแทบไม่ต้องพูดถึง หากนับเป็นเงินไทย หนุ่มน้อยผิวเหลืองเอาเงินมาทิ้งคืนหนึ่งๆ เป็นแสน ทั้งไม่ใช่เทศกาลพิเศษอะไรนักหนา

“ฮัลโหล” กุมุทรับสายน้องสาวหลังได้ยินเสียงโทรศัพท์ เธอรู้ว่าพี่ชายเรียนจบและตัดสินใจจะกลับบ้านไปก่อน ส่วนเธอนั้น คงใช้เวลาอีกสองปี ไม่แน่เธออาจเรียนต่ออยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ข้ามไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา เธออยากไปซานดิเอโก้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอกับพี่ชายจะแยกจากกัน พี่ชายคนเท่ไม่ยอมเรียนต่อ และอยากกลับไปทำงานที่ประเทศไทย

“กชเหรอ วันนี้?? ได้ซิ ไม่ พี่จะไม่ไปช็อปที่แฮร์รอดส์ (Harrods) ไม่อยากได้อะไรหรอก เบื่อแล้ว ขี้เกียจฟังแม่บ่นด้วย ไปเจอกันที่ร้านอาหารชั้นบนก็พอ ตกลงนะ” เขาแยกอยู่กับน้องสาวเพื่อต่างจะได้เป็นอิสระ แต่ก็ดูแลน้องเป็นอย่างดี สัตตบงกชอายุสิบเก้า โตพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองได้หลายอย่าง

ผมกับโอภาสฯ จะไปเยี่ยมพวกเขาสักหน่อย แม้เราทั้งสองจะจบคอร์สการแปลงร่างเป็นมนุษย์ด้วยเกรดเฉลี่ยที่ต่ำไปหน่อย แต่ก็อุตส่าห์จำแลงมารอพี่น้องคู่นี้ตามที่พวกเขานัดกัน ผมทองของโอภาสฯ ดูน่าขันกว่าผมแดงเพลิงของผมหลายเท่า พวกเขานัดหมายกันที่ร้านอาหารชั้นสอง บนห้างแฮร์รอดส์ชื่อดังในลอนดอน


“รอนานไหม” กุมุทผู้พี่ถามน้องสาวที่มารออยู่ก่อน กชส่ายหัว เธอไม่เคยแยกห่างจากพี่ชายอย่างจริงจัง ขณะที่พ่อแม่ต้องทำงานในหลายประเทศจนมีเวลาอยู่ด้วยน้อยมาก พวกเขาแทบจะเติบโตมาด้วยการเป็นคู่หูกันเอง ไม่โดดเดี่ยวจนเกินไปนัก ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่ฮ่องกงด้วยกัน ก่อนกลับมาเรียนในไทย และมาต่อดีกรีที่อังกฤษ น้องคนนี้ก็ยังมีพี่ชายคอยดูแลอยู่ แต่ตอนนี้เธอเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ผมคิดว่าคงไม่น่าใจหายเกินไป หากพวกเขาจะแยกกันบ้าง

“พี่จะกลับไปทำงานอะไรเหรอ” น้องสาวคงอยากถามเพื่อให้รู้เจตนาเขาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจมากกว่า ว่าเขาจะกลับไทยจริงหรือเปล่า

“ไม่รู้ซิ ดูๆ ก่อน แต่ขี้เกียจเรียนต่อ”

“เรียนต่อน่ะง่ายกว่ากลับไปทำงานอีก พี่จะไปช่วยกิจการปาปี๊กะมามี๊ไหม”

“ไม่ดีกว่า อยากทำงานด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นสายงานที่ชอบ”

“แล้วจะไปรอดเหรอ” ถามเพราะคงรู้ว่าพี่ชายและตัวเองใช้จ่ายเงินกันดุเดือดขนาดไหน แล้วจะไปหางานอะไรที่มีเงินเดือนได้พอใช้

“ไม่รู้ซิ แต่ไม่อยากพึ่งพ่อแม่ ไม่อยากแบมือขอเงิน แล้วก็ต้องถูกบังคับให้ทำนั่นทำนี่ ถ้าเราหาเงินเองได้ ชีวิตก็เป็นของเราเอง” กุมุทคงเบื่อเป็นลูกในคอนโทรล เขาคงอยากทำอะไรเองด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอยู่ในความดูแลของใคร มันทำให้เหมือนไม่เป็นผู้ใหญ่ คำตอบเอาจริงเอาจังของเขา ทำให้พอเริ่มเห็นแววนิสัยเก่าของเมธาพรมาปรากฏ บางทีสภาพแวดล้อมตอนนี้คงไม่ทำให้เขาหลงจนกู่ไม่กลับ

“ถ้าพี่ทำได้ ฉันก็น่าทำได้” ของเก่าหรือที่เรียกว่าอุปนิสัยเก่าสันดานเดิมในตัวรัตนกายี คงสำแดงออกมาบ้างแล้วเช่นกัน “ฉันจะไปส่งพี่ที่เมืองไทยถือโอกาสเยี่ยมปาปี๊กะมามี๊ด้วย แล้วกลับมาเรียนต่อให้จบ จะได้พึ่งตัวเองเหมือนพี๋..”

“คุณว่า.. ถ้าพ่อแม่ในชาตินี้ของกุมุทกับสัตตบงกชเกิดตายอย่างกะทันหัน ธุรกิจล้มละลาย หรือเป็นหนี้หลายร้อยยล้าน พี่ชายกับน้องสาวคู่นี้จะเข้าใจเรื่องโลกธรรมแปด มีสุขมีทุกข์ มีสรรเสริญมีนินทา มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ กะเขาไหม?” โอภาสฯผมทองปรารภกับประภาธาราผมแดงก็คือตัวผมเองในขณะนี้ สองพี่น้องหันมามองมองเราทั้งสองคล้ายมีสัมผัสที่หก อาจนึกรู้ว่าถูกนินทา บงกชเอียงคอมองผมอยู่นานจนผมต้องหลบหน้าขยับเก้าอี้หันด้านข้างให้เธอ ก็ผมกับโอภาสฯเคยถูกเธอหัวเราะงอหายมาแล้วสำหรับเรื่องการแปลงกายเป็นมนุษย์ กุมุทกระแอมไอ ส่งสัญญาณเตือนผู้เป็นน้องไม่ให้เสียมารยาท เธอหันไปกระซิบกระซาบผู้เป็นพี่ หัวเราะขันกันสองคน ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับผมของผมกับโอภาสฯหรอกนะ

“พ่อแม่พวกเขาไม่ได้มีกรรมแบบนั้นหรอกน่า แล้วเจ้าหน้าที่หน่วยจัดสรรกรรมสำหรับพวกต้องการมาบำเพ็ญบารมีที่ต้องลงมาถูกทดสอบสภาวะจิตใจสำหรับสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ก็ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่กับสองพี่น้องนี้เสียด้วยซิ”

“คราวหน้าถ้าผมจะลงมาเกิดเป็นคน ผมไปรายงานตัวกับหน่วยจัดสรรกรรมเพื่อสร้างบารมีดีกว่า จะได้ไม่ต้องลงมาเสียเวลาอย่างสองคนนี้ มีหน่วยคอยสอดส่งส่งบททดสอบลงมาให้เผชิญก็คงมันดี”

“คุณอยากบำเพ็ญบารมีด้านไหนล่ะ” ลองถามโอภาสฯดู เผื่อเขาจะอยากเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งต้องเจอด่านสร้างบารมีต่างๆ ขึ้นมา

“ผมไม่ปรารถนาขนาดนั้นหรอก แค่จะได้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ ที่จะช่วยกำราบกิเลสของผม และคอยเตือนสติไม่ให้ผมฟุ้งจนเกินไป..” ผมแอบจิบกาแฟขณะฟังเพื่อนเทพวางแผนการณ์ ไม่อยากรับอาหารอื่นๆ บนโต๊ะ มันไม่น่าชวนลิ้มลองนักหรอกอาหารมนุษย์ สำหรับเทพที่เสวยของทิพย์อย่างผม

“คราวหน้า ผมจะเป็นผู้เนรมิตกาแฟรสเด็ดแทนลุงโรจนไวฑูรย์”

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

กาแฟรสละมุนถูกส่งให้บรรดาชาวสภากาแฟทิพย์โดยฝีมือของผมเอง หัวข้อเสวนาในคราวนี้ของพวกเราคือ “ทำอย่างไรเทวดาจึงจะเห็นทุกข์ได้ง่ายขึ้น” แต่ละองค์ก็พยายามสรรหาความทุกข์และภัยในวัฏฏะทั้งหลายมากล่าวอ้าง เพื่อช่วยให้คลายกำหนัดในความเป็นเทพนี้เสีย แต่คงไม่มีใครพูดถึงการลงไปเกิดเป็นมนุษย์ที่เห็นทุกข์ได้ง่ายวักระยะ เพราะกลัวเมธาพรกับรัตนกายีจะเสียหน้า

หลังสายการบินไทยแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ TA 789 ลอนดอน-กรุงเทพฯ ตก บรรดาผู้โดยสารตายยกลำรวมถึงกุมุทและน้องสาวที่บินมาในชั้นบิสซิเนทขณะเดินทางกลับสู่ประเทศไทยด้วย ผมเองไม่คิดว่า พ่อแม่มนุษย์ของพวกเขาทั้งสองจะเจอวิบากกรรมรุนแรงยิ่งกว่าตายเองเสียอีก

“ยังไม่เคยเห็นทุกข์ก็มาด่วนตายเสียแล้ว คิดเสียว่าลูกมีบุญหนักก็แล้วกันนะ พวกเทวดามาเกิดก็แบบนี้แหละ” เพื่อนสนิทของแม่กุมุทและสัตตบงกช ปลอบโยนพ่อแม่ของเขา ซึ่งทั้งคู่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าสมบัติที่สั่งสมเอาไว้มากมายมหาศาลจะไปยกให้ใครดี หัวอกผู้ให้กำเนิดที่ต้องมาสูญเสียลูกที่ถนอมเลี้ยงมาอย่างดีทีเดียวพร้อมกันทั้งหมด จะเป็นทุกข์ขนาดไหนก็ไม่มีใครรู้

พวกเราชิมกาแฟเงียบๆ ไปสักพัก ไม่อยากถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า หากสัตตบงกชไม่ตามกุมุทมาด้วย เธอก็จะไม่ตาย และไม่แน่เธออาจจะได้ลิ้มรสความทุกข์ในการพลัดพราก ความไม่เที่ยงในสังขารอย่างสาหัสสากรรจ์ จนหาวิถีทางดิ้นออกจากทุกข์ให้ได้ก็เป็นได้ แต่เปลี่ยนมาถกเถียงในหัวข้อใหม่ ทำอย่างไรเทพจึงจะเห็นทุกข์ได้ง่ายขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง เพราะไม่อยากสะกิดใจให้เมธาพรกับรัตนกายีคิดถึงและเป็นห่วงพ่อแม่บนโลกมนุษย์ขณะนี้ด้วย

โธ่.. อีกไม่นานสองคนนั่นก็คงต้องตายจากโลกมนุษย์เหมือนกัน สังสารวัฏยังอีกยาว เฮ้อ..ผมกับโอภาสฯถอนหายใจออกมาพร้อมกัน





Create Date : 11 มิถุนายน 2551
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 11:08:37 น. 0 comments
Counter : 598 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.