กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2566
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
28 กันยายน 2566
space
space
space

ตัวสภาวะ

ต่อ   ยิงยาวไปเลย


ตัวสภาวะ


     อายตนะ  แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน  หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้  แดนเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้  แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี ๖ อย่าง ดังที่เรียกในภาษาไทย ว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ*

     ที่ว่าต่อ หรือเชื่อมต่อ  ให้เกิดความรู้นั้น ต่อ หรือเชื่อมต่อกับอะไร ?   ตอบว่า เชื่อมต่อกับโลก คือ สภาพแวดล้อมภายนอก แต่โลกนั้นปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์เป็นส่วนๆ ด้านๆไป เท่าที่มนุษย์จะมีแดน หรือเครื่องมือสำหรับรับรู้ คือ เท่าจำนวนอายตนะ ๖ ที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น ดังนั้น อายตนะ ทั้ง ๖ จึงมีคู่ของมันอยู่ในโลกเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้สำหรับแต่ละอย่างๆ โดยเฉพาะ

     สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือลักษณะอาการต่างๆ ของโลกเหล่านี้ เรียกชื่อว่าอายตนะเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือเป็นแหล่งความรู้ เช่นเดียวกัน แต่เป็นฝ่ายภายนอก เพื่อแยกประเภทจากกันไม่ให้สับสน ท่านเรียกอายตนะพวกแรกว่า "อายตนะภายใน" (แดนต่อความรู้ ฝ่ายภายใน) และเรียกอายตนะพวกหลังนี้ว่า "อายตนะภายนอก"  (แดนต่อความรู้ ฝ่ายภายนอก)

     อายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งต้องกาย และสิ่งที่ใจนึก โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า "อารมณ์"  แปลว่า   สิ่งอันเป็นที่สำหรับจิตมาหน่วงอยู่ หรือ สิ่งสำหรับยึดหน่วงของจิต แปลง่ายๆว่า สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือ สิ่งที่ถูกรู้ นั่นเอง

     เมื่ออายตนะภายใน ซึ่งเป็นแดนรับรู้  กระทบกับอารมณ์ (อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้าน ของอายตนะแต่ละอย่างๆ ขึ้น เช่น ตากระทบรูป เกิดความรู้ เรียกว่า เห็น หูกระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่า ได้ยิน เป็นต้น ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้เรียก ว่า "วิญญาณ" แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์

     ดังนั้น จึงมีวิญญาณ ๖ อย่าง เท่ากับอายตนะและอารมณ์ ๖ คู่ คือ วิญญาณ ทางตา ได้แก่ เห็น วิญญาณทางหู ได้แก่ ได้ยิน วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น วิญญาณทาง ลิ้น ได้แก่ รู้รส วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้องกาย วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ

     สรุปได้ว่า  อายตนะ ๖ อารมณ์ ๖ และวิญญาณ ๖  มีชื่อในภาษาธรรม และมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนี้


        
      


     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิญญาณ จะต้องอาศัยอายตนะ และอารมณ์กระทบกันจึงจะเกิดขึ้นได้  ก็จริง   แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ   ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นได้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงเกิดขึ้น  ดังตัวอย่างในบางคราว เช่น เวลาหลับสนิท เวลาฟุ้งซ่าน หรือใจลอยไปเสีย เวลาใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ตลอดจนขณะอยู่ในสมาธิ รูปและเสียง เป็นต้น หลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามา อยู่ในวิสัยที่จะเห็น จะได้ยิน แต่หาได้เห็น ได้ยินไม่ หรือตัวอย่างง่ายๆ ขณะเขียนหนังสือใจจดจ่ออยู่จะไม่รู้สึกส่วนของร่างกาย ที่แตะอยู่กับโต๊ะเก้าอี้ ตลอดจนมือที่แตะกระดาษ และนิ้วที่แตะปากกา หรือดินสอ ในเมื่อมีอายตนะ และอารมณ์เข้ามาถึงกันแล้ว แต่วิญญาณไม่เกิดขึ้น เช่นนี้ ก็ยังไม่เรียกว่าการรับรู้ได้เกิดขึ้น


     การรับรู้จะเกิดขึ้น ต่อเมื่อมีองค์ประกอบเกิดขึ้นครบทั้งสามอย่าง คือ อายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ ภาวะนี้ในภาษาธรรมมีคำเรียกโดยเฉพาะว่า "ผัสสะ" หรือ "สัมผัส" แปลตามรูปศัพท์ว่า การกระทบ แต่มีความหมายทางธรรมว่า การประจวบ หรือบรรจบพร้อมกันแห่งอายตนะ อารมณ์ และวิญญาณ พูดอย่างเข้าใจกันง่ายๆ ผัสสะ ก็คือ การรับรู้ นั่นเอง ผัสสะ หรือ สัมผัส หรือการรับรู้นี้ มีชื่อเรียกแยกเป็นอย่างๆ ไปตามทางรับรู้ คืออายตนะนั้นๆ ครบจำนวน ๖ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

     ผัสสะ เป็นขั้นตอนสำคัญ ในกระบวนการรับรู้ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแล้ว กระบวนธรรมก็ดำเนินต่อไป เริ่มแต่ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้น ปฏิกิริยาอย่างอื่นของจิตใจ การจำหมาย การนำอารมณ์นั้นไปคิดปรุงแต่ง ตลอดจนการแสดงออกต่างๆ ที่สืบเนื่องไปตามลำดับ

     ในกระบวนธรรมนี้ สิ่งที่ควรสนใจเป็นพิเศษในการศึกษาขั้นนี้ ก็คือ ความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามา ซึ่งเกิดขึ้นในลำดับถัดจากผัสสะนั่นเอง ความรู้สึกนี้ ในภาษาธรรมเรียกว่า "เวทนา" แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือการเสพรสอารมณ์ คือความรู้สึกต่ออารมณ์ที่รับรู้เข้ามานั้น โดยเป็น สุข สบาย ไม่สบาย หรือ เฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง

     เวทนานี้    ถ้าแบ่งตามทางรับรู้ ก็มี ๖ เท่าจำนวนอายตนะ คือ เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางตา เวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหู เป็นต้น แต่ถ้าแบ่งตามจำนวนคุณภาพจะมีจำนวน ๓ คือ

        ๑. สุข ได้แก่ สบาย ชื่นใจ ถูกใจ

        ๒. ทุกข์ ได้แก่ ไม่สบาย เจ็บปวด

        ๓. อทุกขมสุข ไม่ทุกข์ ไม่สุข คือเรื่อยๆ เฉยๆ ซึ่งเรียกว่าอีกอย่างหนึ่ง อุเบกขา*


อีกอย่างหนึ่ง แบ่งละเอียดลงไปเป็น ๕ อย่าง คือ

        ๑. สุข    ได้แก่    สบายกาย

        ๒. ทุกข์    ได้แก่    ไม่สบายกาย เจ็บปวด

        ๓.โสมนัส    ได้แก่    สบายใจ ชื่นใจ

        ๔.โทมนัส    ได้แก่    ไม่สบายใจ เสียใจ และ

        ๕. อุเบกขา   ได้แก่   เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์


กระบวนการรับรู้เท่าที่กล่าวมานี้ เขียนให้เห็นง่ายๆ ได้ดังนี้

         

     ดังได้กล่าวแล้วว่า อารมณ์ก็คือโลกที่ปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์ทางอายตนะต่างๆ การรับรู้อารมณ์เหล่านี้   เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้มนุษย์มีความสามารถในการเกี่ยวข้องกับโลก ทำให้ชีวิตอยู่รอด และดำเนินไปด้วยดี

     ในกระบวนการรับรู้นี้   เวทนาก็เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่ง   โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องชี้บอกให้ทราบว่า อะไรเป็นอันตรายแก่ชีวิต   ควรหลีกเว้น   อะไรเกื้อกูลแก่ชีวิต   ควรถือเอาประโยชน์ได้ เวทนาจึงช่วยให้กระบวนการรับรู้ที่ดำเนินต่อไป สามารถสร้างความรู้ความเข้าใจที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น


     แต่สำหรับมนุษย์ปุถุชน    เวทนามิได้มีความหมายเพียงเท่านั้น คือมิใช่เพียงแค่ว่ากระบวนการรับรู้ได้มีส่วนประกอบเพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยเสริมความรู้ได้สมบูรณ์ อันจะทำให้เขามีความสามารถมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม แต่เวทนายังหมายถึงการที่โลกมีอะไรอย่างหนึ่งเป็นผลตอบแทน หรือรางวัลแก่เขาในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกด้วย ผลตอบแทนที่ว่านี้ คือความเอร็ดอร่อย ความชื่นใจที่เกิดจากอารมณ์ ซึ่งเรียกว่าสุขเวทนา

     ในกรณีที่กระบวนการรับรู้ดำเนินมาตามลำดับจนถึงเวทนา ถ้ามนุษย์หันเข้าจับเวทนาไว้ตามความหมายในแง่นี้ มนุษย์ก็จะหันเหออกไปจากกระบวนการรับรู้ ทำให้กระบวนธรรมอีกอย่างหนึ่งได้โอกาสเข้ามารับช่วงแล่นต่อไปแทนที่ โดยเวทนาจะกลายเป็นปัจจัยตัวเอกที่จะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องต่อไป พร้อมกันนั้น กระบวนการรับรู้ซึ่งกลายไปเป็นส่วนประกอบ และเดินควบไปด้วย ก็จะถูกกำลังจากกระบวนธรรมใหม่นี้บีบคั้นให้บิดเบือน และเอนเอียงไปจากความเป็นจริง

     กระบวนธรรมรับช่วงที่ว่านี้ มักดำเนินไปในแบบง่ายๆพื้นๆ คือ เมื่อรับรู้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เกิดความรู้สึกสุขสบายชื่นใจ  (สุข-เวทนา)  ก็อยากได้  (ตัณหา)  เมื่ออยากได้ ก็ติดใจพัวพันจนถึงขั้นยึดติดถือมั่น  (อุปาทาน)  ค้างใจอยู่ ไม่อาจวางลงได้ ทั้งที่ความเป็นจริง ไม่อาจถือเอาไว้ได้ เพราะสิ่งนั้นๆ ล่วงเลยผ่านพ้นหมดไปแล้ว จากนั้น ก็เกิดความครุ่นคิดสร้างภาพต่างๆ ที่จะให้ตนอยู่ในภาวะครอบครองอารมณ์อันให้เกิดสุขเวทนานั้น พร้อมทั้งคิดปรุงแต่งสร้างวิธีการที่จะให้ได้อารมณ์ และสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์นั้น แล้วลงมือกระทำการต่างๆ ทางกายบ้าง วาจาบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่ต้องการ เพื่อจะได้เวทนาที่ชอบใจนั้นยิ่งๆขึ้นไปอีก


     ในทางตรงข้าม  ถ้ารับรู้อารมณ์ใดแล้ว เกิดความรู้สึกทุกข์ เจ็บปวด ไม่สบาย (ทุกข-เวทนา) ก็ไม่ชอบใจ ขัดเคือง อยากจะพ้นไป หรือให้มันสูญสิ้นไป อยากทำลาย (ตัณหา) ผูกใจ ปักใจ ค้างใจกับสิ่งนั้น (อุปาทาน) ในทางร้าย ที่จะชิงชัง เกลียดกลัว หลีกหนี อย่าให้พบเห็นอีก เป็นต้น พร้อมกับเกิดเป็นปฏิกิริยา ให้ยิ่งยึดมั่นฝันหาผูกใจมั่นหมาย ที่จะให้พบให้ได้สุขเวทนา และสิ่งที่หวังว่าจะให้สุขเวทนาแก่ตนยิ่งขึ้นไปอีก

     ในกระบวนการนี้ ก็จึงบังเกิด เป็นสุขทุกข์ แบบซับซ้อนรุนแรงเข้มข้น ที่เป็นผลเสกสรรค์ของมนุษย์เอง ซึ่งหมุนเวียนเข้าวงจรที่เริ่มจากเวทนาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นสังสารวัฏ วนอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถก้าวต่อไปสู่ผลเลิศอย่างอื่น ที่ชีวิตนี้ยังสามารถเข้าถึงได้ยิ่งกว่านั้นขึ้นไป

     โดยนัยนี้ จะเห็นว่า ช่วงต่อที่กระบวนธรรมจะสืบทอดจากการรับรู้ (ผัสสะ) ต่อไปนั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทีเดียว และในภาวะเช่นนี้ เวทนาเป็นองค์ธรรมที่มีบทบาทสำคัญมาก กระบวนธรรมที่ดำเนินต่อไปจะเป็นอย่างไร ต้องขึ้นต่อบทบาทของเวทนาว่า จะมีลักษณะอย่างใด ทั้งนี้ พอจะตั้งเป็นข้อสังเกตได้ว่า

        ก. กระบวนธรรมที่สืบทอดต่อจากผัสสะ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ระหว่างกระบวนรับรู้ที่บริสุทธิ์ กับ กระบวนการสังสารวัฏ

     ในกระบวนการรับรู้บริสุทธิ์ เวทนามีบทบาทเป็นเพียงองค์ประกอบย่อยๆอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เกิดความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์

     ส่วนในกระบวนการสังสารวัฏ เวทนาเป็นปัจจัยตัวเอกที่มีอิทธิพลครอบงำความเป็นไปของกระบวนธรรมทั้งหมด กล่าวได้ว่า มนุษย์จะคิดปรุงแต่งอย่างไรและทำการอะไร ก็เพราะเวทนา และเพื่อเวทนา หรือชีวิตจะเป็นอย่างไร ก็เพราะเวทนา และเพื่อเวทนา นอกจากนั้น ในกระบวนการสังสารวัฏนี้ มนุษย์มิได้หยุดอยู่เพียงแค่เป็นผู้รับรู้อารมณ์เรียนรู้โลกเพื่อเกี่ยวข้องจัดการกับโลกอย่างได้ผลดีเท่านั้น แต่ได้ก้าวต่อไปสู่ความเป็นผู้เสพเสวยโลกด้วย

     สำหรับกระบวนการรับรู้บริสุทธิ์นั้น ถ้าจะพูดให้ละเอียดชัดเจนตามหลัก ก็ต้องตัดตอนที่ช่วงต่อจากผัสสะนี้ด้วยเหมือนกัน โดยถือว่า การรับรู้เกิดขึ้นเสร็จสิ้นแล้วที่ผัสสะ ดังนั้น กระบวนธรรมต่อจากนี้ไปจึงแยกได้เป็นอีกตอนหนึ่ง และขอเรียกชื่อว่า กระบวนการญาณทัศนะ หรือกระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์ เป็นคู่ปฏิปักษ์ กับ กระบวนการสังสารวัฏ

     แต่กระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาชีวิต จะยกไปกล่าวตอนที่ว่าด้วย ชีวิตควรให้เป็นอย่างไร และ ชีวิตควรเป็นอยู่อย่างไร ไม่กล่าวในที่นี้

        ข. กระบวนธรรมที่สืบทอดจากผัสสะ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางจริยธรรม ระหว่างความดี กับ ความชั่ว ระหว่างกุศล กับ อกุศล ระหว่างความหลุดพ้นเป็นอิสระ กับ การหมกติดหมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ

     เมื่อกล่าวถึงส่วนอื่นๆ ของกระบวนธรรมแล้ว ก็ต้องย้อนกลับไปพูดถึงอายตนะอีก เพราะกระบวนธรรมต่างๆ ที่กล่าวมานั้น ต้องอาศัยอายตนะ เริ่มต้นที่อายตนะ เมื่อว่าองค์ธรรมอื่นๆ สำคัญ ก็ต้องว่าอายตนะสำคัญเหมือนกัน เช่น เมื่อว่าเวทนาเป็นองค์ธรรมสำคัญยิ่งในกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก อายตนะก็ย่อมมีความสำคัญมากด้วย เพราะอายตนะเป็นแหล่ง หรือเป็นช่องทางที่อำนวยให้เวทนาเกิดขึ้น เวทนาเป็นสิ่งที่มนุษย์มุ่งประสงค์ อายตนะเป็นแหล่งอำนวยสิ่งที่มุ่งประสงค์นั้น

     เท่าที่กล่าวมานี้ สรุปได้ว่า อายตนะ ๖ ทำหน้าที่รับใช้มนุษย์ ๒ อย่าง คือ

        ๑. เป็นทางรับรู้โลก หรือ เป็นแหล่งนำโลกมาเสนอต่อมนุษย์ เป็นเครื่องมือสื่อสาร ทำให้มนุษย์ได้รับข้อมูลแหล่งความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถเกี่ยวข้องกับโลกได้ถูกต้อง ทำให้ชีวิตอยู่รอด และดำเนินไปด้วยดี

        ๒. เป็นช่องทางเสวยโลก หรือ เป็นประตูที่มนุษย์จะเปิดออกไปรับอารมณ์ที่เป็นรสอร่อยของโลก มาเสพเสวย ด้วยการดู การฟัง การดม การลิ้มชิมรส การแตะต้องเสียดสี ความสนุกสนานบันเทิง ตลอดจนจินตนาการสิ่งที่หวานชื่นระรื่นใจ

     ความจริง หน้าที่ทั้งสองอย่างนี้ ก็ติดเนื่องอยู่ด้วยกัน หน้าที่อย่างแรก เรียกได้ว่าเป็นหน้าที่หลัก หรือหน้าที่พื้นฐานที่จำเป็น ส่วนหน้าที่ที่สองเป็นหน้าที่รอง จะว่าเป็นของแถมหรือส่วนเกินก็คงได้

     ในกรณีสนองหน้าที่ทั้งสองนั้น การทำงานของอายตนะก็อย่างเดียวกัน ความแตกต่างอยู่ที่เจตจำนงของมนุษย์ ซึ่งมุ่งไปที่ความรู้ หรือมุ่งไปที่เวทนา

     สำหรับมนุษย์ปุถุชน ความสำคัญของอายตนะมักจะก้าวข้ามมาอยู่กับหน้าที่อย่างที่สอง คือการเสพเสวยโลก จนถึงขั้นที่กลายเป็นว่า หน้าที่อย่างที่หนึ่งมีไว้เพียงเพื่อเป็นส่วนประกอบสนองการทำหน้าที่อย่างที่สอง หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งว่า กระบวนการรับรู้มีไว้เพื่อรับใช้กระบวนการเสพเสวยโลก หรือ รับใช้กระบวนการสังสารวัฏเท่านั้นเอง ทั้งนี้ เพราะปุถุชนมักใช้อายตนะเพื่อมุ่งรับรู้เฉพาะความรู้ส่วนที่จะทำให้ตนได้เสพเสวยอารมณ์อร่อยของโลกเท่านั้น หาสนใจสิ่งอันพึงรู้นอกจากนั้นไม่


     ยิ่งกว่านั้น  สำหรับปุถุชน  แม้กระทั่งความสัมพันธ์กับโลก  ในภาคแสดงออกด้วยการทำ การพูด การคิด ก็จะกลายเป็นการกระทำเพื่อรับใช้กระบวนการสังสารวัฏเช่นเดียวกัน คือ มุ่งทำ พูด คิด เพื่อแสวงหาและให้ได้มา ซึ่งอารมณ์สำหรับเสพเสวย

     ยิ่งเป็นปุถุชนที่หนามากเท่าใด ความติดข้องพัวพันอยู่กับหน้าที่อย่างที่สองของอายตนะก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จนถึงขั้นที่ว่า ชีวิต และโลกของมนุษย์วนเวียนอยู่แค่อายตนะ ๖ เท่านั้นเอง

     เท่าที่กล่าวมานี้ จึงเห็นได้ว่า แม้อายตนะ (ภายใน) ๖ จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ และไม่ครอบคลุมทุกส่วนแห่งชีวิตมนุษย์โดยสิ้นเชิง เหมือนอย่างขันธ์ ๕ ก็จริง แต่มันก็มีบทบาทสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ มีอำนาจกำกับวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก จนกล่าวได้ว่า ชีวิตเท่าที่มนุษย์รู้จักและดำเนินอยู่ ก็คือการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกทางอายตนะเหล่านี้ และชีวิตมีความหมายต่อมนุษย์ก็ด้วยอาศัยอายตนะเหล่านี้ ถ้าอายตนะไม่ทำหน้าที่แล้ว โลกก็ดับ ชีวิตก็ไร้ความหมายสำหรับมนุษย์

     มีข้อความแห่งหนึ่งในบาลี แสดงกระบวนธรรมเท่าที่กล่าวมานี้ได้อย่างกะทัดรัด และช่วยเชื่อมความที่กล่าวมาในตอนว่าด้วยขันธ์ ๕ เข้ากับเรื่องที่อธิบายในตอนนี้ให้ต่อเนื่องกัน มองเห็นกระบวนธรรมได้ครบถ้วนตลอดสายยิ่งขึ้น จึงขอยกมาอ้างไว้ ดังนี้ (ม.มู.12/248/226)

        "อาศัยตาและรูป   เกิดจักขุวิญญาณ    ความประจวบแห่งธรรมทั้ง ๓ นั้น เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย   เวทนาจึงมี    บุคคลเสวยอารมณ์ใด  ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (= สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด  ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น (= วิตักกะ) ตริตรึกอารมณ์ใด  ย่อมผันพิสดารซึ่งอารมณ์นั้น (= ปปัญจ)  บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณ์ใด เพราะการผันพิสดารนั้นเป็นเหตุ ปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ (= สัญญาที่ซับซ้อนหลากหลาย)   ย่อมผุดพลุ่งสุมรุมเขา   ในเรื่องรูปทั้งหลาย ที่พึงรู้ได้ด้วยตา ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน"

     (ต่อไป ว่าด้วยอายตนะ และอารมณ์อื่นๆ จนครบ ๖ คู่ ใจความอย่างเดียวกัน)


     กระบวนธรรมนี้ เขียนให้เห็นง่ายขึ้น ดังนี้


          
     


     เมื่อเกิดปปัญจสัญญาแล้ว  ก็ยิ่งมีความตริตรึกนึกคิด (วิตักกะ) ได้มากมายและกว้างขวางพิสดารยิ่งขึ้น ทำให้เกิดกิเลสต่างๆ  เช่น  ชอบใจ  ไม่ชอบใจ  หวงแหน  ริษยา  เป็นต้น  ปนเป คลุกเคล้า ไปกับความคิดนั้น (ดู ที.ม.10/256-7/311)


หมายเหตุ: 

     ๑. คำที่ควรเข้าใจคือ "ปปัญจะ" หมายถึง อาการที่คลอเคลียพัวพัน อยู่กับอารมณ์นั้น และคิดปรุงแต่งไปต่างๆด้วยแรงตัณหา มานะ และทิฏฐิผลักดัน หรือเพื่อสนองตัณหา มานะ และทิฏฐิ คือปรุงแต่งในแง่ที่จะเป็นของฉัน   ให้ตัวฉันเป็นนั่นเป็นนี่ หรือเป็นไปตามความเห็นของฉัน ออกรูปออกร่างต่างๆ มากมายพิสดาร  จึงทำให้เกิดปปัญจสัญญาแง่ต่างๆ คือสัญญาทั้งหลายที่เนื่องด้วยปปัญจะนั่นเอง

     ๒. จะเห็นว่ามีสัญญา ๒ ตอน  สัญญาตอนแรก คือ สัญญาขั้นต้น  ที่กำหนดหมายอารมณ์ซึ่งปรากฏตามปกติธรรมดาของมัน   สัญญาตอนหลัง   เรียกว่า  "ปปัญจสัญญา" เป็นสัญญาเนื่องจากสังขารที่ปรุงแต่งภาพอารมณ์ให้ออกรูปร่างแง่มุมต่างๆ มากมายพิสดาร ดังกล่าวแล้ว

     ๓. จะเห็นว่า  กระบวนธรรมทั้งหมดนั้นแยกได้เป็น ๒ ตอน

         ก. ตอนแรก  ตั้งแต่อายตนะภายในถึงเวทนา เป็นกระบวนการรับรู้บริสุทธิ์  พึงสังเกตว่า ช่วงตอนนี้กระบวนธรรมเป็นกระแสบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ  มีแต่องค์ธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย (พึงอ่านความที่ยกมาอ้างข้างบน) ยังไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เกี่ยวข้อง

         ข. ตอนปลาย  ตัดตอนแต่เวทนาไปแล้ว  เป็นกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรือกระบวนการสังสารวัฏ  มารับช่วงไป;   ความจริงตั้งแต่เวทนานี้ไปเป็นทางแยก  อาจต่อด้วยกระบวนธรรมแบบวิวัฏฏ์ก็ได้    แต่ในที่นี้มุ่งแสดงแต่แบบสังสารวัฏก่อน    ข้อพึงสังเกตในตอนนี้ก็คือ  ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของช่วงหลังนี้   จะไม่มีเพียงองค์ธรรมต่างๆ ที่เป็นเหตุปัจจัยแก่กันตามธรรมชาติเท่านั้น    แต่จะเกิดมีสัตว์บุคคลขึ้นมา   กลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสพเสวย กับ สิ่งที่ถูกเสพเสวย ผู้คิด และสิ่งที่ถูกคิด  เป็นต้น

     ๔. กระบวนธรรมเสพเสวยโลกในช่วงปลาย  ที่แสดงข้างบนนี้  เป็นเพียงวิธีแสดงแบบหนึ่งเท่านั้น   เลือกเอามาเพราะเห็นว่าสั้น และเข้ากับเรื่องที่กำลังอธิบาย คือ ขันธ์ และอายตนะได้ดี อาจแสดงแบบอื่นอีกก็ได้    เช่นที่แสดงอย่างพิสดาร   ในหลักปฏิจจสมุปบาทแบบทั่วไป ซึ่งเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏโดยสมบูรณ์

     ๕. ว่าตามหลักอย่างเคร่งครัด วิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา ในกระบวนธรรมนี้ เป็นสหชาตธรรม ท่านถือว่า  เกิดร่วมกัน    พึงเข้าใจว่า   ที่เขียนแสดงลำดับไว้อย่างนี้ มุ่งเพื่อศึกษาได้ง่าย


     เนื่องด้วยกระบวนธรรมนี้  แยกได้เป็น ๒ ช่วงตอน  และช่วงตอนหลังอาจแยกไปเป็นกระบวนธรรมแบบสังสารวัฏ หรือแบบวิวัฏฏ์ก็ได้



      ดังนั้น   เพื่อมองเห็นภาพได้กว้างขวางขึ้น   อาจเขียนแสดงได้   ดังนี้


      

   

     ในเรื่องอายตนะนี้   มีข้อควรรู้เพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อไป  ดังนี้

     - อายตนะภายในหรือทวาร ๖ นั้น  มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อินทรีย์ ๖  คำว่า  อินทรีย์  แปลว่า ภาวะที่เป็นใหญ่    หมายถึง   สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่   เป็นเจ้าหน้าที่  หรือเป็นเจ้าการในเรื่องนั้นๆ เช่น  ตาเป็นเจ้าการในการรับรู้รูป  (รูปารมณ์)  หูเป็นเจ้าการในการรับรู้เสียง (สัททารมณ์)  เป็นต้น  อินทรีย์ ๖  คือ จักขุนทรีย์   โสตินทรีย์   ฆานินทรีย์   ชิวหินทรีย์   กายินทรีย์  และ มนินทรีย์

      คำว่า อินทรีย์ นิยมใช้กับอายตนะ ในขณะทำหน้าที่ของมัน ในชีวิตจริง และเกี่ยวกับจริยธรรม เช่น การสำรวมจักขุนทรีย์ เป็นต้น ส่วนอายตนะนิยมใช้ในเวลาพูดถึงตัวสภาวะที่อยู่ในกระบวนธรรม เช่นว่า อาศัยจักขุ อาศัยรูป เกิดจักขุวิญญาณ เป็นต้น และเมื่อพูดถึงสภาวลักษณะ เช่นว่า จักขุไม่เที่ยง เป็นต้น

      อีกคำหนึ่ง ที่ใช้พูดกันบ่อยในเวลากล่าวถึงสภาวะในกระบวนธรรม คือคำว่า ผัสสายตนะ แปลว่า ที่เกิดหรือบ่อเกิดแห่งผัสสะ คือ ที่มาของการรับรู้นั่นเอง
 
   - อายตนะภายนอก หรืออารมณ์   ก็มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก คือ โคจร (ที่เที่ยว, ที่หากิน)  และ วิสัย  (สิ่งผูกพัน, แดนดำเนิน)

      และชื่อที่ควรกำหนดเป็นพิเศษ   ใช้เฉพาะ กับ อารมณ์ ๕ อย่างแรก ซึ่งมีอิทธิพลมากในกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรือแบบสังสารวัฏ   คือ   คำว่า "กามคุณ"   (ส่วนที่น่าใคร่น่าปรารถนา ส่วนที่ดีหรือส่วนอร่อยของกาม)   กามคุณ ๕   หมายถึง  รูป  (รูปะ)  เสียง  (สัททะ)  กลิ่น  (คันธะ)  รส (รสะ)  และโผฏฐัพพะ (สิ่งต้องกาย)  เฉพาะที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เท่านั้น
 




*  ตามคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์   “อายตนะ”   มีความหมายหลายนัย เช่น แปลว่า เป็นที่สืบต่อแห่งจิตและเจตสิก คือเป็นที่ที่จิตและเจตสิกทำหน้าที่กันง่วน, เป็นที่แผ่ขยายจิตและเจตสิกให้กว้างขวางออกไป, เป็นตัวการนำสังสารทุกข์อันยืดเยื้อให้ดำเนินสืบต่อไปอีก, เป็นบ่อเกิด, แหล่ง, ที่ชุมนุม เป็นต้น (ดู วิสุทฺธิ.๓/๖๑; สงฺคห.ฏีกา ๒๒๗)

     อนึ่ง พึงสังเกตว่า ประสาทรับความรู้สึกภายในร่างกายเกี่ยวด้วยท่าทางการเคลื่อนไหว ทรงตัว เป็นต้น จำพวกที่เรียกว่า somesthesia (kinesthetic, vestibular and visceral senses) ท่านไม่ได้จัดเพิ่มไว้ในพวกอายตนะด้วย แม้ท่านจะไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไว้ ก็มองเห็นเหตุผลได้ว่า ความรับรู้ประเภทนี้   บางส่วนรวมอยู่แล้วในอายตนะที่ ๕ ที่ท่านใช้คำกว้างๆ ว่า “กาย” แต่เหตุผลข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ประสาทจำพวกนี้ ทำหน้าที่จำกัดเพียงในด้านสรีรวิทยา มุ่งเพื่อรักษาสภาพปกติแห่งการทำงานของร่างกายเท่านั้น   มีลักษณะจำเพาะตัว และจำกัดอยู่ภายใน   เป็นเครื่องสนับสนุนที่จำเป็น   แต่มีค่าคงตัว ไม่มีคุณค่าที่จะก่อผลงอกเงยทั้งด้านความรู้และด้านเสพเสวยโลก ทั้งด้านญาณวิทยาและด้านจริยธรรม จึงไม่เข้ากับความหมายของอายตนะ.


47 นิยมเรียก ธรรมารมณ์ เพื่อไม่ให้สับสนกับคําว่า ธรรม ที่ใช้ทั่วไป ซึ่งมีความหมายกว้างขวางมากหลายนัย


 


Create Date : 28 กันยายน 2566
Last Update : 5 พฤษภาคม 2567 20:58:18 น. 0 comments
Counter : 138 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space