สัปดาห์นี้ยังเน้นดูรายตัว ซื้อ4หุ้นพื้นฐาน-3เทคนิค
บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ ประจำสัปดาห์ระหว่างวันที่ 6-16 ธ.ค. 54 ดังนี้ ภาพรวมดูดีขึ้นแต่ยังไม่หลุดพ้นความเสี่ยงของยุโรป
การประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สินของยุโรป และเศรษฐกิจสหรัฐ โดยในสัปดาห์หน้า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีกำหนดประชุม FOMC ครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ นักลงทุนยังต้องจับตาดูความเห็นของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างเปราะบางกับสถานการณ์หนี้สินของทางยุโรป แม้ความตึงเครียดผ่อนคลายลงระดับหนึ่ง หลังธนาคารกลาง 6 แห่ง (สหรัฐ, อีซีบี, อังกฤกษ, แคนาดา, สวิสเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) ร่วมมือกันประกาศเสริมสภาพคล่องในระบบโดยปรับลดต้นทุนของวงเงินสว็อปดอลลาร์ลง 0.50%ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. แต่ต้องไม่ลืมว่าปัญหาหนี้สินของทางยุโรปยังไม่ได้จางหาย ไปไหน ดังนั้นจึงยังต้องจับตาดูความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหากันต่อไป
การประชุมของกลุ่ม OPEC
ความขัดแย้งที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก (NYMEX) ให้ดีดตัวขึ้นมายืนใกล้ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นความคาดหวังในช่วงก่อหน้านี้ว่าจะมีการพิจารณาปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 14 พ.ย. นี้ จึงมีความเป็นไปได้น้อยลง ในทางกลับกันการปรับเพิ่มกำลังการผลิตก็ดูเหมือนจะยากยิ่งกว่าภายใต้ระดับราคาที่น่าพอใจของกลุ่มโอเปกขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังอยู่บนความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ของทางยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุดธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โคประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบสหรัฐ และน้ำมันดิบเบรนท์สำหรับปี 2012 ลง จาก 110 ดอลลาร์/บาร์เรล สู่ระดับ 107 ดอลลาร์ สำหรับน้ำมันดิบสหรัฐ และจาก 115 ดอลลาร์ สู่ระดับ 112 ดอลลาร์ สำหรับน้ำมันดิบเบรนท์ ดังนั้น คาดว่ากลุ่มโอเปกจะตัดสินใจคงกำลังการผลิตที่ระดับเดิมต่อไป
แนวโน้มตลาดหุ้นและกลยุทธ์การลงทุน
แม้บรรยากาศลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจะดูดีขึ้น ภายหลังข่าวเชิงบวกจากธนาคารกลางหลายประเทศทั้งสหรัฐ, ยุโรป และจีนที่ประกาศเสริมสภาพคล่องเข้าไปในระบบ แต่ความเสี่ยงเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินของยุโรปยังไม่จางหายไป จึงเปรียบเสมือนได้ยาบำรุงเข้ามาช่วยรักษาอาการ แต่ยังไม่ได้รับยารักษาโรค นักลงทุนจึงยังควรต้องเฝ้าติดตามความคืบหน้าของปัจจัยดังกล่าวต่อไป ในขณะที่ปัจจัยภายในของไทยจะเป็นปัจจัยเสริมช่วยประคองภาพรวมตลาดมากกว่าจะมีกำลังในการผลักดันการฟื้นตัวอย่างเด่นชัด ได้แก่การซื้อกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปี และกิจกรรมการบูรณะซ่อมบำรุงบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมหลังน้ำลด รวมถึงมหกรรมงาน Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 28 ระหว่างวันที่ 1-12 ธ.ค. 54 ที่อาจเป็นบวกต่อหุ้นในบางกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ วอลุ่มการซื้อขายที่ดีขึ้นพร้อม sentiment การลงทุนในเชิงบวก และการกลับมาสะสมหุ้นอีกครั้งหนึ่งของนักลงทุนต่างชาติในระยะสั้นก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวปลายปี ทำให้มอง Upside อยู่ที่ 1040-1050 จุด ส่วน Downside มองจำกัดอยู่แถว 985-980 จุด โดยให้น้ำหนักกับปัจจัย ความคืบหน้าของปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นแบบเลือกหุ้นรายตัวเป็นหลัก โดยเลือกหุ้นที่รับประโยชน์จากกิจกรรมการบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำลด และมหกรรมมอเตอร์โชว์เป็นหลัก หุ้นแนะนำ ได้แก่ BAY, SAT, SCCC และ TTW
หุ้นเด่นประจำสัปดาห์:
เชิงพื้นฐาน: Selective
คำแนะนำ
- BAY ซื้อ
- SAT ซื้อเก็งกำไร
- SCCC ซื้อ
-TTW ซื้อ
เชิงเทคนิค: Selective
คำแนะนำ
- SCC ซื้อ
- TCAP ซื้อ
- THAI ซื้อ
กลยุทธ์อนุพันธ์: เทรด Long หลังราคาทองยืนเหนือ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐ
Create Date : 06 ธันวาคม 2554 |
|
0 comments |
Last Update : 6 ธันวาคม 2554 12:05:09 น. |
Counter : 444 Pageviews. |
|
|
|