The Blonde Girl

 

บทที่หนึ่ง

 

              พรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่ 13 ของผม แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าอยากจะได้อะไรเป็นของขวัญ ปีที่แล้วก็เป็นลูกม้าพันธุ์ดีจากอาหรับ ปีก่อนก็เป็นเรือใบจำลอง 5 ลำ แต่ปีนี้ ไม่สิ...ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเลยนี่นา

 

ในเมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาแห่งนี้มันดีตรงไหนนะ ท่านพ่อถึงอยากมาอยู่ที่นี่มาก ถึงขั้นย้ายจากในเมืองหลวงมาตั้งหลักปักฐานที่นี่อย่างมั่นคง

 

แต่หลังจากใช้ชีวิตที่นี่มาได้ซักพัก ผมก็ยอมรับว่าผมเริ่มชอบเมืองนี้ขึ้นมาเล็กน้อยแล้วล่ะ ที่นี่อากาศดีมาก ๆ และผู้คนก็เป็นมิตรมากด้วยเช่นกัน

 

วันนี้อากาศกำลังดี ผมกำลังคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ตลาดกับแดน ลูกชายของแม่บ้านที่วัยไล่เลี่ยกับผม แดนเป็นเด็กที่หัวอ่อน และมักจะหลบอยู่ข้างหลังผมเสมอ แต่น่าสงสารทแดนพูดไม่ได้ ท่านแม่บอกว่าแดนเคยพูดได้ตอนเล็ก ๆ แต่เมื่อปีก่อน ไม่รู้ว่าแดนไปเจอเหตุการณ์เลวร้ายอะไรมา จากนั้นเค้าก็ไม่เคยพูดอีกเลย

 

เราเดินกันมาตามเส้นทางลัดที่ผมกับแดนค้นพบเมื่อสองวันก่อน มันเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ แต่สามารถไปถึงตลาดได้ภายในเวลาไม่นานนัก ซึ่งถ้าใช้เส้นทางปกติก็จะใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากบ้านเราอยู่บนเนินไกลจากชุมชนออกไป ตลาดวันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ อาจเพราะใกล้วันคริสมาสต์ด้วย

 

เราเดินดูของนิด ๆ หน่อย ๆ แวะเข้าไปทักอาน่าที่ร้านเบเกอรี่ของเธอซักหน่อย เราคุยกันถึงเรื่องเรียงความที่อาจารย์สั่งเมื่อวาน อาีน่าบอกว่าเธอเขียนมันเสร็จแล้ว แต่ผมสิ ยังไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรเลย หัวข้อก็คือ “เรื่องที่ประทับใจ” มันเป็นอะไรที่ยากจริง ๆ พวกเราคุยกันได้ซักพัก อาีน่าก็บอกให้เรารอเธอ เธอบอกว่าขนมอบใหม่ใกล้เสร็จแล้ว จะเอามาให้พวกเราชิม

 

ผมยังไม่ทันได้ปฏิเสธ เธอก็วิ่งเข้าไปในครัวเสียแล้ว ขณะนั้นเอง จู่ๆผมก็รู้สึกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเลือดในกายมันพุ่งพล่าน หัวใจผมเต้นแรงมากเหมือนมันจะหลุดออกมาจากในอก แล้วตอนนั้นเอง ประตูของร้านก็เปิดออก...



                                    บทที่สอง



“สวัสดีค่ะ”

เสียงนั้นช่างกังวานและไพเราะยิ่งนัก และเมื่อผมหันไปตามต้นเสียง ก็ได้พบกับหญิงสาวผมบลอนด์เป็นลอนอ่อน ๆ นัยตาสีเขียวมรกต ปากสีแดงสด หน้าตาสวยงามเหมือนกับนางฟ้าในโบสถ์ ผมสีบลอนด์ของเธอเมื่อสะท้อนกับแดดอ่อน ๆของฤดูหนาวที่ทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามา ดูสดใสราวกับทุ่งทานตะวันในฤดูร้อน เธอน่าจะอยู่ในวัย 18-20 ปี เธอสวมชุดสีขาว ประดับประดาไปด้วยลูกไม้ ช่างดูเหมาะกับเธอยิ่งนัก
ยิ่งพอเธอเดินเข้ามาใกล้ หัวใจผมยิ่งเต้นถี่มากขึ้น มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่



“ขอครัวซองค์ 2 ชิ้น ขนมปังฝรั่งเศส 1 ชิ้น แล้วก็เค้กนี่อีกชิ้นค่ะ”

“จ้า แล้ววันนี้วิคเตอร์ไม่มาด้วยเหรอ”

“อ๋อ เค้าอยู่ที่ร้านน่ะค่ะ กำลังวุ่นกับการแต่งร้านอยู่เลย แต่ก็ฝากมาสวัสดีคุณน้าด้วยค่ะ”

“อ้อ นั่นสินะ แล้ววันไหนจะเปิดร้านล่ะ”

“คาดว่า น่าจะอีกซัก 3-4 วันค่ะ”

“แหม วิคเตอร์นี่โชคดีจังเลยน้า ไปร่ำเรียนในเมืองจนได้ปริญญา ซ้ำยังได้ภรรยาที่น่ารักกลับมาฝากพ่อแม่ด้วย”

เธอยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย

“อ้าว สวัสดีจ้าหนุ่มน้อย มีอะไรติดที่หน้าพี่รึเปล่า? ว่าแต่เธอชื่ออะไรน่ะ พี่ชื่อเอเวอลีน จ้ะ”

แย่มาก ผมเสียมารยาทกับเธอจริง ๆ ที่ไปจ้องหน้าสุภาพสตรีเช่นนั้น แต่เธอสวยจนไม่อาจละสายตาได้นี่นา

“เอ่อ...ผมชื่ออาเบลครับ”

“แล้วอีกคนล่ะ”

“อ๋อ เค้าชื่อแดนครับ แต่เค้าพูดไม่ได้”

“งั้นเหรอจ้ะ...น่าสงสารจัง ยินดีที่ได้รู้จักเธอทั้งสองนะ” เธอยิ้มพลางจับมือผมและแดน

“พี่พึ่งมาอยู่ที่เมืองนี้ได้ไม่นาน ขอฝากตัวด้วยนะ ร้านของพี่อยู่ที่ถนนโมรีน่ะ”

“ของที่สั่งได้แล้วจ้า”

“ค่า นี่ค่ะ” เธอหันไปจ่ายเงินกับแม่ของอาน่า

“เดี๋ยวพี่ต้องรีบไปช่วยวิคเตอร์เค้าจัดของ ต้องขอตัวก่อน ยังไงก็แวะมาที่ร้านพี่ด้วยนะจ๊ะ อาเบล, แดน”

“เอ่อ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เช่นกันจ้า คราวหน้าเราคงได้คุยกันนานกว่านี้เนอะ” เธอยิ้มอีกเช่นเคย พร้อมเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว

 

“มองพี่เค้าไม่ละสายตาเลยนะ ผู้ชายก็เงี้ย เอ้านี่ ขนมเนี่ยเป็นเมนูใหม่ของร้านเลยนะ ชิมแล้วก็คอมเม้นท์ซะ” อาน่า โผล่มาตอนไหนไม่รู้ พร้อมกับยื่นขนมชิ้นเล็กๆ หน้าตาน่าทานให้กับพวกเรา

“ที่จริงไม่ต้องก็ได้นะอาน่า ผมเกรงใจ”

“น่า ไม่ต้องเกรงใจอะไรหรอก คนกันเอง”

ผมรับขนมมาแล้วก็จัดการมันหมดในหนึ่งคำ แต่แดนดูเหมือนจะพยายามละเลียดทีละนิด พร้อมทำหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างมีความสุขเมื่อได้ลิ้มรส

“หืม นี่อร่อยดีนี่นา”

“ฮิฮิ เห็นม้า ขนมร้านเราอร่อยที่สุดในเมืองนี้เลยล่ะ ชั้นว่าเจ้านี่ต้องขายดีแน่ ๆ”

แดนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง

“อืม ว่าแต่ พี่สาวที่ชื่อเอเวอลีนนั่น เค้าเป็นใครน่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“อ้อ พี่สาวคนสวยนั่นเอง เค้าเป็นแฟนพี่วิคเตอร์ ร้านขายยาน่ะ พี่วิคเตอร์เค้าไปเรียนวิทยาลัยในคลุจ นาโปกา เมื่อสามวันก่อนพี่วิคเตอร์กลับมาที่นี่แล้วก็พาพี่เอเวอลีนมาด้วย พร้อมแนะนำให้รู้จักกับพ่อแม่ในฐานะภรรยา”

“แล้วพี่เอเวอลีนเค้าเป็นคนยังไง เธอพอจะรู้มั้ย”

“เท่าที่เห็นก็เป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดีนะ ว่าแต่เธอถามทำไมเหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไร...งั้นผมกลับก่อนนะ วันนี้มีนัดเรียนเปียโนตอนบ่ายน่ะ ถ้าไม่เข้าเดี๋ยวท่านแม่จะดุเอา”

“จ้า ตามสบายจ้า อ้อ แล้วงานวันเกิดเธอพรุ่งนี้เริ่มกี่โมงน่ะ”

“สิบเอ็ดโมง อย่าลืมเอาของขวัญมาด้วยล่ะ”

“อื้ม ไม่ลืมหรอกน่า เจอกันพรุ่งนี้”

“เจอกันพรุ่งนี้ ขอบคุณสำหรับขนมนะ”



...ขากลับแทนที่ผมจะใช้เส้นทางลัดทางเดิม แต่ผมกลับใช้เส้นทางปกติ และแวะไปดูเธอที่ร้านก่อนค่อยกลับ
ผมยิ้มพลางฮัมเพลงไปตามทาง แดนดูแปลกใจกับพฤติกรรมของผม
และแล้ว...ในที่สุด ผมก็รู้แล้วว่าปีนี้ ผมต้องการอะไร






บทที่สาม

 


หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เราจะยังนั่งกันต่อที่โต๊ะอาหารซักพัก เพื่อพูดคุยกัน หรือไม่ก็จะพักผ่อนก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น


“นี่แน่ะ อิซัค คิดออกรึยังว่าปีนี้ลูกอยากได้อะไร” ท่านแม่ถามพลางจิบกาแฟไปพลาง ๆ

“ผม...อยากได้เจ้าสาวฮะ”

“หา ลูกว่ายังไงนะ” ท่านพ่อถึงกับวางหนังสือที่อ่านอยู่ลง

“ครับ ผมอยากได้เจ้าสาว”

“โฮะๆ ลูกเราโตเป็นหนุ่มแล้วนะคะคุณ”

“นี่ลูกพูดจริงเหรอ ลูกเพิ่งจะ 13 เองนะ แล้วเธอคนนั้นเป็นใคร เรารู้จักเธอมั้ย”

“คุณอย่าลืมสิคะว่าฉันแต่งกับคุณตอน 16 นะ”

“นี่มันเรื่องของอนาคตเลยนะคุณ ลูกยังเรียนไม่จบเลย”

“แหม ก็หมั้นไว้ก่อนก็ได้นี่คะ แม่สาวคนนั้นสวยมั้ยอาเบลของแม่”

“ครับ สวยมาก สวยจนผมไม่คิดว่าเธออยู่บนโลกนี้”

“นี่คุณอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ เอ่อ แล้ววันนี้เธอมางานด้วยรึเปล่า”

“ครับ มาแน่”

“พ่อว่า เรื่องนี้เอาไว้คุยกันหลังจากงานวันเกิดลูกก็แล้วกันนะอาเบล”

“ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ตามสบายลูก”



หลังจากที่เดินจากห้องอาหารไปได้ซักพัก ผมก็ได้ยินเสียงท่านแม่หัวเราะอย่างชอบใจ แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมตั้งใจว่าจะไปชวนเธอมางานวันเกิดผมวันนี้ เธอต้องมาแน่ ๆ ผมจะพาเธอมาให้ได้



ผมวิ่งมาตลอดทาง จนถึงหน้าบ้านของเธอ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วค่อยเอื้อมมือไปเคาะประตู มันเป็นความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม มันเหมือนมีบางอย่างจากภายในผลักดันให้ผมทำอย่างนี้


ซักพักก็มีเสียงตอบกลับมา

“ร้านยังไม่เปิดค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

“ผมอาเบลเองฮะ เราเจอกันที่ร้านเบเกอรี่เมื่อวาน”


แค่ได้ยินเสียงเธอผมก็ใจเต้นได้ถึงเพียงนี้ ความรู้สึกอึดอัดในอกนี่มันอะไรกันนะ

“อ้าว อาเบลเองหรอกเหรอจ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่เปิดประตูให้นะ”

“มีอะไรเหรอ มาหาพี่แต่เช้าเชียว” เธออยู่ในชุดนอนสีชมพู ผมปล่อยๆ ดูสบายๆ มันประหลาดมาก เมื่อกี้ผมยังรู้สึกอึดอัดอยู่เลย แต่พอเจอหน้าเธอ มันก็สงบอย่างบอกไม่ถูก

“ผมมาชวนพี่เอเวอลีนกับพี่วิคเตอร์ ไปงานวันเกิดผมน่ะครับ วันนี้สิบเอ็ดโมง ที่บ้านบนเนินเขา”

“อ้าว สุขสันต์วันเกิดนะจ้ะ เอ...วันนี้เหรอ ไปได้รึเปล่าน้า”

“นะฮะ ไปเถอะนะฮะ ผมอยากให้พี่ไปร่วมงานด้วยมากๆเลย รับรองว่าสนุกแน่ๆ”

“อืม ไม่รู้สินะ เกรงว่าอาจจะไม่ได้น่ะสิ”

“ใครมาเหรอ เอลี่” เสียงทุ้มๆของผู้ชายทักมาจากด้านใน

“น้องอาเบลที่อยู่บ้านบนเนินน่ะค่ะ เค้ามาชวนไปงานวันเกิด”

“เดี๋ยวขอพี่เข้าไปคุยกับวิคเตอร์แป๊ปนะจ๊ะ” แล้วเธอก็กลับเข้าไปในบ้าน

....ผมภาวนาขอให้เธอได้ไปทีเถิด

“อืม วิคเตอร์เค้าติดงานน่ะ แต่เค้าบอกให้พี่ไปแทนน่ะจ่ะ”

เธอบอกพร้อมกับยิ้มกว้างให้เห็นฟันขาวที่เรียงสวยงามเป็นระเบียบ

“ว้าว ดีใจจังฮะ อย่าลืมนะฮะ 11 โมง ผมจะรอฮะ”

“จ้า แล้วเจอกัน”

“ครับ”



หลังจากนั้น ผมไม่รู้ว่าผมกลับมาบ้านได้ยังไง ผมรู้สึกตัวมันลอย ๆ อย่างบอกไม่ถูก หน้าก็ชา ๆ ไม่เคยมีความสุขอย่างนี้มาก่อนเลย
เมื่อไหร่จะถึง 11 โมงซะทีนะ ชักจะรอไม่ไหวซะแล้วสิ




                                                                   บทที่สี่


“จะเป็นคนแบบไหนกันน้า ชักอยากเจอซะแล้วสิ โฮะๆๆๆ”

“ดูคุณสนุกกับเรื่องนี้ซะจริงนะออลก้า”

แหม คุณคะ ไม่คิดเหรอคะว่ามันน่าสนใจ รักแรกพบของลูกเราเชียวนะคะ ไปเจอกันตอนไหนน้า”

“แล้วถ้าเรื่องมันเหมือนคราวก่อนล่ะ”

“...นี่คุณ หัดคิดในทางที่ดีมั่งสิ ครั้งนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ ชั้นก็ได้แต่ภาวนาน่ะนะ”

“อืม นั่นสินะ พวกเราทำได้เพียงเฝ้าภาวนา”

 
 

“พ่อครับแม่ครับ นี่อาน่า เพื่อนที่โรงเรียน แล้วนี่ก็เอียน นี่แสตน”

“สวัสดีครับ/ค่ะ”

“เชิญจ้าเชิญ ตามสบายนะเด็ก ๆ”

“สวัสดีค่ะคุณนายออลก้า เด็ก ๆ นี่โตไวกันจังเลยนะคะ”

“นั่นสินะคะ เฮ้อ เวลาผ่านไปเร็วจังเลยน้า เชิญทางนี้เลยค่ะคุณนาย คนอื่น ๆ มากันบ้างแล้ว พวกเราไปจิบน้ำชาแล้วคุยกันดีกว่า”

 

 

วันนี้พวกพ่อแม่ของเพื่อน ๆ ผมบางคนก็มาร่วมงานด้วย เพราะท่านแม่จะได้มีอะไรคุยกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกัน เพื่อน ๆ มากันเกือบครบแล้ว แต่เอเวอลีนมาหรือยังนะ ยังไม่เห็นเธอเลย

 

 

 

จู่ ๆ ก็มีมือมาจับที่ไหล่ผม

 

 

 

“สวัสดีจ้า อาเบล นี่ของขวัญของเธอนะ สุขสันต์วันเกิด”

“อ้าว พี่เอเวอลีนนี่เอง ทำผมตกใจหมดเลย”

“เรียกเอลี่ก็ได้จ๊ะ แล้วต้องวางของไว้ไหนเอ่ย”

“ตรงนี้ก็ได้ครับ” ผมเอาของขวัญกล่องสีแดงที่บรรจงห่ออย่างดี วางไว้ที่โต๊ะใกล้ๆกับโต๊ะอาหาร “มารู้จักกับแม่ผมดีกว่าครับ”

 

“แม่ฮะ นี่ครับพี่เอเวอลีน เธอจะมาเป็นเจ้าสาวของผม”

“ว้าย อะไรกันจ๊ะ พ่อหนุ่ม เอเวอลีนเค้ามีวิคเตอร์อยู่แล้วทั้งคนนี่นา” พวกแม่ๆ แซวกันใหญ่

“แหม ผมก็ล้อเล่นไปอย่างนั้นแหละครับ แต่พี่เอเวอลีนเนี่ย นางในฝันของผมเลยนะ” ตอนพี่เอเวอลีนแก้มแกงแป๊ดเหมือนลูกมะเขือเทศ น่ารักจัง

“สวัสดีค่ะ เอเวอลีนค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณนาย...”

“เอ่อ สวัสดีจ้ะ ชั้นออลก้า ยินดีที่ได้รู้จักนะเอเวอลีน มาร่วมวงกับเรานี่สิจ๊ะ กำลังคุยเรื่องงานคริสมาสต์อยู่เลย”

“แต่ผมขอยึดตัวพี่เอเวอลีนไปนะฮะ เดี๋ยวผมพาพี่เค้าเดินชมรอบ ๆ บ้านก่อน แล้วจะพาตัวมาคืนนะ”

“อ้อ งั้นก็ตามสบายจ้ะ”

 

“คุณนายเป็นอะไรรึเปล่าคะ ดูหน้าซีดเชียว” กลุ่มคุณแม่คนหนึ่งถามขึ้น

“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ เป็นเรื่องปกติ ชั้นหน้าซีดบ่อยๆน่ะ คงเพราะเลือดน้อย เดี๋ยวขอตัวไปทานยาก่อนนะคะ ต้องขอโทษที”

 



ออลก้าผละออกมาจากวงสนทนาแล้วรีบเดินไปหาสามีของเธอที่กำลังคุยกับพวกผู้ชายอย่างออกรส

“คุณคะ ขอเวลาคุยด้วยเดี๋ยวสิ”

“เอ่อ ทุกท่านครับ ดูเหมือนว่าห่างกันไปแค่ไม่กี่สิบนาที เมียผมก็คิดถึงผมมากเสียแล้ว ขออนุญาตนะครับ”

“ฮ่าๆๆๆ เชิญตามสบายครับ” เหล่าพ่อบ้านต่างฮาครืนกับมุกของราดู

 

“มีอะไรเหรอคุณ”

“คุณคะ เอเวอลีน เธอคนนั้นน่ะ...”

“...”

“หา ว่าไงนะ เป็นไปไม่ได้”

“แต่ชั้นก็ยังไม่มั่นใจนะคะ”

“ไหน พาผมไปพบเธอหน่อยซิ”

“ตอนนี้อาเบลกำลังพาเธอชมรอบ ๆ บ้านน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงจะกลับมากันแล้วล่ะ”

“จะทำยังไงดีคะคุณ ถ้าหาก...”

“ไม่หรอกน่า อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“งั้นเรารีบตามหาสองคนนั้นดีกว่า”

 

 

เอเวอลีนดูสนุกไปกับเรื่องที่ผมเล่า ผมรู้สึกดีใจจริง ๆ ที่เธอมางานวันนี้ มันคงเป็นวันที่ผมจะไม่ลืมไปตลอดชีวิตเลยล่ะ

 

เราเดินกันมาถึงสวนหลังบ้าน มันเป็นสวนกุหลาบที่ท่านแม่ชอบมาก คาดว่าเจ้าของเก่าของบ้านหลังนี้คงจะชอบกุหลาบอยู่มิใช่น้อย เพราะเห็นกุหลาบพันธุ์ต่าง ๆ ปลูกอยู่รอบบ้านเลย จะว่าไปแล้ว ก็เห็นคนในเมืองเรียกบ้านหลังนี้ว่า “คฤหาสกุหลาบ” เนื่องจากกุหลาบที่นี่จะบานทั้งปี

 

“โอ ที่นี่สวยจัง เป็นสถานที่ที่วิเศษมากเลยจ้ะ”

“อ๊ะ กุหลาบสีน้ำเงินนี่นา แปลกจังไม่เคยเห็นเลย”

“โอ้ย”

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรจ้า แค่โดนหนามกุหลาบตำก็เท่านั้นเอง”

 

 

จู่ ๆ เอเวอลีนทรุดลงไปกับพื้น

“ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอครับ งั้นเรากลับไปที่งานกันดีกว่ามั้ย”

“...”

“พี่เอเวอลีน!”

“อ้ะ อ่อ ไม่เป็นไรจ้ะ แค่หน้ามืดนิดหน่อยเอง หากเป็นการไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยพยุงชั้นหน่อยได้มั้ยจ๊ะ”

“แหม เรื่องแค่นี้เอง ได้สิครับพี่”

ผมพยุงพี่เอเวอลีนขึ้นมา ใจผมเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ รู้สึกชาไปจนถึงใบหู ฮึ้ย ชักจะทนไม่ไหวแล้ว

“ฮิฮิ เธอหน้าแดงมากเลยนะอาเบล” พี่เอเวอลีนหัวเราะขบขัน

 

 

“นี่ เธอรู้อะไรมั้ยอาเบล”

ตอนนี้หน้าพี่เอลี่เข้ามาใกล้จนจมูกเราจะชนกันอยู่แล้ว เธอแขนทั้งสองข้างวางพักบนไหล่ของผม

“เธอไม่ควรอยู่ใกล้ชั้นเลยจริง ๆ น้า ไม่ควรจริงๆ”

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน”

 

 

 

 

 

 

 

“เค้าสองคนอยู่ที่นั่นไง” ออลก้าพูด “นั่นเอเวอลีนกำลังทำอะไรน่ะ”

เอเวอลีนซึ่งหันหน้ามาทางออลก้า แสยะยิ้มให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะจมเขี้ยวลงบนคอของอาเบล

“ไม่นะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อาเบล” ออลก้ารีบวิ่งเข้าไปหาบุตรชายของเธอที่ตอนนี้ล้มลงไปกองกับพื้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

........

 

.......................

......................................

.....................................................




                                                                       บทส่งท้าย



“นี่  มิเรล่า  เกินไปแล้วนะ  แม่อุตส่าห์ได้ของเล่นใหม่แก้เบื่อ  กะจะเลี้ยงไว้ให้โตกว่านี้อีกซักหน่อยแล้วค่อยกิน”

“นั่นสิ  พ่อก็กำลังสนุกกับการเล่นบทบาทนี้อยู่พอดี  ก็เราน่ะ  หายไปไหนมาอยู่ไหนมาตั้งหลายสิบปี”

“โธ่  พ่อคะแม่คะ  หนูก็ออกไปหาอะไรสนุก ๆ  ทำบ้างนี่นา”

“ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอพ่อกับแม่ที่เมืองนี้  สบายดีมั้ยคะ”

“เราสองคนสบายดี  ว่าแต่ลูกเถอะ  เป็นยังไงมายังไงเนี่ย”

“อ๋อ   ตอนนี้หนูกำลังเล่นบทบาทเป็นภรรยาที่น่ารักอยู่น่ะค่ะ  กะไว้ว่าอีกสักพักค่อยกิน  การได้เห็นหน้าตาที่สิ้นหวังของมนุษย์ก่อนตายเนี่ย  มันสุดยอดเลยนะคะแม่”
 มิเรล่ายิ้มให้กับผู้ที่เป็นมารดาอย่างไร้เดียงสา

“เฮ้อ  ลูกเรานี่ก็มีรสนิยมแปลก ๆ  นะคะคุณ”

“ก็ได้ใครมาล่ะ  เฮอะ  เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ  อย่าไปว่าแต่ลูกเลย”

“ฮ่าๆๆๆ”  ทั้งสามคนหัวเราะอย่างสนุกสนาน

“แม่ว่า  ไปจัดการกับแขกในงานกันดีกว่านะ”

“อุ๊ย  แม่คะ  ค่อย ๆ กินก็ได้  หนูอยากอยู่เมืองนี้ต่ออีกซักพัก”

“จ้า  จ้า  เอางั้นก็ได้”

“แล้วอิออนล่ะคะแม่”

“อ่อ  เค้าอยู่ที่ห้องน่ะ  เด็กคนนี้ก็ใช่ย่อยนะ  คราวนี้เค้าแสดงบทบาทเป็นเด็กใบ้ล่ะ  ไปทักทายน้องเค้าหน่อยสิ  เค้าคงคิดถึงแกจะแย่” 









....
...................
................................
!!!!!!!!!!!!!




Create Date : 06 พฤษภาคม 2552
Last Update : 6 พฤษภาคม 2552 12:38:45 น.
Counter : 457 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อาโฮเฮะ
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



...


สวัสดีค่ะ

ยินดีที่แวะมานะคะ
Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า 3.0 ประเทศไทย
พฤษภาคม 2552

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31