โบรกแนะเก็งกำไร 5 หุ้นเด่น ดัชนีผันผวนในกรอบ ทยอยลดพอร์ตจนถึงกลางเดือนธ.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.49 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.84 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียมีทั้งปรับตัวอยู่ในแดนบวกและแดนลบ หลังจากวานนี้พุ่งแรงต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปวานนี้ซึมลงเล็กน้อย นักวิเคราะห์คาดหุ้นไทยวันนี้ผันผวนในกรอบ เก็งกำไร 5 หุ้นเด่น ได้แก่ SAT, TISCO, SIRI, KBANK, PTT ทยอยลดพอร์ตในไปจนถึงกลางเดือนธ.ค.

บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ แนวโน้มตลาดวันนี้: ผันผวนในกรอบ 1010-1030 ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น

Sentiment การลงทุนในระยะสั้นพลิกกลับมาเป็นบวกจากข่าวการรวมตัวประกาศมาตรการเสริมสภาพคล่องของธนาคารกลางหลายแห่ง ทำให้ตลาดพุ่งแรงพร้อมวอลุ่มหนุนและต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหนาแน่น รวมถึงการประมูลพันธบัตรที่ประสบความสำเร็จของสเปนและฝรั่งเศสยังช่วยหนุนบรรยากาศ อย่างไรก็ดี คาดวันนี้ตลาดจะเริ่มทรงตัวและความผันผวนจากการขายทำกำไรระยะสั้นจะสลับเข้ามามากขึ้น ขณะที่ตลาดยังกังวลกับการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปต่อไป และระยะสั้นยังถูกกดดันจากการรายงานของเจพีมอร์แกนเกี่ยวกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตทั่วโลกที่ว่ากิจกรรมภาคโรงงานทั่วโลกหดตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ในเดือนพ.ย.โดยได้รับแรงกดดันจากความอ่อนแอในยุโรปและเอเชีย รวมถึงการรอจับตาตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงานของสหรัฐในวันศุกร์ด้วย โดยรวมมองวันนี้ SETI จะผันผวนในกรอบ 1010-1030

กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อเก็งกำไรต่อในระยะสั้นตามโมเมนตัมตลาดแนวต้าน : 1026-1030 แนวรับ : 1010-1000

การจัดพอร์ตระยะสั้น* - หุ้น 50-75% : เงินสด 50-25%

ถือต่อในพอร์ต : SAT, TISCO, SIRI, KBANK, PTT

หุ้นที่ปรับออก : THCOM

KGI ประเมินตลาดหุ้นไทยวันศุกร์แกว่งตัวแคบถึงปรับขึ้นได้บ้าง โดยความร้อนแรงของตลาดจะน้อยลงหลังจากพุ่งแรงรับข่าว 6 ธนาคารกลางเสริมสภาพคล่องดอลล่าร์ฯ ไปเมื่อวาน นอกจากนี้นักลงทุนส่วนใหญ่จะรอดูตัวเลขจ้างงานและอัตราว่างงานสหรัฐฯ เดือน พ.ย. ที่จะออกในคืนวันนี้ (ตลาดคาดว่าการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 1.23 แสนตำแหน่ง และการว่างงานทรงตัวที่ 9.0%) อย่างไรก็ดีปัจจัยรวมๆ ยังเป็นบวกโดยเฉพาะในฝั่งยุโรป หลังจากการประมูลพันธบัตรของสเปนและฝรั่งเศสเมื่อคืนนี้มีความต้องการในระดับสูงและกดให้ดอกเบี้ยพันธบัตรขยับลงได้ ขณะที่ตัวเลขดัชนีการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ISM ก็สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ นอกจากนี้นักลงทุนสถาบันในประเทศเริ่มมียอดซื้อสุทธิหนักสองสามวันติดต่อกันแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าเม็ดเงินซื้อ LTF-RMF ในเดือน ธ.ค. ปีนี้น่าจะแรง เพราะอั้นมาจากเดือน พ.ย. ซึ่งน้ำท่วมและทำให้จิตวิทยาตลาดไม่ดี + ประชาชนไม่อยู่ในอารมณ์ซื้อกองทุนรวม

สำหรับในสัปดาห์หน้า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามยังอยู่ในยุโรป ประกอบด้วย i) การประชุมผู้นำกลุ่มยุโรปในวันที่ 8-9 ธ.ค. ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าเยอรมันและฝรั่งเศสจะเสนอให้เพิ่มความเข้มงวดของการรัดเข็มขัดทางการคลัง เพื่อเป็นข้อต่อรองกับการให้ ECB เข้ามาช่วยเหลือทางการเงินมากขึ้นอีก แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดของแผน ii) แนวทางระดมทุนของ IMF เพื่อมาปล่อยกู้ให้กับประเทศที่มีปัญหา โดยผู้อำนวยการ IMF กล่าวเมื่อคืนนี้ว่ากลุ่มประเทศ G-20 อาจช่วยเพิ่มเม็ดเงินให้กับ IMF หากสถานการณ์จำเป็น โดยในขณะนี้ IMF มีวงเงินปล่อยกู้เพียง 3.9 แสนล้านยูโร ซึ่งไม่เพียงพอที่จะช่วยแม้ประเทศอิตาลีประเทศเดียว (ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอิตาลีอาจขอกู้เงินถึง 6 แสนล้านยูโร)

กลยุทธ์: เราคาดว่า SET จะปิดสิ้นปี 2554 เหนือ 1,050 จุด (เป็นการขึ้นสูงกว่าเป้าหมายพื้นฐานซึ่งอยู่ที่ 1,020 จุด) ให้ถือพอร์ตหุ้นต่อไปในเดือน ธ.ค. หรือซื้อเพิ่มในหุ้นกลุ่มหลักที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ valuationsต่ำ เช่น BBL* และ PTT* ส่วน theme หลักได้แก่การซ่อมแซมหลังน้ำท่วมและดอกเบี้ยลง เช่น DCC*, SCC* ยังมีความน่าสนใจแต่เนื่องจากตลาดเล่นเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว ระยะสั้นๆ ราคาจะเริ่มอืดแนะให้ซื้อช่วงอ่อนตัว

บล.กสิกรไทยระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ยังมองบวก แต่โฟกัสการลดพอร์ต โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้กลางเดือน

ดัชนีหุ้นสหรัฐฯและยุโรปปิดลดเล็กน้อยจากแรงขายทำกำไร หลังปรับขึ้นอย่างมากในคืนก่อนหน้าเพราะการอัดฉีดสภาพคล่องร่วมของเฟดและธนาคารกลางอีก 5 ชาติ ทั้งนี้ปัญหายุโรปที่เกิดในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่การที่โลกขาดสภาพคล่องแต่เกิดจากการที่สภาพคล่องไม่หมุนเวียน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของยุโรปพึ่งพาการกู้ยืมผ่านธนาคารเป็นหลัก โดยมีตลาดทุนเป็นกลไกรอง จึงทำให้ทุกอย่างกลายเป็นอัมพาตเมื่อระบบการกู้ยืมระหว่างสถาบันการเงินไม่ทำงาน ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวสถาบันการเงินโดยตรงแต่เกิดจากการที่สถาบันการเงินเหล่านั้นถือพันธบัตรของประเทศในกลุ่มยูโรซึ่งมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระอยู่ ดังนั้นมาตรการของธนาคารทั้ง 6 ชาติจึงช่วยให้กลไกธุรกิจปกติดำเนินไปได้และไม่ซ้ำเติมปัญหาหนี้ระหว่างประเทศ

เรามองถ้อยแถลงของผู้ว่าการ ECB ที่บ่งบอกว่าธนาคารกลางยุโรปยังสามารถทำหน้าที่เพิ่มเติมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และความจริงจังของเยอรมันและฝรั่งเศสที่จะผลักดันการแก้สนธิสัญญายุโรปเพื่อแลกเปลี่ยนกับมาตรการความช่วยเหลือที่เพิ่มขึ้นเป็นการส่งสัญญาณว่ายุโรปน่าจะมีมาตรการที่สร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุนในการประชุมสุดยอดผู้นำวันที่ 9 ธ.ค.54 ซึ่งจะช่วยผลักดันการปรับขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกระลอก เราคงมุมมองว่าบรรยากาศเก็งกำไรโดยรวมเป็นบวกแม้ดัชนีจะปรับเกินเป้าหมายพื้นฐานของเราที่ 1020 จุด และเราแนะนำนักลงทุนใช้จังหวะจากนี้จนถึงจนถึงกลางเดือน ธ.ค.54 ในการทยอยลดพอร์ต

กลยุทธ์การลงทุน: บรรยากาศในการเก็งกำไรยังคงเป็นบวก และเราเชื่อว่ายุโรปจะสามารถบรรลุความตกลงในเรื่องการแก้สนธิสัญญาซึ่งจะสร้างพัฒนาการที่สำคัญในการแก้ปัญหาหนี้ จากประเด็นบวกข้างหน้าประกอบด้วย 1) การประชุมสุดยอดผู้นำ EU 9 ธ.ค. 2) การประชุม Fed วันที่ 13 ธ.ค. 3) การประชุม OPEC วันที่ 14 ธ.ค. ทำให้คาดว่าหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสปรับเกิน 1020 จุดอีกครั้ง ซึ่งจะเปิดโอกาสขายลดพอร์ตที่ดีแนะนำ 1) หุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมเช่น CPF HMPRO GLOBAL SCCC DCC STEC TASCO VNG TPC และ TTCL 2) หุ้นกลุ่มพลังงาน PTT TOP PTTGC จาก seasonal และคาดว่าราคาน้ำมันในช่วงปลายปีจะได้รับผลดีจากการเข้า สู่ช่วงฤดูหนาวของสหรัฐฯ 3) หุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็วเช่น HEMRAJ AMATA SAT TICON ROJNA LPN AP SPALI 4) หุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/55 จะออกมาดี ซื้อ CK, CPF, CPN, TTW, GLOW และเก็งกำไร MINT, CENTEL (อ่านรายละอียดในบทวิเคราะห์กลยุทธ์)

สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่ลดพอร์ตทำกำไรไปแล้ว ให้ Wait and See และรอสัญญาณกลับเข้าไปซื้อใหม่ คาดว่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้าอาจเห็น SET ต่ำกว่า 900 อีกครั้งหนึ่ง ส่วนนักลงทุนที่มีต้นทุนสูงและยังไม่ได้ลดพอร์ต อาจใช้จังหวะการปรับขึ้นรอบนี้ในการลดการถือครองหุ้น โดยเฉพาะที่มีกำไรอยู่

Create Date : 03 ธันวาคม 2554		0 comments
Last Update : 3 ธันวาคม 2554 17:55:39 น.
Counter : 459 Pageviews.
Share Tweet