2 กบนอกกะลา ตามหาผ้าล้านนา ตอนจากเชียงใหม่สู่แพร่
" ตรอกเหล่าโจ๊" แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เราใช้เวลาเดินหาอยู่นาน หลังจากที่ได้รับการบอกเล่าจากคุณณีว่าที่นี่เป็นที่ๆ เราควรแวะไปหาซื้อผ้าสำหรับตกแต่งบ้าน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เราเห็นขายให้แก่นักท่องเที่ยว ที่นี่ถือเป็นแหล่งขายส่งกันเลยทีเดียว "ตรอกเหล่าโจ๊" อยู่หลังกาดวโรรส เรามองหา "ร้านฝ้ายทอง" ตามที่คุณณีแนะนำว่า "ต้อง" มา
ร้านฝ้ายทอง อยู่ในตรอกแยกออกไปอีก หน้าตรอกนั้นเต็มไปด้วยชาวแม้วที่ขายของจำพวกงานฝีมือที่สวยงามและแปลกตากว่าที่เราเคยเห็นขายกันอยู่ดาษดื่น
ร้านฝ้ายทองจัดว่าเป็นร้านขายส่งกันเลยก็ว่าได้ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มิได้ถูกจัดวางอย่างสวยหรู แต่เอาแบบสะดวกสบายเข้าว่า ของบางชิ้นวางไว้ราวกับว่าไม่มีราคา แต่พอพลิกดูเท่านั้นแทบลมจับเลยก็มี
หน้าร้านฝ้ายทอง
"ผื่ง" สำหรับแขวนผ้า หรือตุง (ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกหรือเปล่า)
เสื้อจีนที่ขายในร้านฝ้ายทองราคาตกประมาณ 600 บาท
แต่ฉันกับเพื่อนสาวชอบร้านนี้มาก เพราะเจ้าของร้านนั้นท่านใจดี ให้เดิน ดม ชม ดู อย่างไรก็ไม่ว่า จะถ่ายรูปท่านๆ ก็ยิ้มใส่ กลุ่มฝรั่งนั้นเดินเข้าๆ ออกๆ กันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว เราถือวิสาสะเข้าไปพูดคุยกับท่านเจ้าของร้าน ท่านก็ดูเป็นกันเอง ถามไปถามมาได้ความว่าเจ้าของร้านผ้าหลายร้านก็เป็นลูกค้าท่าน ไม่เว้นแม้แต่ร้านม่านฟ้าเวียงพิงค์ หรืออาจารย์โกมล ท่านเองก็แวะมาซื้ออุปกรณ์ต่างๆ บ่อยๆ
พอซื้อของได้ตามต้องการแล้ว เราก็เดินออกสำรวจตรอกนี้กันหน่อย ฉันได้ของถูกใจมาหลายชิ้น เช่นพรมเช็ดเท้าผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม กระเป๋าปักดิ้น หมอนใบชา หลายๆ ร้านในตรอกเหล่าโจ๊เป็นแหล่งรวมของจากพม่า และจีน ของหลายอย่างฉันเคยเห็นว่ามีขายในกรุงเทพฯ ราคานั้นก็บวกเพิ่มไปประมาณ 2 เท่าตัวเลยทีเดียว
ร้านหนึ่งในตรอกเหล่าโจ๊ เป็นแหล่งรวมเสื้อผ้างานฝีมือที่สวยงามมาก
ร้านขายของผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไป ราคาไม่แพง
หน้าร้านทองที่ชนะการประกวดการตกแต่งวันตรุษจีน
กว่า 2 สาวจะเสร็จการเดินช้อปปิ้งที่นี่ก็ปาไปเกือบบ่าย 2 โมง เราไม่ได้นึกเลยว่าจะต้องเดินทางไปที่แพร่ให้ทันคืนนี้ ด้วยความที่หากไม่ได้แวะไปเราคงรู้สึกค้างคาใจเรื่องผ้าของอาจารย์โกมลเป็นแน่ แต่จะให้รีบอย่างไรไหว ในเมื่อท้องส่งเสียงร้องดังจ๊อกๆ อยู่ เราก็เลยต้องแวะกินร้านที่คาดว่าน่าจะอร่อยอยู่แถวๆ ม.เชียงใหม่
รสชาติของอาหารฉันขอไม่บรรยาย เอาเป็นว่ามันพอประทังให้ฉันมีแรงขับรถต่อไปได้ก็แล้วกัน เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วรีบบึ่งกลับเส้นทางเดิมคือ ลำพูน และลำปางเพื่อตีขึ้นไปที่แพร่
อย่างไรเสียตอนขามานั่นเราตั้งใจว่าจะขอแวะทำบุญที่โรงพยาบาลช้างลำปางกันเสียหน่อยคิดว่าจะแวะไปเพียงแค่บริจาคเงินแล้วก็รีบไปเสียแต่ก็ไม่วายเสียเวลาขอดูอาการของช้างที่กำลังป่วยเนื่องจากอุบัติเหตุทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่พังโม่ตะลาที่เคยเป็นข่าวหน้าหนึ่งถูกระเบิดบริเวณชายแดนจนเท้าหน้าข้างหนึ่งเสียไป
ช้างป่วยตัวหนี่งที่เก็บภาพมาได้อย่างไกลๆ (ห้ามเข้าใกล้ช้าง)
ป้ายรณรงค์ให้รักช้าง อย่าทำลายช้าง
ฉันทำบุญไปอย่างไม่นึกเสียดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลช้างเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่เป็นเอกชนและไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากเงินช่วยเหลือของรัฐบาลเลย เห็นแล้วสะท้อนใจ ที่นี่มีแต่คนใจดี ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดูสุนัขจรจัดตัวนี้เป็นสัตว์อีกตัวที่ทำให้ฉันรู้สึกดีว่ายังมีคนดีเหลืออยู่บนแผ่นดินนี้ คนดีๆ ที่เสียสละอย่างยิ่งใหญ่ หาสิ่งใดมาเทียบไม่ได้
มันตลกดีไหม ประเทศไทยซึ่งเคยมีช้างเป็นสัญลักษณ์บนธงประจำชาติมาก่อน เคยเป็นเอกราชเพราะช้างออกรบเพื่อป้องกันประเทศเรา
แต่วันนี้วันที่ช้างอ่อนแอ วันที่ช้างไม่มีแม้พื้นป่าจะอยู่ วันที่ช้างอ่อนแอ เจ็บป่วย และกำลังจะตายจะมีบ้างไหมที่หน่วยงานใดจะเหลียวแล
คนเหนือคนนั้น คนที่มีเงินเยอะๆ เป็นหมื่น เป็นพันล้าน ถ้าหากว่าจะบริจาคเงินสักเสี้ยวล้านที่เขามีมันจะทำให้เขาจนลงไหม เป็นเพียงแค่คำถามที่ฉันอยากรู้
ขออุทิศให้ช้างไทย ขอให้ช้างทุกเชือกในประเทศนี้จงอยู่ดีมีสุข อยู่กับผืนป่าที่ไม่มีใครมารังแก อยู่กับคนดีๆ ใจดีๆ ไม่ต้องเร่ร่อน
ช่วยเหลือช้างได้ที่ //www.elephant.or.th/
การเดินทางของฉันยังไม่จบ เวลานี้เป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว ฉันยังต้องขับรถฝ่าหุบเขาท่ามกลางความมืดไปอีกหลายกิโลเมตร เราไม่รู้เลยว่าคืนนี้เราจะรู้สึกระทึก และอกสั่นขวัญหาย และไม่รู้เลยว่าคืนนี้เราจะหาที่พักได้ไหม
ติดตามตอนต่อไปคะ
Create Date : 03 มีนาคม 2549 |
|
16 comments |
Last Update : 30 มีนาคม 2549 23:19:09 น. |
Counter : 2283 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณที่ติดตาม คิดถึงเพื่อนๆ ทุกคน ที่ไม่ได้แวะไปที่บล็อกก็ขอให้รู้ว่าคิดถึง ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเท่าไร อาการยังไม่ค่อยดีขึ้น แต่อยากอัพบล็อก กลัวหายไปแล้วเพื่อนๆ ไม่รัก อิอิ