มิถุนายน 2565

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
All Blog
ระบบภูมิคุ้มกันมีความสำคัญและทำงานอย่างไร
สัปดาห์ที่แล้ว มีน้องผู้ชายกล้ามล่ำ  สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อายุราว 45 ปี มาปรึกษาแป้งว่า ฉีดวัคซีนโควิดไปแล้ว 3 เข็ม ควรฉีดกระตุ้นเข็มที่ 4 หรือไม่ ตัดสินใจไม่ถูก แป้งเลยหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันมาให้อ่านกัน ยาวหน่อยนะคะ

ระบบภูมิคุ้มกันเป็นระบบของร่างกายที่คอยมองหาเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามา จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงาน ระบบภูมิคุ้มกันมีคุณสมบัติพิเศษคือ เมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น จะสามารถจับได้อย่างจำเพาะกับเชื้อโรคที่กระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มี 2 ประเภทคือ
1. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า
 Innate immunity คือ เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมาแต่กำเนิด จัดเป็นกลไกการป้องกันสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพาะเจาะจง ได้แก่ พื้นผิวที่สัมผัสแอนติเจน(สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายแล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี)โดยตรง คือ ผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอมซึ่งส่วนใหญ่คือเชื้อโรคให้ออกไปจากร่างกาย 

ระบบนี้แยกออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ
ส่วนที่ 1 external barrier คือปราการด่านนอก

•ผิวหนัง เชื้อโรคไม่สามารถบุกรุกผิวหนังปกติที่ไม่มีบาดแผล ความเป็นกรดของไขมันที่ผลิตออกมาจากต่อมไขมันที่ผิวหนัง ได้แก่ lactic acid และ fatty acid ช่วยยับยั้งและทำลายเชื้อโรค หากผิวหนังชั้นนอกเปิดออก เช่น มีบาดแผล หรือไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณผิวหนัง จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีอาหารอันอุดมสมบูรณ์และสิ่งแวดล้อมพอเหมาะ เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบเป็นหนอง หากเป็นแผลเล็ก ๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะกำจัดเชื้อออกไป เพียงล้างแผลให้สะอาด รักษาแผลให้แห้ง จะหายเป็นปกติได้เอง 

หากบาดแผลขนาดใหญ่และลึก แผลถูกความร้อนเป็นบริเวณกว้าง มักเกินกำลังที่ภูมิคุ้มกันจะจัดการไหว เชื้อโรคสามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด (septicemia) เป็นสาเหตุให้ช็อกและเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

•เยื่อบุหลอดลม มีเซลล์ที่มีขน (hairy cell) คอยพัดโบกเชื้อโรคให้ออกไปจากหลอดลม อีกทั้งมีเซลล์ผลิตเสมหะ (goblet cell) ที่เหนียวหนืด ไว้คอยดักจับเชื้อโรคคล้ายกาวจับแมลงวันเพื่อไม่ให้เข้าสู่เยื่อบุหลอดลม ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เซลล์ขนเสียหน้าที่ไป มักป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบบ่อย ๆ

•น้ำมูก น้ำลาย น้ำตา มีหน้าที่ชะล้างเชื้อโรคออกไปจากเยื่อบุ อีกทั้งในสารคัดหลั่งเหล่านี้ยังมีเอนไซม์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยทำลายเชื้อโรคอย่างอ่อน ๆ อีกด้วย จะเห็นว่าเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หรือเยื่อบุตาอักเสบ ต่อมน้ำตาจะหลั่งน้ำตาเป็นปริมาณมากออกมาขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกไป หรือเมื่อสิ่งแปลกปลอม สารระคายเคืองเข้าจมูกหรือเป็นหวัด เยื่อบุจมูกจะหลั่งน้ำมูกออกมาก และจามบ่อย เพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมเช่นเดียวกัน

•การไอ ช่วยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่เราสำลักเข้าไปในหลอดลมและปอด หากสิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดการระคายเคืองมาก เราก็ยิ่งไอนาน ไอจนกว่าจะหลุดออกมา 

ในผู้สูงอายุระบบต่าง ๆ ทำงานเฉื่อยลงรวมถึงการไอด้วย ผู้สูงอายุมักจะเป็นปอดอักเสบจากการสำลักได้บ่อย ในผู้ที่จมน้ำก็เช่นกัน หากว่ายน้ำธรรมดา สำลักน้ำเพียงเล็กน้อยมักไม่มีปัญหา สายเสียงและฝาปิดกล่องเสียงจะปิดทันที เพื่อป้องกันน้ำเข้าไปในหลอดลมเพิ่ม 

แต่ในกรณีจมน้ำ ระบบนี้จะเสียไปเมื่อผู้จมน้ำนานจนหมดสติ น้ำจึงเข้าไปในปอดในปริมาณมาก หากเป็นน้ำครำที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด ทั้งทรงกลม (cocci) ทรงแท่ง (basilli) เชื้อที่ต้องอาศัยออกซิเจน (aerobic bacteria) และไม่อาศัยออกซิเจน (anaerobic bacteria) เชื้อรา โปรโตซัว ซึ่งเกินขีดความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันจัดการไหว ต้องกระหน่ำยาต้านจุลชีพหลายขนานอีกแรง จึงปลอดภัยจากปอดอักเสบรุนแรงจากแบคทีเรียในขั้นต้น และไม่ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนช็อก 

•ความเป็นกรดของสารคัดหลั่งในช่องคลอด ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรค
•กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะอาหารที่ฆ่าเชื้อโรคแทบไม่เหลือ ยกเว้นเชื้อที่สามารถทนกรดเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น

ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ พันธุกรรม ฮอร์โมน และภาวะโภชนาการของแต่ละบุคคล

ส่วนที่ 2  Inflammation คือการกลไกการอักเสบ เป็นการป้องกันโดยปฏิกิริยาทางเคมีระดับเซลล์ เซลล์ชื่อ มาโครฟาจ(Macrophage) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ ที่สุด กำเนิดจากไขกระดูก เมื่อเติบโตเต็มที่แล้วจะเคลื่อนเข้าสู่กระแสเลือด ปล่อยสารเรียกเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นมารุมกินโต๊ะสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ทำให้เกิดการอักเสบ ประมาณ 30-60 นาที หลังจากที่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป มักจะพบว่ามีอาการปวด บวม แดง ร้อน ผลผลิตสำคัญของการอักเสบคือ อาการปวดและมีไข้ เพราะไข้หรืออุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นเครื่องมือฆ่าเชื้อโรคโดยตรง

ส่วนที่ 3  Cellular barrier หรือ natural killer Cell (NK Cell) คือเซลล์นักฆ่า เป็นเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่ผลิตขึ้นมาจากต่อมน้ำเหลือง การเรียกว่าเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กเพื่อให้แตกต่างจากเม็ดเลือดขาวที่ผลิตมาจากไขกระดูกซึ่งมีขนาดใหญ่ เซลล์นักฆ่าถูกสร้างมาให้มีหน้าที่ฆ่าได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง คือเห็นอะไรเป็นสิ่งแปลกปลอมให้เข้าไปฆ่าได้ทันที โดยไม่ต้องสอบสวนให้รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน เซลล์นักฆ่าเป็นกำลังสำคัญในการกำจัดเชื้อโรคทันทีที่เห็นและการกำจัดเซลล์มะเร็งที่ไม่มีวิธีอื่นมากำจัด สามารถทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยวัคซีนหรือการรู้จักเชื้อโรค

ส่วนที่ 4 Compliment system คือระบบช่วยฆ่า เป็นโปรตีนหลายสิบชนิดอยู่กระจายทั่วกระแสเลือดเหมือนตำรวจนอกเครื่องแบบกระจายตัวอยู่ทั่วไป เมื่อมีเหตุการณ์ เช่น มีการอักเสบเกิดขึ้น ระดับหัวหน้าที่ซุ่มเงียบอยู่จะลุกขึ้นมาปลุกลูกน้องให้ปลุกกันต่อ ๆไปเป็นทอด ๆ รวมตัวกันมารุมเคลือบเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่วนอื่น ๆ มาฆ่าสิ่งแปลกปลอมได้ง่ายขึ้น

2. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า Adaptive immunity คือระบบสร้างภูมิคุ้มกันแบบเจาะจงเชื้อ หน้าที่หลักคือ ทำความรู้จักกับเชื้อโรคที่บุกรุกเข้ามาก่อน แล้วนำหน้าตาของเชื้อโรคนั้นไปสร้างผู้ที่สามารถเจาะจงทำลายเชื้อโรคชนิดนั้นขึ้นมา

Adaptive immunity แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 : Cell mediated immune response (CMIR) มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ คือ ผลิตเม็ดเลือดขาวไปฆ่า เมื่อตรวจสอบได้แน่ชัดว่าเชื้อโรคมีหน้าตาอย่างไร ต่อมน้ำเหลืองจะสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อไปฆ่าเชื้อโรคนั้น เรารู้จักกันดี 3 ชนิดคือ
    •    T helper หรือ CD4 มีหน้าที่ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน  เป็นเซลล์ลิมโฟไซต์(lymphocyte)เคลื่อนไปตามหลอดเลือด ทำหน้าที่ลาดตระเวน หากพบเชื้อโรคหรือเซลล์แปลกปลอมจะหลั่งสารไซโตไคน์( cytokines )เพื่อเรียกให้เม็ดเลือดขาวชนิดอื่นมาช่วย

 หากพบว่าเป็นเซลล์ปกติของร่างกาย จะหยุดกระบวนการทำลายเซลล์ แต่ถ้าพบว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจริง จะมีการหลั่งสารดังกล่าวเพิ่ม และมีเซลล์อื่นๆ มายังบริเวณนี้เพื่อทำลายเชื้อโรคหรือเซลล์แปลกปลอม โดยปกติค่า CD4 ของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ HIV จะมีสัดส่วนอยู่ระหว่าง 28-59 %
    •    T suppressor หรือ CD8 มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม เป็นเซลล์ที่ควบคุมการทำลาย หากพิสูจน์แล้วว่า เซลล์ที่แปลกปลอมเป็นเซลล์ปกติ หรือสิ่งแปลกปลอมหมดพิษแล้ว เซลล์จะสั่งยุติการทำลาย โดยปกติจะมีสัดส่วนอยู่ระหว่าง 13-32 % คิดเป็นสัดส่วน CD4 : CD8 ในคนปกติ ประมาณ 2 : 1
    •    Natural killer cell เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง และเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเป็นหลัก
จะเห็นว่าเซลล์เหล่านี้ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม เพื่อรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันไม่มากไปหรือน้อยไป จนเกิดความเสียหายตามมา

เรารู้จักเซลล์เหล่านี้เมื่อมีโรคเอดส์ระบาด เนื่องจากโรคเอดส์เกิดจากเชื้อ Human Immunodeficiency Virus (HIV) ไปทำลายเซลล์ CD4 ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันด้านเซลล์บกพร่องเป็นหลัก ร่างกายจึงติดเชื้อฉวยโอกาสง่าย

ส่วนที่ 2 :  Humoral immune response คือ การผลิตแอนตี้บอดี้ไปฆ่า หน่วยผลิตคือเม็ดเลือดขาวขนาดเล็กชื่อ B-cell เมื่อได้รับข้อมูล หน้าตาเชื้อโรคผู้บุกรุกแน่ชัดแล้ว B-cell จะสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า แอนตีบอดี( antibody ) แล้วปล่อยเข้ากระแสเลือดเพื่อให้ antibody ไปจับกับตัวเชื้อโรค ทำให้เชื้อโรคตายโดยตรงบ้าง หรือให้เซลล์จากส่วนอื่นมาเก็บกินบ้าง

คนที่ได้รับเชื้อโรค(ทั้งโดยธรรมชาติและโดยการฉีดวัคซีน)เข้าไปแล้ว จะเกิดภูมิต้านทานโรคหรือแอนติบอดีในระดับที่มากหรือน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ซึ่งคนที่ร่างกายเกิดภูมิต้านทานน้อยจะไม่สามารถต้านทานหรือป้องกันโรคได้ 

โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน มีดังนี้
1. ภูมิแพ้ โรคหืด แพ้ละอองเกสร
2.โรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง เช่น SLE ,รูมาตอยด์หรือโรคข้ออักเสบเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อที่ข้อต่อต่าง ๆ 
3.โรคเบาหวาน
4. โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
5. โรคเอดส์ (AIDS) เมื่อเชื้อเอชไอวี (HIV) เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน จะสร้างสารออกมาต่อต้าน แต่เชื้อเอชไอวีมีความคงทนมาก ยากที่จะถูกทำลายและยังสามารถเจริญในร่างกายได้ดีและจะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนค่าCD4จะต่ำลง เรียกว่า ภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงทำให้ผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น วัณโรค และเสียชีวิตในที่สุด 

วิธีดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
 
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีโอกาสอ่อนแอลงได้จากโรคภัยหรือการไม่ดูแลรักษาสุขภาพ ทำให้เจ็บป่วยบ่อยครั้งเนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือและจัดการกับเชื้อโรคได้ 

1.รับประทานอาหารที่เพิ่มความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผลไม้ ผัก เมล็ดพืช พืชตระกูลถั่ว และไขมันชนิดดี อุดมไปด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยให้ได้เปรียบในการต่อต้านเชื้อโรคที่เป็นอันตราย สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบโดยการต่อสู้กับสารประกอบที่ไม่เสถียรที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบได้

หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เพราะการรับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายปริมาณมาก สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำหน้าที่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ หากเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายในช่วงเวลานั้นอาจทำให้เจ็บป่วยได้

2.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับอย่างเต็มอิ่มช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเป็นปกติ เนื่องจากระหว่างนอนหลับ ร่างกายจะซ่อมแซมและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หากมีปัญหาในการนอนหลับ ให้ลองจำกัดเวลาอยู่หน้าจอเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอน เนื่องจากแสงสีฟ้า ที่ปล่อยออกมาจากโทรศัพท์ ทีวี และคอมพิวเตอร์อาจรบกวนจังหวะการนอนหรือวงจรการตื่นนอนตามธรรมชาติของร่างกาย

3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานเป็นปกติรวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานานสามารถกดภูมิคุ้มกัน แต่การออกกำลังกายระดับปานกลางสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้

การศึกษาระบุว่า แม้แต่การออกกำลังกายระดับปานกลาง เพียงครั้งเดียว สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ การออกกำลังกายระดับปานกลางและสม่ำเสมออาจช่วยลดการอักเสบและช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสร้างใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

4.จัดการความเครียด การมีความเครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง สามารถจัดการความเครียดได้หลายวิธี เช่น ออกไปเดินเล่น ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง นั่งสมาธิ ทำงานอดิเรก เล่นกีฬา ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ ฯลฯ

5. ทัศนคติที่ดี ความคิดเชิงบวกมีความสำคัญต่อสุขภาพ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความคิดเชิงบวกช่วยลดความเครียดและการอักเสบ เพิ่มความยืดหยุ่นในการติดเชื้อ ในขณะที่อารมณ์เชิงลบสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ 

6. เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา(NIH) ยืนยันว่าไม่มีหลักฐานสนับสนุนการใช้อาหารเสริมใด ๆ เพื่อป้องกันหรือรักษา COVID-19 
อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาบางชิ้นระบุว่า อาหารเสริมต่อไปนี้อาจเสริมสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยรวมของร่างกาย เช่น
    •    วิตามินซี จากการรีวิวกว่า 11,000 คน การรับประทานวิตามินซี 1,000–2,000 มก. ต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ 8% ในผู้ใหญ่และ 14% ในเด็ก 
    •    วิตามินดี การขาดวิตามินดีอาจเพิ่มโอกาสเจ็บป่วยได้ ดังนั้นการเสริมวิตามินดีอาจแก้ไขผลกระทบนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานวิตามินดี เมื่อเรามีระดับวิตามินดีที่เพียงพอแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ประโยชน์อะไร 
    •    สังกะสี มีการทบทวนในผู้ป่วยโรคไข้หวัด 575 คน การเสริมสังกะสีมากกว่า 75 มก. ต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ 33% 
    •    อิชินาเซีย จากการศึกษากว่า 700 คน พบว่าผู้ที่รับประทานอิชินาเซียจะหายจากโรคหวัดได้เร็วกว่าผู้ที่ได้รับยาหลอกหรือไม่ได้รักษาเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างนั้นไม่มีนัยสำคัญ

การรับประทานอาหารเสริมบางชนิดอาจช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบภูมิคุ้มกันเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น จากโรคประจำตัวหรืออายุที่มากขึ้น วัคซีนถือเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ป้องกันอาการเจ็บป่วยของโรคติดเชื้อร้ายแรงบางชนิดได้ดีขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันถือเป็นปราการด่านสำคัญของร่างกาย  เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงจึงควรใส่ใจในเรื่องระบบภูมิคุ้มกันให้มากขึ้น

แป้งฉีดวัคซีน AZ เข็มแรก เมื่อวันที่ 17 ธ.ค 64 คืนแรกนอนไม่หลับกลิ้งไปกลิ้งมาจนตีสามกว่าจะหลับ ระดับพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ จนต้องหยุดกินวิตามินทุกตัวที่เคยกินต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ทดลองออกกำลังกายตามคลิปเบเบ้ หลังตื่นนอน(นอนตี 5 ตื่น 11 โมง)ปรากฎว่า สามารถออกกำลังกายต่อเนื่องได้ 3 คลิป(คลิปละ 25 นาที)โดยที่ไม่มีความเหนื่อยล้า ตื่นขึ้นมาอีกวัน ไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อแต่อย่างใด แปลกใจนิดๆทั้งๆที่ไม่เคยออกกำลังกายหนักแบบนี้มาก่อนในชีวิตเพราะปกติก่อนจะออกกำลังกาย แป้งจะต้องกินวิตามินเพิ่มพลังงงาน+เวย์โปรตีนก่อนเสมอ ไม่งั้นไม่มีเรี่ยวแรงเลยค่ะ

ปัจจุบันแป้งเพิ่งกลับมากินวิตามินครบเซ็ตเมื่อกลางเดือนพ.ค 65 นี่เอง(ดีใจมาก) เริ่มนอนหลับได้ดี รู้สึกเหนื่อยเมื่อยเอวร้าวลงขาเวลายืนล้างจานนานๆ(ราว 1 ชม.)อนุมานได้ว่า ระดับวัคซีนลดลงจนหมดไปจากร่างกายแล้ว

ถามว่า จะฉีดเข็มต่อไปอีกหรือไม่ คำตอบคือ ไม่เอาแล้วค่ะ ขนาดวัคซีนเข็มเดียวยังพลังงานเยอะจนมีผลทำให้นอนไม่หลับ ฉีดอีกเข็ม ไม่อยากจะคิดเลย แสดงว่า การดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ออกกำลังกายระดับปานกลางและเสริมวิตามินอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันได้ส่วนหนึ่ง วัคซีนเป็นส่วนเสริมที่ทรงพลังมากที่สุด(ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล)











ที่มา :
สรีรวิทยา-ระบบภูมิคุ้มกันโรค-Immunology.pdf nurse . pbru . ac . th › uploads › 2020/05 › สรี...

ระบบภูมิคุ้มกัน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุขภาพที่ควรรู้ - Pobpad https://www.. pobpad . com › ระบบภูมิคุ้มกัน-ข้อเท็จ

ก่อนตัดสินว่าวัคซีนที่ได้รับนั้นดี หรือ ไม่ดี ch9airport . com › ... › อัปเดตวัคซีน COVID-19

ระบบภูมิคุ้มกัน - SciMath https://www.. scimath . org › article-biology › item

Strengthen Your Immune System With 4 Simple Strategies health . clevelandclinic . org › strengt...

ระบบภูมิคุ้มกัน - วิกิพีเดีย th . wikipedia . org › wiki › ระบบภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และมีกลไกการ ...hellokhunmor . com › โรคติดเชื้อ › ระบบภูมิ...

9 ข้อเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันและวัคซีน ที่เราควรรู้และเข้าใจให้ถูกต้อง https://www.. dmh . go . th › news-dmh › view



Create Date : 30 มิถุนายน 2565
Last Update : 30 มิถุนายน 2565 18:33:21 น.
Counter : 408 Pageviews.

0 comments

แป้งปังปอนด์
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 878 คน [?]



เริ่มเขียนblog 20ก.ค55
ปัจจุบัน ( 3 มี.ค 57 ) แป้งได้มีเพจแป้งปังปอนด์ สร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์แชร์ข้อมูลจาก blog ให้ท่านที่สนใจได้ติดตามอ่านอย่างสะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาโหลดเนื้อหาจาก blog ดังนั้นขออนุญาตงดตอบคำถามใดๆทางเพจและ facebook ค่ะ






หากท่านใดมีคำถามเกี่ยวกับการกินวิตามินเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพและบำรุงผิวพรรณ รบกวนส่งคำถามไปยัง blog แป้งปังปอนด์ นานาสารพันปัญหา volume 5 อย่างเดียวเท่านั้นค่ะ


ขออนุญาตฝากกด like เพจแป้งปังปอนด์ เพื่อเป็นกำลังใจในการสรรค์สร้างผลงานด้วยมันสมองและสองมือพยาบาลสาวภูไท คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จบการศึกษา ปี พ.ศ 2539 จากที่ราบสูงคนนี้ด้วยนะคะ


สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการนำชื่อ " แป้งปังปอนด์ " ไปใช้เพื่ออ้างอิงหรือติดป้ายสินค้าในเวปไซด์หรือที่ใดๆหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน " Blog แป้งปังปอนด์ " แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยการเผยแพร่เพื่อการอ้างอิงหรือนำรูปภาพไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด




New Comments
MY VIP Friend