ปฎิรูป-ถอยอย่างไรไม่ให้ล้ม*** WHITESPACE.CO.LTD

whitespace
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




เมื่อไม่มีสิ่งใดจริง จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
.....อ่านเรื่องพุทธบารมี
.....ลีลาสมเด็จพุฒาจารย์โต
.....ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา-หลวงปู่มั่น

Google..
.....................พ่อของแผ่นดิน...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
10 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add whitespace's blog to your web]
Links
 

 
ตอน11 ศรัทธาอันลางเลือน



เรื่องชุด เทวดาประจำกาย / ศรีจันทารา
ตอน 11 ศรัทธาอันลางเลือน



…ท้องนภานวลเนียนฉาบระบายด้วยสีฟ้าอ่อนจาง สายลมพายพัดเบาๆ แอบล้อเสียงน้ำรินไหลไปตามแก่งหิน โดยการชักชวนให้ใบไม้มาไหวพลิ้วสอดประสานรับเสียงน้ำ บรรเลงเป็นเพลงธรรมชาติสุดจะพรรณนาความจับใจ

ลานใต้ต้นดอกจามรีสีทอง เป็นดินสีขาวนวล สะอาดสะอ้าน น่านอน น่าเล่น มีเทวดาตัวน้อยสององค์นางฟ้าตัวน้อยหนึ่งองค์ สวมชุดขาวสะอาดมีคู่ปีกเล็กๆ อยู่กลางหลัง นั่งเล่นหมากเก็บกันอยู่ใต้ลานดิน

เทพน้อยทั้งสาม เล่นเกมเม็ดหินสีแวววาวงามกว่าอัญมณีบนโลก แต่ละหมากไต่ไปตามขั้นลำดับยากขึ้น ช่วงการโยนหินให้ลอยสูงเพื่อมีเวลาเก็บหินส่วนหนึ่งที่ทอยหว่านลงไปนอนแนบร่างกับพื้น หากเลือกเก็บหินขึ้นไม่ทันรับหินที่โยนตกลงมา ผู้เล่นก็เป็นอันถึงตาย ตาย..หมายถึงหมดสิทธิ์เล่นต่อ แต่หากทำสำเร็จ จากหมากหนึ่ง-เก็บหินที่ทอยเพียงครั้งละหนึ่งเม็ดแล้วรับหินที่โยนขึ้นฟ้าได้จนครบ ก็เข้าสู่หมากสอง-เก็บหินที่ทอยครั้งละสองเม็ดให้ได้ก่อนรับหินเม็ดที่โยนขึ้นฟ้าซึ่งกำลังดิ่งตกลงอย่าให้หลุดมือ ฉะนั้นเคล็ดลับคือ อย่าทอยหินห่างกันจนเกินไป และอย่าชิดกันจนเลือกเก็บไม่ได้ เพราะหากไปโดนหินเม็ดอื่นจนสั่นไหว ก็ถือว่าผู้เล่นตายเช่นกัน เรียกว่าไหวตาย ส่วนไหวไม่ตาย เป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้มีฝีมืออ่อนหัดเล่น ไม่ค่อยสมภาคภูมิกับพวกมีฝีมือ..

“ไหว” เจ๋งแหกปากลั่น หมัดหมดท่ายอมตายอย่างจำนน เขาเล่นถึงหมากสาม ทอยหินห้าเม็ดลงไปกับพื้น กำลังเลือกหาเม็ดที่ไม่สัมพันธ์กับใครเอาไว้โยน ส่วนอีกสี่เม็ดไว้เก็บ กะความห่างที่ต้องแยกเป็นสามเม็ดใกล้ๆ กัน กับอีกหนึ่งเม็ดที่เล็งด้วยสายตาว่าจะแยกเก็บต่างหากเพราะอยู่ไกลจากสามเม็ดนั้นค่อนข้างมาก แต่ดันมาอยู่กับอีกเม็ดอย่างแนบชิด กระทั่งการเลือกหนึ่งในสองเม็ดออกมาเพื่อเป็นตัวโยน ต้องใช้สมาธิจนเหงื่อผุด มือขวาสั่นระริกขณะจะหยิบเม็ดอยู่บนออกมาโดยไม่ให้สะเทือนเม็ดอยู่ล่าง ปากเม้มจนเป็นเส้นตรง หางตาสั่น และตกใจผงะหงาย เมื่อเจ๋งร้องลั่นว่าไหว..

เจ๋งเพิ่งเริ่มเล่นหมากหนึ่ง หมากแต่ละกระดาน เริ่มเล่นขั้นทอยจากหมากหนึ่งไปถึงสี่ ใครโยนหินสูง มีลีลาเลือกเก็บหินบนพื้นอย่างนุ่มนวล ก่อนรับหินที่โยนได้อย่างแผ่วเบา จะทำให้การเล่นสวยงามน่ามอง

จบหมากทอยทั้งสี่ ต่อไปคือเล่นหมากฉก ต้องโยนหินทั้งหมดขึ้นจากมือ ก่อนพลิกเปลี่ยนเป็นการคว่ำมือรับหิน หากได้น้อยกว่าสองเม็ดถือว่าตาย ก่อนจะทำการฉกคือโยนหินขึ้นจากมือที่คว่ำสักครู่ แล้วถอยมือออกมา เพื่อเข้าไปจิกหินขณะลอยอยู่กลางอากาศซึ่งถูกโยนจากมือที่คว่ำนั้น ให้ได้ทั้งหมด มองดูเสมือนอาการฉกหิน เล่นให้ครบห้าครั้ง และพักขั้นฉกด้วยหมากอีล้านที่เล่นง่ายกว่า คือทำคล้ายกันแต่แทนที่จะฉก ก็แค่พลิกมือหงายกลับมารับ แล้วเลือกโยนหินเม็ดนึงเพื่อเก็บเม็ดที่เหลือบนพื้นทีละเม็ดให้หมดคล้ายเล่นหมากหนึ่ง หมากนี้จึงนิยมพลิกมือรับตอนคว่ำให้ได้เม็ดมากที่สุด จะได้ไม่ต้องมาไล่เก็บทีหลัง

จากนั้นกลับมาเล่นคล้ายหมากหนึ่งถึงสี่อีกครั้ง แต่คราวนี้ หลังจากทอยหินลงบนพื้น แทนจะหยิบหินขึ้นมาไว้เป็นเม็ดโยนเอง เพื่อเก็บอีกสี่เม็ดได้ง่ายๆ ผู้ร่วมเล่นจะเป็นผู้เลือกให้ เพื่อให้คนเล่น เล่นเก็บเม็ดที่เหลือได้ยากขึ้น หรือแม้แต่เลือกเม็ดโยนที่หยิบได้ยากให้ เช่นอยู่ใต้เม็ดอื่น หากคนเล่นทำไหว ก็ถือว่าตาย

หมากสุดท้าย คือเลือกโยนหินหนึ่งเม็ดในมือขึ้นไป แล้ววางสี่เม็ดลงกับพื้นให้ติดกันมากที่สุด ให้เสร็จก่อนเม็ดที่โยนจะตกลงมาให้รับ ต้องรีบรับให้ได้ในเวลาแค่กำหนดนั้น ก่อนโยนขึ้นไปอีกครั้ง เพื่อเก็บสี่เม็ดที่วางขึ้นมาแล้วรับหินเม็ดที่โยนซึ่งกำลังตกลงมาให้ได้ เล่นครบห้าครั้ง ก็ถือว่าจบเกมสมบูรณ์ เรียกว่าจบกระดาน จะเล่นกี่กระดานก็แล้วแต่ตามที่ตกลง

ผู้เล่นครบกระดานก่อน ก็จะให้ผู้แพ้ได้แก้ตัว คือให้โอกาสกี่ครั้งก็แล้วแต่เงื่อนไข หากผู้แพ้ทำได้สำเร็จก็ไม่มีการลงโทษ หากทำไม่ได้ ที่นิยมลงโทษคือทายจำนวนหินที่กำไว้ในมือซึ่งเลือกออกมาจากการซ่อนไว้ด้านหลัง ว่ามีอยู่กี่เม็ด ถ้าทายไม่ถูกจะโดนเขกเข่าตามจำนวนที่ทาย หากทายถูกจะได้เม็ดหินไป หากเหลือหินเม็ดเดียว จะให้ทายว่าอยู่มือไหน โดยการหมุนมือให้ผู้ทายสับสน แล้วมาต่อให้มือหนึ่งอยู่บนอีกมือหนึ่งอยู่ใต้ศอก ถามผู้แพ้ว่าอยู่บนหรือล่าง ทายถูกก็จบการกระบวนลงโทษ ทายไม่ถูกก็ลงโทษตามที่กำหนดกันไว้ จนกว่าจะทายถูก

“บนสวรรค์เค้าจะเล่นหมากเก็บกันไหม” แขก เด็กหญิงตาโต โพล่งถามเจ๋งกับหมัดเพื่อนร่วมก๊วน ที่จดจ้องการเล่นอยู่น้ำลายแทบหยด

“ไม่มีหรอกมั๊ง เค้าคงเล่นเหาะกันสนุกกว่า…” เจ๋งครุ่นคิดตาเป็นประกาย อยากมีปีกเสียเดี๋ยวนั้น

“หมากเก็บก็หนุกดีเหมือนกันนะ” เด็กชายผอมแห้งตาคม ให้ความเห็บบ้าง

“หมัดว่ามันสนุกเหรอ” สาวน้อยคนเดียวในกลุ่มไม่เห็นด้วยกับเขา ทั้งที่เด็กผู้หญิงควรชอบเล่นหมากเก็บกว่าเด็กผู้ชาย มันอาจสนุกเพราะความยากจนของเด็กสามคนเป็นเหตุ เพราะพวกเขาหาอะไรเล่นไม่ได้มาก แม้ในยุคที่ของเล่นหลากหลายรูปแบบล้นตลาดทุนนิยม ไม่ว่าจะเกม และมือถือสำหรับเด็กอนุบาล นอกจากเม็ดหินหาง่ายมาเล่นกันที่ลานดินใต้ต้นจามจุรี

การละเล่นท่ามกลางบทสนทนาเจื้อยแจ้วชะงักลง ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ความรื่นเริงใจถึงเวลายุติ เสียงตะโกนมาแต่ไกลก่อนเจ้าของเสียงจะปรากฏ ปิดฉากความสุขของเด็กทั้งสาม

“เฮ้ย..ทำไรกันอยู่วะ ได้เวลาแล้วเว้ย..” ประโยคทักทายไม่สบอารมณ์นัก ทำนองโทษว่าล่าช้า ดังแหวกอากาศมาในระยะใกล้ ทำให้เด็กสามคนที่ต้นจามจุรีเบ้ปาก มันถึงเวลาอีกแล้ว พวกเขามีท่าทีประหนึ่งไม่ชอบเวลาเช่นนี้

“ไอกิ้วมาเรียกแล้ว” หมัดกระซิบบอกพวกที่เหลือ ทั้งที่ทุกคนก็รับรู้ไม่ต่างกัน การเตือนของหมัด ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ กับงานซึ่งต้องร่วมแรงกันลงมือทำ แม้ไม่ชอบใจก็ตาม

อากาศเริ่มเย็นสบายขึ้นในช่วงบ่ายคล้อย แดดกำลังร่ม ลมกำลังพลิ้ว การอ่อนกำลังความร้อนแรงของเทพสุริยา เข้าสู่สภาวะนุ่มนวลอีกด้านการแสดงออกของพระองค์ พอให้นึกครึ้มอกครึ้มใจ ชวนให้ใครที่กำลังร้อนไปด้วยเพลิงหงุดหงิดพอได้เย็นลงตามแสงอ่อนๆ ของอาทิตย์ใกล้อัสดงลงบ้าง หลังไม่มีใครออกมาสู้เปลวตะวันย่ามบ่ายก่อนหน้านี้

ตลาดนัดเกษตรที่มาจัดในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มเข้ารูปเข้ารอยเป็นตลาด เพราะเริ่มมีคนซื้อไม่ใช่มีแต่คนขาย ชะรอยว่าคนเพิ่มขึ้น ต่างทยอยเดินทางมาถึงจากที่ต่างๆ ต่างเริ่มออกเดินช็อป หลังจากไม่กล้าสู้ไอระอุซึ่งลดทอนพลานุภาพไปแล้ว ลมโชยเย็น เสียงดีเจตามสายเริ่มบรรเลงสีสันเพิ่มจากเพลงที่เปิด ไม่ลืมเตือนให้หลายคนระวังกระเป๋าเงินที่อาจถูกขโมยจากพวกมิจฉาชีพที่จะแฝงตัวเข้ามาปะปน แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกขโมยจากพ่อค้าแม่ค้า เพราะของที่คัดสรรนำมาวางจำหน่าย เป็นของจากธรรมชาติ ปลอดสารพิษ หากแต่กลับบ้านมือเปล่าซิ อาจต้องเสียใจตาย

หมัดกับเพื่อนอีกสาม ออกปฏิบัติงานในช่วงเวลาที่ผู้คนเริ่มคึกคัก มีอารมณ์ทอดน่องเที่ยวชมตลาดจนลืมเรื่องอื่นๆ ไป ขณะที่สามีภรรยาคู่หนึ่ง กำลังเพลินเลือกซื้อข้าวหลากชนิด ที่ไม่มีให้เห็นในห้างสรรพสินค้านัก

กิ้วรี่เข้าไปยืนแกร่วข้างคนขาย ช่วยโต้ตอบคนซื้อแทนแม่ค้าและเสนอหน้าสอบถามโน่นนี่กับคนขาย เพื่อสร้างความวุ่นวาย เปิดโอกาสให้หมัดล้วงกระเป๋าของผู้เป็นภรรยา ส่งต่อให้แขกสาวน้อยคนเดียวในกลุ่ม เมื่อรับแล้วก็รีบเดินออกไป ส่วนเจ๋งถือโอกาสหยิบขนมเล็กๆ น้อยๆ ตอนแม่ค้าเผลอขณะให้รายละเอียดกับคู่ภรรยาสามีผู้เป็นลูกค้า ทั้งยังปวดสมองกับการคอยเติมแต่งคำถามในวุ่นวายเข้าไปอีกจากกิ้ว จนแม่ค้าอดรนทนไม่ไหว บอกให้มันเงียบๆ

“อ้าว ไม่ใช่ลูกชายของป้าหรือจ๊ะ” ลูกค้าผู้เป็นภรรยาเพิ่งรู้ว่าตัวเข้าใจผิด

“คงเด็กแถวนี้ล่ะค่ะ ตกลงหนูจะรับอะไรบ้างจ๊ะ” ลูกค้าสำคัญเป็นที่หนึ่งซึ่งแม่ค้าให้ความสนใจ มากกว่าพวกเด็กๆ จอมป่วน

“ขอข้าวแดงไปลองกินดู แล้วก็น้ำตาลก้อน…”

หญิงสาวล้วงหากระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าสะพาย ซึ่งอันตรธานไปนานแล้ว เธอหน้าซีด มองกิ้วกับหมัด ที่รักษาสีหน้าปกติ เหมือนไม่รับรู้เรื่องราวอะไรของเธอเลย ก่อนบอกแม่ค้าตามจริงว่ากระเป๋าเงินหาย แม่ค้าท่าตกอกตกใจถามว่าถูกล้วงกระเป๋าหรือเปล่า หมัดเหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจกับข้อสงสัยนั้น หญิงสาวส่ายหน้าไม่รู้ พยายามนึก แต่ไม่มีอะไรที่เธอแน่ใจได้สักอย่าง

“สงสัยทำกระเป๋าตกหายแล้วค่ะ” หันไปบอกผู้เป็นสามี เขาเลยต้องจ่ายค่าของที่ซื้อเสียเอง

หมัดมองสีหน้าของหญิงสาวแล้วใจคอไม่ดี ก่อนยิ้มแหยงเมื่อเธอมองมา หน้าเธอยังซีดอยู่เลย หลังทั้งคู่จากไป หมัดกับกิ้วก็กอดคอกันออกจากร้าน กิ้วฮัมเพลงอย่างเป็นสุข แต่หมัดพยายามเอาแขนของมันออกจากคอ เขาอึดอัด อยากอาเจียน และเบื่อหน่าย..

แขกกับเจ๋งนั่งรออยู่ที่โคนไม้จามจุรี ส่อความกระวนกระวายหน้าตาเคร่งเครียด และคลายลงเมื่อเห็นหมัดกับกิ้ววิ่งแข่งกันเข้ามายังจุดที่พวกเขารออยู่ แขกรู้ใจว่าหมัดว่าเขาไม่ค่อยมีความสุข

“เป็นไง” กิ้วถามเร็ว มองเจ๋งกับแขกที่มารอล่วงหน้า

“มีเป็นหมื่นเลย” เจ๋งหน้าซีด จะดีใจก็ไม่กล้า เป็นห่วงเจ้าของเงินขึ้นมาจุกๆ ท้อง

“ก็ดีซิ กูบอกให้ขโมยผู้ชายด้วย พวกมึงก็ไม่เชื่อ ไม่งั้นพวกเรามีเป็นล้าน ซื้อบ้าน ซื้อรถ สบาย..ทั้งชาติ” เด็กชายตาลอย จำคำตามกระแสสังคมมาพูด จากแม่ของเขาหรือเปล่าหนอ?

“จริงเหรอ” แขกตาโต ไม่ค่อยเข้าใจ ว่าความร่ำรวยมันจะดีขนาดที่กิ้วเพ้อ

“มึงขับรถได้?” หมัดเฉลยความเพ้อเจ้อของฝันกิ้ว ที่เลียนแบบตามคนส่วนใหญ่

“ไอ้หมัด เพราะมึงแหละ ไม่ยอมลงมือ” กิ้วตื่นจากเพ้อ แต่ไม่ตื่นจากฝัน เสียงดังเพราะแค้นหมัดที่ทำลายความร่ำรวยของเขา ลืมไปว่าไม่มีใครมีฝีมือล้วงเบาจนเหยื่อไม่รู้ตัวได้เท่าหมัด

“มึงจะบ้าเหรอ ใครเขาพกเงินเป็นล้าน แค่ของผู้หญิงหายมาคนเดียว พวกเค้าก็หน้าซีดเป็นศพแล้ว ไม่รู้จะไปแจ้งตำรวจหรือยัง” หมัดรอบคอบเป็นผู้ใหญ่ทั้งความคิดและแผนการณ์ ถ้าหายพร้อมกันสองคน เขากับกิ้วอาจถูกล็อคตัวอยู่ตรงนั้นก็ได้ คำว่าตำรวจ ทำทุกคนลืมหายใจไปชั่วขณะ

“ถ้ามึงกลัวแล้วจะมาทำไม” กิ้วตั้งหลักได้ กลัวเสียหน้าเดินมาผลักอกหมัดจนเซถลาไปข้างหลัง แสดงอำนาจให้สมาชิกในกลุ่มเห็นว่าเขาเองที่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำ เจ๋งกับแขกเห็นท่าไม่สู้ดี ขยับเข้ามากอดเอวกันโดยอัตโนมัติ

“กูไม่กลัว แต่กู กู ..” ภาพหน้าซีดเซียวของหญิงสาวที่ถูกล้วงกระเป๋า ทำให้หมัดพอเดาได้แต่แรกว่า ถ้าเงินไม่มาก ก็ต้องมีเอกสารหรือบัตรสำคัญ ยิ่งทำให้เขาอธิบายความรู้สึกในการเป็นต้นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์ไม่ถูก

“มึงสำนึกผิด … โธ่ ไอ้หน้าตัวเมีย ถุย..” กิ้วเยาะหยัน ถ่มน้ำลายตามตัวร้ายที่เห็นในหนัง

“มึงว่ากู มึงต้องขอโทษ” คราวนี้ลืมเรื่องสองสามีภรรยาไป หันขวับมามองกิ้ว โกรธจนหน้าหมัดแดงกล่ำเมื่อถูกหมิ่น

“ขอโทษมึงทำไม ถ้าไม่กล้า ทีหลังก็อย่ามาเอี่ยว” กิ้วยียวน แสดงท่าดาวร้ายเต็มตัว

“แบ่งตังค์กันเถอะ” เจ๋งตัดบทเสียงสั่น เพราะกลัวเพื่อนสองคนจะวิ่งเข้าห้ำหั่นกัน ทั้งคู่ปล่อยพลังมืดออกมารายล้อมรอบตัว จนคนนอกแข้งขาสั่น

“แล้วมึงจะเอาไหม เงินไม่สะอาดนะโว้ย” กิ้วได้ที ยังไม่วายแดกดันต่อ ทั้งที่หากไม่ใช่หมัด คงไม่มีใครมีฝีมือล้วงกระเป๋าได้โดยเจ้าทุกข์ไม่รู้ ท่ากวนประสาทของกิ้ว ทำหมัดสติแตก เขากำหมัดน้อยๆ วิ่งพุ่งเข้าใส่ กลิ้งล้มทับกัน ทั้งคู่ซัดกันนัวเนียจนแขกกลัวนั่งลงร้องไห้

ผมกับโอภาสฯ และรัตนกายี กลายร่างจากเทวดาน้อยและนางฟ้าน้อยที่เล่นหมากเก็บกันอยู่บนลานดินสะอาด ใต้ต้นจามรีสีทองบนสรวงสวรรค์ คืนสู่ร่างเดิม

“สนุกดีนะ ได้เป็นเด็กอีก”

“จะไปแล้วหรือ ประภาธารา”

“อืม เวลากำลังเหมาะเลย” ผมตอบนางฟ้าคนเก่ง

เจ๋งมองเห็นผมปรากฏตัวขึ้น แต่เห็นว่าใส่ชุดเป็นตำรวจ ตำรวจมาจริงๆ อย่างที่หมัดระแวง เขาเข่าอ่อนแต่ไม่วายคว้าข้อมือแขกวิ่ง กระชากเธอทั้งนั่งให้ลุกวิ่งตามไปด้วย

“ตำรวจมาโว้ย” ไม่เสียเที่ยวเปล่า ตะโกนบอกกิ้วกับหมัดที่กำลังรัวหมัดแลกกันนัวเนีย อานุภาพของคำว่าตำรวจ ทำสองหนุ่มน้อยต่างฝ่ายต่างผละออกจากกันเพราะตกใจ อารามไร้สติ กิ้วรีบวิ่งตามเพื่อนสองคนไป ลืมเรื่องเงิน ไม่หันหลังกลับมาอีก หมัดเป็นคนเดียวที่มองเห็นผมเป็นผม

“คุณเป็นใคร” เขาตะลึงงัน เมื่อเห็นแสงสว่างจ้าจากกายเทวดา

“ไม่ใช่ตำรวจก็แล้วกัน” ผมยิ้ม

“แล้วคุณเป็นใคร” สลับการมองหน้าผม ด้วยการชำเลืองกลับไปมองกระเป๋าเงินและเงิน ที่เจ๋งทิ้งไว้ หลักฐานสำคัญ ที่เป็นผลให้เขาหายใจหอบแรง หน้าขาดสีเลือดชอบกล หมัดมีความเป็นผู้ใหญ่และจัดเจนระแวดระวังพอตัว

“ฉันเป็นเทวดาประจำตัวเธอ”

คำตอบเหนือความคาดหมาย ทำเด็กชายนิ่งไปนาน หลังคลายปมคิ้วออก หมัดเริ่มหัวเราะอุ่นเครื่อง “หึ หึ..” ก่อนหัวเราะงอหายตามอย่างคุ้มคั่ง “ก๊ากกกกกกก” ผมไม่ได้พูดอะไรตลกสักหน่อย

“เธอไม่เชื่อ” ผมยักไหล่ ถามชนิดไม่ต้องการคำตอบ

“ก็คุณใส่เสื้อผ้าธรรมด๊า ธรรมดา ไม่เห็นจะใส่แบบลิเก” ข้อสังเกตของเขามีน้ำหนัก ผมแต่งตัวธรรมดาอย่างมนุษย์คนหนึ่ง

“หมายถึง ฉันควรจะประดับทับทรวง สร้อย สังวาล …กำไลข้อมือ ข้อเท้า..”

“ก็.. สร้อยสวยๆ อะไรแบบนั้น…” ยกมือยกไม้ประกอบ

“แล้วเธอคนไทยหรือเปล่า”

“ก็แหงซิ”

“แล้วทำไมไม่นุ่งโจงกระเบน ไว้จุก แกละ” ผมได้ที

“ปัดโธ่ ก็นี่มันยุคไหนแล้วพี่” เขาหงุดหงิด ก่อนคิดได้ ว่าถูกย้อนเข้าให้จนสะอึก

ลมพัดย้อมกลับมาหาเราสองคน ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกัน

“พี่เป็นเทวดาจริงอ่ะ” ย่นคิ้ว คราวนี้แสดงความลังเล หรือไม่ คงอยากให้ผมเป็นเทวดาจริงๆ เด็กๆ ซ่อนความฝันแบบนี้ในใจเสมอ เพราะพวกเขายังอยู่ใกล้กับมิติละเอียดนี้มากกว่าภาพมายาบนโลกอย่างผู้ใหญ่ พวกเขามักฝันถึงโลกเก่าที่เพิ่งจากมา

“อื้อ..” เทวดาอย่างผมยอมรับ

“ผมมีเทวดาประจำกายกับเค้าด้วยเหรอ” แสดงอาการดีใจโจ่งแจ้ง

“อื้อ”

“แล้วไม่เห็นเคยมาช่วยอะไรผมบ้างเลย” น้อยใจหรือแอบด่าผมกันหนอ

“ถ้าเป็นเด็กไม่ดี เทวดาจะหนีหายไป” ประโยคนี้เล่นหมัดตะลึงจังงัง กายสั่นเทิ้ม นัยน์ตาแดงขึ้นเองได้ แถมมีน้ำตาขึ้นเองอีก เขาเป็นเด็กอ่อนไหวง่าย และมีสำนึกรู้ตัวในเรื่องดีไม่ดีค่อนข้างสูง เรื่องที่ทำๆ อยู่สร้างความไม่สบายใจให้เขานัก แต่ที่จริงล้วนหาเงินไปช่วยแม่ โดยหลอกแม่ว่าออกมารับจ้าง

“คุณเลยไม่เคยมาช่วยผมสักครั้ง” หมัดคงนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยทำ เสียงสั่นเสียใจ

“ถ้าผมทำดี คุณจะมาช่วยไหม” เหมือนเขาขอโอกาสผมนะ

“ไม่แน่เสมอไป แต่พยายามช่วยเท่าที่ทำได้ บางครั้งกรรมเก่าของเธอถึงวาระต้องชดใช้ ก่อน เข้าไปห้ามมันไม่ได้” ผมอธิบายเรื่องยากเกินเด็กจะเข้าใจไปหรือเปล่า

“ผมเคยทำไม่ดีมามากเหรอ” แต่หมัดเข้าใจ

“ทุกคนเคยทำทั้งดีและไม่ดีกันทุกคน กรรมเหล่านั้นตามคืนกลับมาให้เราต้องชดใช้ เราอาจหลงลืมไปแล้ว ว่าเคยทำอะไรมาบ้าง แต่สำหรับกรรมใหม่ เรามีสิทธิ์เลือกนี่ ว่าจะทำดีหรือไม่ดี กรรมใหม่เป็นกรรมที่สำคัญ และจะมีผลต่ออนาคต เรากำหนดปัจจุบันและอนาคตได้”

“แต่วันนี้ ผมทำไม่ดี” หมัดตาแดงขึ้นอีก

“เธอไม่พอใจในสิ่งที่เธอทำนี่” เขางุนงงที่ผมล่วงรู้ความรู้สึกภายในของเขา

“คุณเป็นเทวดาจริงๆ” ทั้งอุทาน ถาม และภาวนาให้เป็นเช่นนั้น คละเคล้ากัน

“แน่นอน เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับความบริสุทธิ์ ถ้าเค้ายังมีศรัทธา เทวดาจะอยู่คู่กับเด็กที่ยังพร้อมจะเติบโตเป็นคนดี”

“ผมขอพรได้ไหม”

“ขอได้ แต่จะได้หรือเปล่า ไม่รู้”

“อ้าว ทำไมเป็นงั้นล่ะ”

ดอกจามจุรีล่วงใส่เราสองคน ผมจูงมือเด็กน้อยมานั่งบนตัก เขาอ่อนลงมาก แถมนอนพิงอกพี่ชายคนนี้ราวต้องการความอบอุ่น ความไว้วางใจของเด็กมีอยู่เสมอ พวกเขาต้องการการกอดและคำปลอบโยน รวมถึงคำแนะนำที่ถูกทาง เด็กที่ไม่ได้รับความรัก จะเติบโตมาอย่างบิดเบี้ยวและขาดเหตุผล แต่หมัดได้รับความรักจากแม่มากพอ เหลือแค่การจัดการกับชีวิตอันยากลำบาก ที่ดูจะเกินกำลัง ว่ามันเป็นเพราะเหตุผลกลใด

ผมพยายามอธิบายเรื่องกรรม โยงไปถึงเรื่องกรรมเก่า พยายามตอบข้อสงสัยของเด็กชายผู้เกือบหลงทาง ว่าการที่คนดีแต่ยังลำบากอยู่นั้น อาจเพราะเคยทำไม่ดีมาก่อน การทำดีตอนนี้ไม่สูญเปล่า มันจะกลับมาสนองอย่างแน่นอน ส่วนคนชั่วอาจได้ดีจากกรรมเก่าที่เคยทำมาดี การทำชั่วตอนนี้จะย้อนกลับมาสนองเช่นกัน การที่คนเราสำนึกในเรื่องที่ไม่ดี แต่ยังฝืนทำอยู่ ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำนั้น

“หากเธอเป็นเด็กดี พรที่ขอ ย่อมเป็นผลสำเร็จอย่างง่ายดาย หากเธอเป็นเด็กไม่ดี แม้เทวดาอย่างฉันจะพยายามช่วยอย่างไรก็ตาม ก็คงต้านผลกรรมเก่าของเธอไม่ไหว”

หมัดเอาเงินไปคืนเจ้าของ โดยมีผมปลอมตัวเป็นเพื่อน เราไปโรงพักและบอกว่าเก็บกระเป๋าสตางค์ได้ คู่สามีภรรยาดีใจที่ได้เอกสารและบัตรสำคัญคืน มอบทุนการศึกษาให้หมัดห้าพันบาท เขาแบ่งให้เพื่อนสามคนๆ ละพัน ตัวเขาเองหนึ่งพัน และแบ่งให้ผมพันนึง ลองคิดดูเถอะ ทำบุญกับเทวดาดีๆ อย่างผมถึงมือ อานิสงส์จะมากมายขนาดไหน เรื่องเหล่านี้หมัดคงไม่รู้ เขาแบ่งให้ด้วยใจ ผมรับมาอย่างตื้นตัน มันเป็นบุญของเขา ซึ่งจะสนองตอบในไม่ช้า

เด็กชายหมัด อาจโตขึ้นมาและคิดว่า ผมเป็นเพียงภาพฝันในวัยเด็ก ที่จินตนาการและสร้างเรื่องไปเอง เหตุการณ์ลางเลือนในวัยเยาว์แม้จะแจ่มชัดในความทรงจำของทุกคน แม้หลายคนอาจหมดศรัทธาไปหลายต่อหลายครั้ง จามช่วงเวลาที่ท้อแท้และเลวร้าย แต่เด็กอีกหลายคนก็เชื่อเสมอว่าผมมีอยู่จริง เพราะผมคือศรัทธาอันดีงามในใจของเขานั่นเอง

“ผมจะขอพรจากคุณเสมอ นั่นหมายถึงผมยังมีศรัทธา” หมัดต้องจำคำๆ นี้ได้ ไปจนวันตาย ผมเชื่อ…





Create Date : 10 มิถุนายน 2551
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 20:13:05 น. 0 comments
Counter : 464 Pageviews.
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.