โลกมีทางให้เดินเป็นพันพันทาง เราต่างใช้ปรัชญาแห่งชนชั้นของตน นำทางในการเดิน เราต่างเดินตาม ปรัชญาแห่งชนชั้นตน
 
กรกฏาคม 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 กรกฏาคม 2553
 
 

2.3 สมัยหินใหม่หรือสมัยชุมชนบุพกาลตอนแรก


2.3 สมัยหินใหม่ (Neolithic นีโอะลีธ-อิค)
หรือสมัยชุมชนบุพกาลตอนแรก
มนุษย์ถ้ำอยู่รวมกันเป็นครอบครัวเล็กๆ พอลูกหญิงลูกชายโตขึ้นสู่วัยหนุ่มสาว พ่อแม่จะเกิดความอิจฉาทางเพศ พ่อจะขับลูกชายออกไปก่อน แล้วแม่ ก็จะพยายามขับลูกหญิงออกไป ฉะนั้นครอบครัวในถ้ำ จะเล็กด้วยจำนวนอยู่เสมอ ดังปรากฏหลักฐานของจำนวนโครงกระดูกในถ้ำรับรองความจริงข้อนี้อยู่ การตามฝูงสัตว์ไปกระทั่งถึงที่ๆสัตว์มารวมกันเป็นฝูงใหญ่ ชวนให้มนุษย์ถ้ำที่ต่างหมู่ต่างก็ตามสัตว์มานั้นไปพบปะกัน เขาจะได้เสียกันอย่างเสรีไม่มีการจับคู่ถาวร จะเกิดความบันเทิงใจดังปรากฏร่องรอยแห่งการกินเลี้ยงกัน โอกาสตามธรรมชาติเช่นนี้เอง ทำให้เขาทราบว่า การอยู่รวมกันเป็นชาติวงศ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อการยังชีวิตมาก ต่อมา, เขาจึงมาอยู่รวมกันเป็นชุมชนบุพกาล (Primitive Commune พรีม-อิทิ่ฝ ค็อมยูน) ละทิ้งถ้ำและเริ่มทำกะท่อมอยู่กัน ทั้งนี้โดยเลือกชายทะเลหรือชายทะเลสาบเป็นที่พำนัก เพราะเป็นที่โล่งเตียนติดกับชายป่าหรือ ทุ่งราบ กะท่อมชายทะเลสาบ (Lake Dwelling เลค ดเวล-ลิง) บางแห่งคงมี

34 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

ซากตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
การอยู่ร่วมกันนี้เป็นไปโดยการแต่งงานหมู่ (Group Marriage กรูพ แม-ริจ) ทั้งนี้โดยชายทุกคนเป็นสามีของหญิงทุกคนและหญิงทุกคนก็เป็น ภรรยาของชายทุกคนโดยไม่จำกัดวัย คนทุกคนจึงเป็นญาติพี่น้องใกล้ชิดกันหมด และใกล้ชิดถึงที่สุด
ระหว่างเวลานี้มนุษย์คงล่าสัตว์เป็นอาหารอยู่ เขาคงจะถึงกับอดอาหารบ้างเมื่อหาสัตว์ไม่พอกิน และคงจะกินมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งเด็ก หญิงและชายคงจะต้องตกเป็นเป็นเหยื่อในการนี้ นิสัยกินคน (Cannibalism แคนนิแบะลิส’ม) คงตกทอดมาถึงคนป่าล้าหลังในปัจจุบัน มันเป็นรอยจารึกแห่งความขาดแคลนอาหารในบุพกาลนั่นเอง ความคุ้นเคยในการนี้ ทำให้มนุษย์โบราณนำการฆ่าคนไปเป็นเหตุเป็นผลกับวาระอดอยาก กล่าว คือ ถือว่าการฆ่าคนเป็นการแก้แค้นความอดอยาก แต่ก็เป็นกฎของธรรมชาติที่ความสมบูรณ์ย่อมมีสลับไปกับความขาดแคลน ทั้งนี้ไปตามฤดูกาลหรือวงเวียนที่กินเวลาหลายปี ขณะที่ฆ่าคนกินนั้นความขาดแคลนคงจะถึงจุดสุดยอดของมันแล้ว ความสมบูรณ์ก็จะค่อยๆเกิดตามมา การฆ่าคนเพื่อแก้ไขความขาดแคลน จึงถูกเข้าใจว่าเป็นเหตุแห่งความสมบูรณ์ไป ฉะนั้นการฆ่าคนหรือสัตว์เพื่อบูชายัญเพื่อความสมบูรณ์ของธัญญาหารจึงเป็นประเพณีในสมัยนี้ และสมัยทำกสิกรรมในชั้นหลัง
การที่มนุษย์หินใหม่ซึ่งมีธนูหรือหน้าไม้กับขวานหินมีด้ามไม้เป็นอาวุธออกติดตามฝูงสัตว์เพื่อล่าเป็นอาหารนั้น เขาคงจะพบว่ามีพวกสุนัขป่าติดตามฝูงไปด้วย และมันคงจะคอยมาแย่งกินซากสัตว์ มันจะคุ้นกับมนุษย์ยิ่งขึ้นๆ กระทั่งกลายเป็นสุนัขเลี้ยงและเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างแรกของมนุษย์ไป ต่อมามันก็กลายเป็นสุนัขล่าสัตว์ให้มนุษย์ใช้ การรู้จักเลี้ยงสุนัขเพราะมันบังเอิญมาอยู่ด้วยนี่เอง ทำให้มนุษย์โบราณพบว่า น่าจะเลี้ยงสัตว์อื่นๆที่เป็นอาหารได้ด้วย เขาจึงลองต้อนเอาสัตว์ฝูงที่ตามล่านั้นเองมาเลี้ยง ปัญญาในการเลี้ยงสัตว์จึงเกิดขึ้นซึ่งทำให้มนุษย์คลายความอดอยากลงไป สุนัขล่าสัตว์ก็กลายเป็นสุนัขเลี้ยงสัตว์ไปด้วย
ในสมัยรู้จักเลี้ยงสัตว์นี้ต่อมา การนับจำนวนสัตว์ก็ก่อให้เกิดวิชาเลขขึ้น คนป่าและชนเผ่าในปัจจุบันที่ล้าหลัง ถึงกับยังไม่รู้จักเลี้ยงสัตว์ก็มี เช่นในออสเตรเลียเป็นต้น เราสามารถทราบถึงชีวิตของคนโบราณก่อน

2.2 ปรัชญาของมนุษย์สมัยหินใหม่ตอนปลาย 35

ประวัติศาสตร์ได้ก็โดยอาศัยการศึกษาชนชาติล้าหลังซึ่งยังมีตกค้างอยู่ในปัจจุบัน เช่นชาวอะบอริยิ่นในออสเตรเลีย ชาวอินเดียนแดงในอเมริกา และนิโกรในแอฟริกาเป็นต้น ทำให้สามารถอนุมานความเป็นไปของมนุษย์ในสมัยหินใหม่ได้บ้าง
การแต่งงานหมู่แบบผู้ชายทุกคนเป็นสามีของผู้หญิงทุกคนและกลับกันนั้น ต่อไปเนื่องด้วยเกิดลูกหลานผิดวัยกันขึ้นมาก จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายบิดามารดาแต่งงานกันเป็นหมู่กลุ่มหนึ่งกับเด็กๆแต่งงานกันเป็นหมู่อีกกลุ่มหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้พวกบิดามารดาก็จะเป็นบิดามารดาของเด็กทุกคน เด็กจึงเรียกญาติข้างบิดามารดาเป็นพ่อหรือแม่ไปหมด การเรียกเช่นนี้คงสืบเชื้อมา ถึงปัจจุบัน แล้วในหมู่เด็กด้วยกันก็เรียกกันเป็นพี่น้องท้องเดียวกันหมดด้วย ครอบครัวซึ่งอาศัยการแต่งงานหมู่ จึงมีขนาดใหญ่มากและรวมกันเป็นชาติวงศ์ (Gen เยน) ในชาติวงศ์หนึ่ง ๆทุกคนมีความเสมอภาคกันและแบ่งงานกันทำ เป็นฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ฝ่ายชายออก ไปล่าสัตว์และเลี้ยงสัตว์ ฝ่ายหญิงอยู่กับบ้านก็หุงต้ม และจัดหาเมล็ดหญ้าป่ามาไว้เลี้ยงสัตว์ในฤดูหิมะตก บางทีก็ทำหนังสัตว์ให้เป็นเสื้อผ้าด้วย ชาติวงศ์นี้ครอบครองดินแดนและทุ่งเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ยามเมื่อมีกิน ก็กินด้วยกัน ยามอดก็อดด้วยกัน ในการอยู่รวมกันนี้ก็มีประมุขเป็นผู้มีอายุสูงซึ่งจะเป็นผู้ประกอบประเพณีต่างๆ เช่นประเพณีฝังศพเป็นต้น
สังคมในขั้นเลี้ยงสัตว์นี้เอง มนุษย์, ซึ่งเพลาจากการล่าสัตว์ลงก็จะอ่อนแอลง เขากลัวสัตว์ร้ายที่เป็นอันตรายต่อชีวิต สัตว์ที่กลัวมากคือ งู ในระยะนี้ภัยธรรมชาติเช่นภูเขาไฟระเบิด พายุพัดจัด ฟ้าร้องหรือฟ้าผ่า แผ่นดินไหวก็ปรากฏขึ้นด้วย มนุษย์ในระยะนี้จึงเต็มไปด้วยความกลัว เขาจะเอาเรื่องวิญญาณของคนตาย ไปปะปนกับปรากฏการณ์ของธรรมชาติเหล่านี้ โดยถือว่าวิญญาณของผู้ตายซึ่งเป็นบรรพชนนั้นเอง เป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์เหล่านี้ การมีประมุขของชาติกุลซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชา ทำให้มนุษย์หินใหม่ในขั้นรู้จักเลี้ยงสัตว์นี้รู้จักภักดีต่ออำนาจบังคับบัญชา ความภักดีนี้จึงเลยคืบไปถึงความภักดีในวิญญาณของประมุขที่ตายไปแล้วด้วย ประจวบกับในชาติวงศ์นั้นมีการแต่งหน้าหรือนำหัวสัตว์ที่ดุร้าย มาประกอบผู้เป็นประมุขให้ดูเกรงขามยิ่งขึ้น วิญญาณของเขาจึงถูกเข้าใจว่ามีหน้าตาอย่างที่แต่งให้น่ากลัวแล้วนี้ การภักดีต่อบรรพชนจึงกลายเป็นการ

36 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

เคารพต่อเทพเจ้าผู้มีร่างเป็นสัตว์ไป
ในระยะนี้การเคารพงูในจินตนาการเป็นมังกรหรือพญานาคจึงเกิดขึ้นและสืบเชื้อมาถึงปัจจุบันนี้ การเกรงกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทำให้มนุษย์โบราณ คิดวิธีกราบไหว้อ้อนวอนแสดงความภักดีต่อเทพเจ้าผู้น่ากลัวขึ้น ทั้งนี้โดยประมุขของชาติวงศ์เป็นผู้นำทางศาสนาศาสนาบูชาเทพเจ้าผู้น่ากลัวนี้ คงมีตกทอดมาถึงปัจจุบันในพวกคนป่าล้าหลังต่างๆ ปรัชญาหรือหลักคิดของพวกนี้คงเป็นวิญญาณนิยมอยู่นั่นเอง แต่ได้ก้าว หน้าไปอีกขั้นหนึ่ง โดยมีการเข้าใจว่า วิญญาณของบรรพชนเป็นต้นเหตุแห่งปรากฏการณ์ทั้งปวงของธรรมชาติด้วย

2.4 สมัยหินใหม่ตอนปลาย - การค้นพบกสิกรรม

การเก็บเมล็ดหญ้าป่าหรือการเกี่ยวหญ้าติดเมล็ดมาเก็บไว้เพื่อเลี้ยงสัตว์ในฤดูหนาวนี่เอง ทำให้เมล็ดข้าวตกอยู่ใกล้ๆบ้านของมนุษย์หินใหม่ (Neolithic : นีโอะลีธ-อิค) เธอจะสังเกตเห็นการงอกขึ้นของมันและได้เก็บเกี่ยวเมล็ดข้าวจากแปลงที่ขึ้นใหม่นี้
ด้วยประการฉะนี้ การเลี้ยงสัตว์จึงนำไปยังการค้นพบวิธีเพาะปลูกข้าว การกสิกรรมของมนุษยชาติจึงเริ่มขึ้น ในขั้นแรกนั้นเป็นการกสิกรรมเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ก่อน ต่อมาจึงพบว่าเมล็ดข้าวเมื่อนำมาบดเป็นผงแป้งปั้นเป็นแผ่นแล้วเอาไปเผาจนสุกแล้วเป็นอาหารได้ดี จึงรู้จักกินข้าวกัน การค้นพบกสิกรรมจึงไม่เพียงช่วยให้มนุษย์รู้จักเพาะปลูกเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รู้จักปรับปรุงการทำอาหารด้วย จากเผาหรือปิ้งย่างต่อมาก็รู้จักการนึ่งอันนำไปยังการค้นพบวิธีทำเครื่องปั้นดินเผาเพื่อการหุงต้มอย่างแท้จริง วิธีทำแป้งปิ้งกินกันนั้นต่อมาทำให้พบวิธีทำสุราจากการหมักข้าว
เพราะการค้นพบกสิกรรม มนุษย์จึงมีอาหารจำนวนมากแน่นอนยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความอดอยากอย่างแต่ก่อน ก็ไม่มากล้ำกลายอีก มนุษย์ในสมัยนี้จะประสบความชื่นชมในชีวิตมาก เขาจะทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเป็นเหตุให้ระบบครอบครัวผันแปรไปด้วย กล่าวคือชาติวงศ์จะใหญ่ขึ้นด้วยการแต่งงานหมู่ แต่การแต่งงานหมู่อย่างเสรีไม่จับคู่นี้ก็นำความเสื่อมโทรมทางร่างกายมาสู่ฝ่ายหญิง ในกรณีเช่นนี้จึงเกิดประเพณีใหม่ขึ้น คือหญิงจะจับคู่เป็นสามีภริยาประจำกับชายคนใดคนหนึ่งในครอบครัวแต่งงานหมู่นั้น จะร่วม กับชายอื่นก็เพียงนานๆครั้ง แล้วในขั้นสุด

2.4 สมัยหินใหม่ตอนปลาย – การค้นพบกสิกรรม 37

ท้ายการร่วมประเวณีนี้ ก็เป็นเพียงประเพณีไป ไม่มีการผูกพันอย่างเสรีแต่เดิม
แรกๆ, การแต่งงานหมู่แบบใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นประเภทที่เรียกว่าจับคู่ (Pairing Family แพริ่ง แฟม-อิลิ) การกระทำอย่างนี้ ยังคืบไปถึงการจำกัดการแต่งงานหมู่อีกด้วย โดยพี่น้องร่วมพ่อแม่กันถูกตัดออกไปเสียจากวงแต่งงานกัน ทั้งนี้อาจมีเหตุจากการที่คนต่างชาติวงศ์กัน เกิดความพิศวาสกันยิ่งกว่าพี่น้องพ่อแม่เดียวกันที่คุ้นเคยกันเกินไป
ในขั้นนี้ของการผลิต ชาติวงศ์หนึ่ง ๆ ก็ได้แตกออกไปเป็นหลายชาติวงศ์แล้ว เพราะจำต้องแยกกันออกไปหาที่ทำกินในแห่งอื่น การแต่งงานหมู่ระหว่างชาติวงศ์นี้มีเงื่อนไขว่า ฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านของฝ่ายหญิง ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากการที่ลูกซึ่งเกิดจากการแต่งงานหมู่นั้น ไม่ทราบได้ว่าใครเป็นพ่อ แต่ทราบได้ว่าใครเป็นแม่ เพราะเขาเกิดมาจากผู้เป็นแม่นั้น ลูกๆเป็นผู้รักษาชาติวงศ์ให้คงอยู่ จึงอยู่กับฝ่ายชาติวงศ์พร้อมกับแม่ของเขา พ่อที่เป็นชายเลยต้องมาจากชาติวงศ์วงศ์อื่น
ในสมัยนี้หญิงจะมีสิทธิ์มีเสียงมากในครัวเรือน เพราะนอกจากเธอจะเป็นเจ้าของเครื่องมือในการผลิตในครัวเรือนแล้ว ชาย, สามีของเธอก็เป็นเพียงคนมือเปล่าที่มาจากชาติวงศ์อื่น ถ้าผิดใจเธอๆจะไล่เขากลับชาติวงศ์เดิมเสียก็ได้ ชายจึงจำต้องเคารพหญิง และเด็กๆก็ต้องเคารพผู้หญิงซึ่งเป็นแม่ของเขา ด้วยประการฉะนี้สิทธิใดๆทางทรัพย์สินจึงเป็นสิทธิทางมารดา (Mother rights มัฑ-เออะ ไร้ท์ส๎) และมนุษยชาติ ณ ขณะนั้นจึงมีหญิงเป็นประมุข เป็นใหญ่ในบ้านหรือในชาติวงศ์ ผู้หญิงจึงถูกยกย่องเป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งและเลยกลายเป็นเทพเจ้าไป เธอเป็นเทพเจ้าใน ขณะที่มนุษย์ชาติประสบกับความอุดมสมบูรณ์ เธอจึงถูกบูชาด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความกลัวหรือความชัง ความรักหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างแม่กับลูกซึ่งไม่รู้แน่ว่าใครเป็นพ่อนี้เอง ได้วางมาตรฐานให้แก่ความรักของคู่ผัว ตัวเมียในระบบผัวเดียวเมียเดียวในชั้นหลังด้วย
ในระยะนี้ศาสนาแห่งความภักดี เพราะความรักในความสำนึกคุณ (Oblig- ation อ็อบลิเก-ฌั่น) ได้เกิดขึ้น และเทพเจ้าของสมัยนี้เป็นผู้หญิงส่วนเทพเจ้าหน้าสัตว์แต่เก่าก่อน ก็คงเคารพปะปนกันมา จะเป็นด้วย ประการฉะนี้กระมังเราจึงมีเทพีถืองูของวัฒนธรรมคนเมืองอีเจี้ยน (Aegean

38 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

Civilization Culture (อีเจี้ยน ซิฝิไลเส-ฌั่น คัล-เชอ) บนเกาะครีต และมีพระนางกวนอิมของจีน
ศาสนาบูชาเทพเจ้าเพราะความสำนึกคุณ ได้เกิดขึ้นคู่เคียงมากับ ศาสนาที่ให้ความภักดีเพราะความกลัว แต่ความเชื่อถืออย่างนี้ก็คงได้หลักจากการเชื่อว่า มีวิญญาณครอบงำสรรพสิ่งในโลกอยู่นั้นเอง และก็คงเป็นวิญญาณนิยมทางปรัชญาอยู่เช่นเดิม
ระยะนี้ของการผลิต และการแต่งงานระหว่างชาติวงศ์ก็ก่อให้เกิดการแต่งกายเพื่อความสวยงามสำหรับการเกี้ยวพาราสี จึงมีการนำทองคำและทองแดงมาใช้ทำเป็นเครื่องประดับ ทองแดงได้ถูกทำเป็นอาวุธและของใช้ต่างๆด้วย การหัตถกรรมของมนุษยชาติในชาติวงศ์จึงเกิดเป็นครั้งแรกตาม หลังกสิกรรมมา

2.5 สมัยหินใหม่ตอนปลาย , สงครามระหว่างมนุษย์

การทวีจำนวนประชากรเพราะการทำกสิกรรมนั้น ทำให้ชาติวงศ์แตกออกไปเป็นหลายหมู่ ต่างหมู่ต่างก็เป็นเจ้าของดินแดนสำหรับทำ กสิกรรม และมีดินแดนสาธารณะไม่เป็นของใครคั่นอยู่ ซึ่งมักเป็นป่าหรือทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทุ่งเลี้ยงสัตว์นี้คงมีมาตราบกระทั่งปัจจุบันในชื่อว่า ที่สาธารณะ ชาติวงศ์เป็นญาติกัน เพราะแยกไปจากชาติวงศ์เดียวกัน จึงรวมอยู่ในชาติกุลหรือชนเผ่า (Tribe ไทร้บ๎) เดียวกัน ชนเผ่าหรือชาติกุลนี้มักมีเครื่องหมายประจำเป็นสัตว์ป่าที่คุ้นเคยต่างๆ สัตว์ป่าเหล่านี้อาจถูกถือเป็นเทพเจ้าประจำชาติกุลด้วยก็ได้ ดังปรากฏตัวอย่างในชนเผ่าพวกอินเดียนแดงในอเมริกา และคนป่าพื้นเมืองอะบอริจินิสในทวีปออสเตรเลีย
การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างมนุษย์ ในชาติกุลหรือชนเผ่านั้นเป็นเรื่องภาย ใน และประมุขของชาติวงศ์จะระงับเสียได้โดยง่าย แต่ละชาติวงศ์อาจมีการกระทบกระทั่งกัน และอาจมีศัตรูจากชาติกุลหรือชนเผ่าอื่นมารุกราน จึงมีการจัดตั้งกำลังไว้ป้องกัน ได้กล่าวแล้วว่าแต่ละชาติวงศ์มีประมุข ประมุขเหล่านี้จึงมาร่วมประชุมกันในที่ประชุมของชนเผ่าแล้วเลือกตั้งประมุขของชนเผ่าขึ้น ครั้นแล้วถ้ามีการรบพุ่งกันก็เลือกตั้งหัวหน้า นักรบขึ้นคนหนึ่งหรือสองคน
ตำแหน่งหัวหน้านักรบนี้มีไว้ชั่วคราว พอการรบพุ่งหมดลงแล้ว ก็

2.6 กำเนิดรัฐและระบบทาส 39

หมดตำแหน่งไป กำลังรบหรือนักรบก็ได้จากพวกอาสาสมัคร ไม่มีการ
บังคับแต่อย่างใด ชนเผ่าที่เป็นอริกันนี้ หากคนในชนเผ่าเกิดรักใคร่กันก็ต้องได้เสียกัน โดยการแย่งชิงตัวผู้หญิงมา แต่วิธีนี้กระทำกันก็ต่อเมื่อระบบหญิงเป็นใหญ่ได้หมดไปแล้วเท่านั้น ประเพณีชิงหญิงจากต่างชาติวงศ์กันนี้คงมีมากระทั่งถึงปัจจุบัน
ในการประชุมของหัวหน้าชาติวงศ์นี้ คนในชาติกุลมารวมฟังและเสนอความเห็นได้ การประชุมรวมอย่างนี้จึงเป็นแม่บทของประชาธิปไตยใน ปัจจุบันซึ่งมีทั้งสภาสูงและสภาต่ำ แต่สมัยบุพกาลนั้นเรามีประชาธิปไตยทางกำลังทหารด้วย เพราะแม่ทัพมีอำนาจเฉพาะเวลารบเท่านั้น พอหมดรบแล้วก็พ้นตำแหน่งไป ประชาธิปไตยบุพกาลในสมัยหินใหม่นี้ มีชาวอารยันส๎ (Aryans) ซึ่งเป็นคนเถื่อนโนแม็ดส์คอเคแฌ็นได้นำมาใช้ในจักรวรรดิกรีกและโรม ชนเผ่าอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาปัจจุบันก็คงอยู่ในขั้นนี้ของการปกครองด้วย

2.6 กำเนิดรัฐและระบบทาส (Slave System ซเลฝ ซิซ-เท็ม)

ในการรบพุ่งระหว่างชาติกุลหรือชนเผ่านี้ เชลยที่ได้มาก็ถูกฆ่าตายหรือถูกรับไว้เป็นญาติในชาติวงศ์ แต่ต่อมาปรากฏว่าเชลยพวกนี้มีฝีมือทางหัตถกรรมเลยถูกยึดตัวไว้เป็นทาสและมอบให้ทำหัตถกรรม ระบบทาส (Slave system) จึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา
โดยอาศัยแรงงานทาส สินค้าทางหัตถกรรมจึงเกิดขึ้นและเกิดการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ซึ่งเป็นการค้าครั้งแรกของประวัติศาสตร์โลก ความมั่งคั่งที่เกิดจากการนี้ชวนให้เกิดความต้องการในทาสยิ่งขึ้น การรบพุ่งเพื่อแก้แค้นในการทะเลาะวิวาทระหว่างชนเผ่า จึงกลายเป็นการรบพุ่งเพื่อแสวงหาทาส ทรัพย์สินและแผ่นดินทำกินไป ในการนี้พวกนักรบจะมีอำนาจขึ้นเพราะถืออาวุธและคุมกองทัพอยู่นาน พวกเขาจึงไม่ยอมวางอาวุธ และตั้งตนเป็นราชะนักรบ - กษัตริย์ (Warrior King วอ-เรียะ คิง) แล้วทำลายระบบประชาธิปไตยของชุมชนบุพกาลลง,กลายเป็นชนชั้นปกครองแรกเริ่ม แห่งระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติไป
การกสิกรรมนี้ทำกันตามลุ่มน้ำใหญ่ๆของโลกอันมีลุ่มน้ำไนล์ ยูเฟรตีส -ไทกรีส สินธุ แยงซีเกียง และ ฮวงโห จึงทำให้เกิดวัฒนธรรมคนเมืองโบราณ (Early Civilization Culture เออ-ลิ ซิฝิไลเส-ฌั่น คัล-เชอ) ขึ้นเป็น

40 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

สมัยแรกตามลุ่มน้ำเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมคนเมืองของอียิปต์ เมโซโปเตเมีย อินเดีย และไตตามลำดับ พวกอยู่ตามลุ่มน้ำนี้จะประสพความเจริญและอุดมสมบูรณ์ก่อนส่วนอื่นๆของโลก มีการค้นพบวิธีทำชลประทาน ในการแสวงหาที่ดินเพื่อทำกสิกรรมนี้ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ที่ดินขึ้น เพราะการเกิดมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน, วิชาการเรขาคณิตจึงเกิดขึ้นที่อียิปต์ การกสิกรรมก็ยังก่อให้เกิดการนับเวลาเป็นวัน เดือน ปี รวมทั้งบังคับให้ศึกษาการเคลื่อน ไหวของดวงดาวด้วย ด้วยประการฉะนี้เทพเจ้าที่มีอยู่ในจินตนาการจึงถูกระบุเป็นดาวต่างๆที่ตกอยู่ในความสังเกตของมนุษย์ในวาระต่อมา
การแลกเปลี่ยนสินค้า ทำให้เกิดย่านการค้าและเมือง ซึ่งมีคนมาอยู่รวมกันค้าขายกันหนาแน่น ในกรณีเช่นนี้ก็เกิดการปกครองในเมืองขึ้น ผู้เป็นราชะมักเข้ามาปกครองเมืองและถือเป็นนครหลวง การศาสนาประจำชาติวงศ์หรือชาติกุลก็ติดตามคนในชาติกุลเข้ามาในเมือง จึงมีการจัดตั้งโบสถ์หรือวิหารกลางขึ้นเพื่อเป็นที่ๆชนเผ่า (Tribe ไทร้บ๎ ) หนึ่ง ๆ จะนำเทพเจ้าของตนเข้าไปประดิษฐ์านไว้ ด้วยประการฉะนี้วิหารเทพเจ้าหลายองค์จึงเกิดขึ้น การศาสนาเป็นส่วนรวมก็เกิดขึ้น โดยปรากฏมีผู้เฝ้าศาลซึ่งได้แก่นักบวชดังในปัจจุบัน ในประเทศที่เกิดวัฒนธรรมคนเมืองโบราณตามลุ่มน้ำใหญ่ๆของโลกนั้น ราชะของประเทศบางทีก็เป็นหัวหน้าของชาติกุลซึ่งเป็นหัวหน้าทางศาสนา นี่ได้แก่ราชะ (ราชาพระ Preise King พรีส คิง) ทั้งนี้เพราะได้รับความนิยม มีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ราชาพระกับราชานักรบนั้นมีความขัดแย้งและช่วงชิงความเป็นใหญ่ต่อกันเสมอมา หัวหน้าชาติกุลทั้งหลายที่รวมกันเข้าเป็นประเทศหนึ่งเดียวนี้อาจรวมกันเข้าทั้งโดยความสมัครใจ และการรุกรานกันด้วยการสงครามซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจให้แก่ราชานักรบยิ่งขึ้น อันนำมาซึ่งความเดือดร้อนของพวกทาสมากขึ้น และนี่ก็ทำให้ราชานักบวชเกิดขึ้นสลับกันไป
การมีกรรมสิทธิ์ที่ดินก็ทำให้เกิดอาณาเขตของประเทศขึ้น อำนาจปกครองท้องถิ่นซึ่งเดิมเป็นของชาติกุลหรือชนเผ่านั้น ต่อมาก็สูญเสียไปโดยมีอำนาจศูนย์กลางของราชะมาครอบงำอยู่ ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าราชะอยู่ในชาติกุลใด ย่อมต้องยกย่องเทพเจ้าของราชะอันเป็นใหญ่ในหมู่เทพเจ้าทั้งหลายของสหพันธ์ชนเผ่านั้นด้วย ด้วยประการฉะนี้ศาสนาบูชาเทพเจ้าองค์เดียวจึงเกิดขึ้น ราชะสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าของเขาฉันใด

2.6 กำเนิดรัฐและระบบทาส 41

เทพเจ้าของชนเผ่าซึ่งเป็นนามธรรมแทนบรรพชนของเขาก็ย่อมเป็นต้นตระกูลของราชะฉันนั้น ราชะจึงถูกยกย่องเป็นเทพเจ้าไปด้วยประการฉะนี้
มหากาพย์ของคนเถื่อนอารยันส๎ (Aryans) จึงมีคำยกยอชนชาติของตนในทางกลับกันว่าพวกเขาสืบสายมาจากเทพเจ้า ซึ่งที่แท้จริงแล้วบรรพชนของเขาที่มีอยู่จริงๆนั่นเอง ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าเมื่อตายไปแล้ว ทั้งนี้โดยความคิดแบบวิญญาณนิยม ดังนั้นเทพเจ้าก็คือมนุษย์ผู้มีชื่อที่อยู่ในความทรงจำแต่เบื้องบุพกาลนั่นเอง เมื่อเกิดรัฐและเกิดราชะขึ้นแล้ว หัวหน้าชาติกุลหนึ่งได้เป็นเจ้าเหนือหัวหน้าชาติกุลอื่น เทพเจ้าของเขา ก็จะถูกยกเป็นเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่องค์เดียวเหนือเทพเจ้าของชาติกุลอื่นไปด้วย บนฟ้าจึงมีการปกครองอย่างเดียวกับเมืองมนุษย์ ฟ้าไม่ได้มอบอำนาจ ปกครองให้แก่ราชะดังที่มักกล่าวกันมานั้นเลย หากแต่ว่าราชะในโลกมนุษย์นั้นเอง ทำให้การปกครองบนฟ้าในจินตนาการเกิดขึ้น
การบูชาบรรพชนและบูชาสัตว์ที่มีอำนาจ เป็นศาสนาชั้นสองถัดจากประเพณีการฝังศพของมนุษย์ถ้ำ มันเทียบได้กับการบูชาบรรพชนหรือศาลเจ้าในประเทศจีนหรือการบูชาผีในหมู่ชนชาติไต (ไทย) จีนคงมีการบูชางูเหมือนมนุษย์โบราณทางแอฟริกา นกอินทรีหรือเหยี่ยวซึ่งกินงู เอาชนะงูได้ก็ถูกยกเป็นเทพเจ้าเหมือนกัน นี่ก็คือพญาครุฑของชนเผ่าคอเคแฌ็นอารยันส๎ (Aryans) ในอินเดีย และนกอินทรีของชนเผ่าคอเคแฌ็นเซ็มไม้ท๎ทางเอเซียไมเน่อร์และทางยุโรป เทพเจ้าต่างๆเหล่านี้หาได้จินตนา การจากความว่างเปล่าไม่ เพราะวิทยาศาสตร์พบว่า ความรู้หรือมโนภาพใดๆย่อมได้จากการสังเกตรับรู้ทั้งสิ้น เทพเจ้าของศาสนาจึงได้จากจินตนา การไปจากของจริงและเรื่องจริงของมนุษย์ ซึ่งเคยมีแล้วแต่เบื้องบุพกาลทั้งสิ้น ในสมัยนี้เทพนิยาย (Myth มิธ) จึงน่าจะเป็นเรื่องเล่าให้ลูกหลานฟังกันเป็นประจำวันทีเดียว

2.7 กำเนิดของความยากเข็ญในโลก

การกสิกรรมทำให้ชนเผ่าโบราณ ประสบความสมบูรณ์พูนสุขอยู่ชั่วระยะสมัยหนึ่ง แต่การรบพุ่งกันซึ่งทำให้เกิดทาส เกิดหัตถกรรม และการค้านั้นเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ประมุขของครอบครัว เริ่มกุมกรรมในสิทธิ์ฝูงสัตว์ที่แต่เดิมเป็นส่วนกลางของชาติวงศ์จัดสรรแบ่งหน้าที่ให้เลี้ยง ทั้งนี้เพราะระยะหลังๆนี้ไม่ได้ใช้คนในชาติวงศ์

42 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

เลี้ยงแล้ว หากใช้ทาสที่เขาจับมาได้เป็นคนเลี้ยง ผู้ใดมีทาสก็เป็นเจ้าของสินค้าด้วย ทาสจึงทำให้เกิดกรรมสิทธิ์ส่วนตัวขึ้น อีกประการหนึ่งการทวีจำนวนประชากรก็ทำให้เกิดกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยอัตโนมัติ เพราะคนเก่าได้ทำการเพาะปลูกในที่เดิมมานาน และคนรุ่นใหม่จำต้องแยกไปหาที่ดินแห่งใหม่ การเกิดมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวขึ้นนี้ เป็นปัจจัยอันสำคัญยิ่งที่ทำให้ระบบครอบครัวของชุมชนบุพกาลสลายลงไป ผู้ชายซึ่งทำกสิกรรมและ ปศุสัตว์ได้ผลมากยิ่งกว่างานที่ผู้หญิงทำในบ้าน กระทั่งสามารถจัดหาสินค้าหัตถกรรมเช่นเครื่องประดับมาใช้นั้น ทำให้หญิงหมดความสำคัญลงไป และต้องง้องอนชายเป็นการส่วนตัวเฉพาะบางคน
ความต้องการของชายที่จะให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตน ตกอยู่แก่บุตรอันแท้จริงของเขานั้น บังคับให้หญิงต้องเป็นภรรยาของชายคนเดียว หญิงผู้เป็นภรรยาของชายคนเดียวซึ่งรู้ได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรไปจากเขา หญิงผู้นั้นจึงไม่อาจร่วมกับชายอื่นได้อีกต่อไป ระบบแต่งงานหมู่จึงสิ้นสุดลงในวาระนี้ด้วย และมีเค้าโครงแห่งระบบผัวเดียวเมียเดียวเกิดขึ้นแทน แต่ที่จริงแล้วมันคงเป็นระบบผัวเดียวเท่านั้น คือเป็นระบบที่หญิงจะมีผัวได้เพียงคนเดียว แต่ชายนั้นจะมีเมียได้หลายๆคน เมียน้อยอื่นๆนี้เขาก็ได้จากทาสหญิงที่จับมาเป็นเชลยศึกนั่นเอง
ครั้นเมื่อภายหลังทาสผู้ทำหัตถกรรมและกสิกรรม ได้ตกเป็นสินค้าไปด้วยแล้ว ทั้งเมียทาสก็จะหาซื้อเอาได้จากในตลาด ซึ่งจะมีเวทีขายทาสชายหญิงไม่ผิดกับเวทีประกวดนางงามชายงามในสมัยนี้เท่าไรนัก!
ระบบผัวเดียวนี้ เมื่อประกอบกับกรรมสิทธิ์ต่างๆที่ชายถืออยู่แล้วก็บังคับให้ครอบครัวของชายแต่ละคนนี้ ต้องแยกออกจากชาติวงศ์ไปตั้งบ้านเมืองเป็นหลักแหล่งอยู่ต่างหาก จึงให้กำเนิดครอบครัวซึ่งมีพ่อเป็นใหญ่ขึ้น ระบบแม่เป็นใหญ่ซึ่งถือสิทธิทางแม่เลยสูญไปด้วย แต่ร่องรอยของมันคงทิ้งอยู่ในข้อความที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก
ครอบครัวแบบพ่อเป็นใหญ่ (Patriarchal Family เพทริอา-แค็ล แฟม- อิลิ่) นี้ ยังมีหลักฐานปรากฏแน่นอนทางประวัติศาสตร์ แม้ขณะนี้ก็ยังหาดูได้ มันประกอบด้วยชายพ่อบ้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและฝูงสัตว์ หรือมิฉะนั้นก็โรงงานหัตถกรรม เขามีภรรยาใหญ่คนหนึ่ง แต่มีภรรยาน้อยที่เป็นทาสอีกหลายคน แล้วก็มีทาสชายอีกมากหลาย บัดนี้,มนุษย์ผู้เป็นทาสได้

2.7 กำเนิดของความยากเข็ญในโลก 43

กลายเป็นของจำเป็นสำหรับครัวเรือนไปแล้ว
ประเพณีฝังศพซึ่งเริ่มตั้งแต่สมัยมนุษย์ถ้ำ นิยมฝังอาหารและอาวุธหินลงไปด้วยนั้น ต่อมาจึงนิยมฆ่าทาสฝังตามไปด้วย! ในประเทศจีนสมัยถัง (ปี ค.ศ. 618-960) ซึ่งระบบทาสหมดไปแล้ว ประเพณีฝังศพอย่างนี้ก็ยังมีอยู่ แต่เปลี่ยนจากทาสคนจริงเป็นทาสตุ๊กตากระเบื้องเคลือบไป
ครอบครัวแบบนี้ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะในหมู่คนผู้มั่งมีเท่านั้น เขาจะเป็นจุดเพ่งเล็งฐานเป็นแหล่งแห่งความสุข การมีของกินของใช้อย่างฟุ่มเฟือยประกอบกับมีทาสและภรรยามากหลายนี้ ทำให้นักศาสนาจินตนาการไปว่าสวรรค์มีเทพเจ้าซึ่งมีบริวารเป็นนางฟ้ามากหลายเช่นเดียวกัน สามัญชนซึ่งใคร่มีชีวิตอย่างนี้แต่มีในโลกนี้ไม่ได้ จึงเข้าหาศาสนาและทำบุญกัน โดยมุ่งหวังจะได้ไปเกิดในสวรรค์ ตามคำบอกของนักศาสนาที่ถูกจินตนา การขึ้นจากความเป็นอยู่จริงๆคนผู้มั่งมีในโลก ที่แท้แล้ว สวรรค์, ก็มีอยู่แต่บนโลกนี้นี่เอง นี่เป็นการมองจากด้านพ่อบ้านผู้มีทรัพย์
ทีนี้มองจากด้านทั่วไป เราจะเห็นว่าพวกทาสเดือดร้อนมาก พวกเขาจะดิ้นรนให้พ้นจากภาวะทาสแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะรัฐฐะได้เกิดขึ้นแล้วอย่างถาวรและมั่นคงด้วยการสถาปนาองค์การปกครอง (อำนาจรัฐ) อันมีกองกำลังตำรวจ ทหาร ศาล คุกตะราง เทศกิจเก็บภาษี ฯลฯ อย่างครบครัน หรือเรียกรวมๆว่าวัฒนธรรมคนเมืองได้เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์และคอยกำกับไว้ นรกจึงมีอยู่บนโลกนี้ด้วยเช่นกัน
การค้าทำให้เกิดการใช้เงิน แล้วก็มีการขายกรรมสิทธิ์ที่ดิน และมีการให้กู้ยืมเงิน พวกนายทาสเองซึ่งที่ดินไม่อำนวยผลเพียงพอ ก็ต้องขายที่ดินหรือกู้ยืมเงินมา กระทั่งถูกริบที่ดินไป เขาจะกลายเป็นคนยากจนไป จะเที่ยวเร่ขายแรงงาน เป็นลูกจ้างตามโรงงานหัตถกรรม มีชีวิตเยี่ยงทาสเสมอด้วยทาส เพียงต่างกันที่เขาเป็นอิสรชนที่มีอิสรภาพเท่านั้น เขาจะชิงชังความเป็นอยู่อย่างใหม่ แต่ก็หาแก้ไขอะไรได้ไม่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามประเพณีใหม่หมดแล้ว เขาจะผ่านชีวิตขึ้นๆลงๆ จะครุ่นคิดถึงโชคชะตาของตัวเอง ครั้นแล้วในความนึกคิด ก็เกิดจินตนาการตั้งคำถามขึ้นมาว่า ความเป็นไปของตัวเขานี้เกิดจากอำนาจของอะไร?
ในสมัยปัญญาทางศาสนานี้ ปรัชญาวิญญาณนิยมได้ครอบงำความ คิดของคนโดยทั่วไปอยู่ คำตอบเดิมที่ว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดจาก

22 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

อำนาจของวิญญาณหรือเทพเจ้านั้น ได้ช่วยให้เขาพบคำตอบโดยเพียงคิดอย่างง่ายๆว่า ความเป็นไปของบุคคลก็เกิดจากอำนาจของวิญญาณหรือเทพเจ้าด้วย ต่อมาวิญญาณหรือเทพเจ้าหรือพระเป็นเจ้าองค์เดียวก็ถูกเข้าใจว่าครอบงำความเป็นไปของบ้านเมืองหรือของโลกด้วย ฉะนั้นคน เราก็ย่อมคิดว่าเขาจะแก้ไขความเป็นอยู่ของตนเองได้ด้วยการนับถือศาสนาและการเคารพกราบไหว้อ้อนวอนขอให้เทพเจ้าโปรด
เนื่องจากการกระทำทางนี้ต้องผ่านนักบวช นักบวชจึงมีที่ยืนในสังคม ณ ขณะนั้นเป็นอันมาก เพราะเขาสืบสายมาจากหัวหน้าชาติวงศ์ อันเป็นที่เคารพมาแล้วด้วย แล้วเขายังมีชีวิตที่อ้างว่าสามารถแก้ความเดือด ร้อนที่เกิดขึ้นใหม่ในโลกนี้ได้ด้วย ทุกคนจึงหันไปหาศาสนาเป็นที่พึ่ง ด้วยประการฉะนี้เราจึงกล่าวว่า สมัยนี้เป็นสมัยแห่งปัญญาทางศาสนา (Age of religious wisdom เอจ อ็อฝ ริลีจ-อัซ วีส-ดัม) โดยแท้
วิชาดาราศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการรู้ฤดูกาลสำหรับปลูกพืชนั้น ได้ติดมากับหัวหน้าชาติวงศ์ซึ่งเป็นหัวหน้าทางศาสนาด้วยเมื่อหัวหน้าชาติวงศ์กลายเป็นพระไป เขาก็เป็นนักดาราศาสตร์ไปในตัวด้วย โบสถ์วิหารจึงถูกจัดวางไว้ตามทิศทางให้สังเกตดูดาวได้ง่าย นอก จากนี้เขายังบำเพ็ญตนเป็นแพทย์ และค้นคว้าทางยาด้วย ในการรักษานี้, เนื่องจากเชื่อในอำนาจวิญญาณ เลยใช้วิธีไสยศาสตร์ด้วย ในชนเผ่าล้าหลังเราจึงพบนักไสยศาสตร์โดยทั่วไป และไสยศาสตร์ก็ได้สืบต่อมา กระทั่งถึงทุกวันนี้
เมื่อดาราศาสตร์เจริญแล้ว ดาวเคราะห์ทั้ง 7 ถูกสังเกตและถือเป็นเทพเจ้าไป ทั้งนี้โดยเอาเทพเจ้าประจำชาติวงศ์นั้นเองไปเป็นชื่อดาวเหล่า นั้น เมื่อเทพเจ้าถูกเข้าใจตามหลักคิดวิญญาณนิยมว่า เป็นต้นเหตุแห่งความเป็นไปของบุคคลและบ้านเมือง ดาวเคราะห์ทั้ง 7 เลยถูกถือว่ามีอำนาจกำหนดความเป็นไปในโลกด้วย การเฝ้าดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ที่ 7 มาเทียบกับความเป็นไปของผู้คนและเหตุการณ์ของบ้านเมืองอยู่เป็นเวลาช้านาน ก็ทำให้เกิดวิชาโหราศาสตร์ขึ้นในแถบลุ่มน้ำไทกริส - ยูเฟรตีสเป็นวิทยาการของเมโซโปเตเมีย ซึ่งอียิปต์อาจมีส่วนร่วมด้วย มาสมัยนี้ซึ่งไม่มีใครเชื่อเทพเจ้ากันแล้วก็ยังมีนักโหราศาสตร์เชื่อไปในทำนองสสารนิยมว่าดาวเคราะห์ต่างๆเป็นวัตถุอันมีอำนาจครอบงำ

2.7 กำเนิดของความยากเข็ญในโลก 45

ความเป็นในโลก คนโบราณมีข้อเท็จจริงสนับสนุนข้อนี้เพียงอย่างเดียวคือดวงอาทิตย์ซึ่งแสงของมันก่อให้เกิดฤดูกาลต่างๆขึ้นบนโลกซึ่งอำนวยผลและทำลายผลทั้งปวงในโลก
วิชาต่างๆเหล่านี้เกิดภายใต้แอกแห่งวิญญาณนิยมทั้งสิ้น เราจึงมีลัทธิไสยนิยมเชื่อในไสยลิขิต การเชื่อในเทพเจ้าทำให้คนเราเป็นไปได้ต่างๆ คือพรหมนิยมหรือเทวนิยม และอำนาจของการนี้คือพรหมลิขิตหรือเทวลิขิต ถัดไปก็มีการเชื่อในดาราลิขิต ความเป็นไปของคนเราถูกถือว่าเป็นไปเองนอกเหนือความสามารถของคนเราที่จะแก้ไขได้ รวมแล้วลัทธิเหล่านี้ คือ โชคนิยม (Fatalism เฟ-แทะลิส'ม) หรือถ้าจะพูดอย่างทันสมัยก็เรียกว่า เฮงซวยนิยม
มนุษย์ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ก็เข้าหาศาสนาเป็นที่พึ่ง เมื่อมีรัฐและมีโบสถ์วิหารเป็นของกลางประจำเมือง แล้วเกิดมีนักบวชประจำโบสถ์ ประชาชนก็เข้ายึดนักบวชเป็นที่พึ่ง ฉะนั้นในขณะที่นักรบ (กษัตริย์) มีอำนาจปกครองประชาชนด้วยทหาร ตำรวจ ศาลและคุกตะรางนั้น นักบวช (ราชะ) ก็รวมกันเป็นสถาบัน ปกครองประชาชนด้วยความนิยม กษัตริย์กับราชะ จึงอยู่ในอาการขัดแย้งกันตลอดเสมอมาในประวัติศาสตร์ที่ค้นพบได้ แต่ส่วนมากก็จะออมชอมผลประโยชน์ แบ่งกันปกครองประชาชนเพื่อสถาปนาความสงบเรียบร้อย ประชาชนของโลกแถบลุ่มน้ำไนล์ ยูเฟรตีส-ไทกริส สินธุ คงคา เจ้าพระยา แม่โขง แยงซีเกียง และฮวงโห จึงต่างก็อยู่กันด้วยความสงบภายใต้บงการของอำนาจรัฐ และความพอใจข้างใต้ร่มธงของศาสนาตลอดมา
สมัยนี้คนส่วนใหญ่เป็นอิสระชนที่ยากจน นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกทาสไม่มีซุ่มเสียงอะไรในการปกครองตนเองเลย จึงหันไปยึดศาสนาและโชคนิยมเป็นที่พึ่ง ไม่คิดแก้ไขความเป็นอยู่ของตัวเองด้วยประการใดๆเลย จึงต้องนับว่าเป็นสมัยแห่งปัญญาทางศาสนาโดยสิ้นเชิง
ปรัชญาวิญญาณนิยมที่เกิดเมื่อ 50,000 ปีที่แล้วมาก็ยังคงครอบงำจิตมนุษย์อยู่ตลอดมาแต่โบราณกาลถึงปัจจุบัน แม้ในประเทศที่มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ตาม ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากที่มีปรัชญานี้ซุ่มซ่อนอยู่ในจิตใจ ส่วนประเทศที่ประชาชนมีความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์เช่นประเทศไทยและอีกหลายประเทศในเอเชีย, แอฟริกาเป็นต้น ปรัชญา

46 วิชาปรัชญา สมัคร บุราวาศ

วิญญาณนิยมนี้ก็ยังครอบครองจิตใจคนอยู่เกือบทั้งประเทศ รวมทั้งระบบ
ปกครองและวัฒนธรรมยังถูกครอบงำด้วยปัญญาทางศาสนาอยู่ นักศึกษาวิญญาณนิยมนี้ก็ยังครอบครองจิตใจคนอยู่เกือบทั้งประเทศ รวมทั้งระบบปกครองและวัฒนธรรมยังถูกครอบงำด้วยปัญญาทางศาสนาอยู่ นักศึกษาปรัชญาจึงจะต้องพึงตระหนักถึงความจริงนี้ จึงแม้ได้เรียนรู้ความจริงของวิวัฒนาการทางปรัชญาของโลกอย่างทั่วถ้วนแล้วก็ตาม เห็นประเทศอื่นที่เจริญก้าวหน้าไปถึงปัญญาทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ตาม แต่ท่านอยู่ในประเทศสยาม เป็นคนสยามจะต้องดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของประวัติศาสตร์ที่ยังตกอยู่ในวังวนแห่งปัญญาทางศาสนาและปรัชญา รวมทั้งระบบการปกครองของประเทศ ณ สมัยนั้นๆ เพื่อที่จะไม่แสดงพฤติกรรมล้ำหน้าประวัติศาสตร์ จนกลายเป็นคนแปลกแยกทางสังคมไป ซึ่งที่สุดจะถูกโดดเดี่ยวด้วยอำนาจรัฐ จึงแทนที่จะเป็นพลังหนึ่งที่ช่วยผลักดันสังคมไปสู่สังคมใหม่ที่มีเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างแท้จริงได้ กลับถูกพลังแห่งสังคมอนุรักษ์นิยมเหยียบทับจมหายไปจากประวัติศาสตร์! จึงต้องไม่ลืมตัวว่า ตนเป็นมดเล็กตัวเดียวในป่าใหญ่ และเรียนรู้ปรัชญาเพื่อเท่าทันสังคม เพื่อให้ยังดำรงเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด! พร้อมๆกับขยายการรับรู้ในปรัชญาอันถูกต้อง


















 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2553
0 comments
Last Update : 20 กรกฎาคม 2553 12:28:39 น.
Counter : 2988 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ลุงกฤช
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อดีต : พ่อค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปัจจุบัน : อาจารย์พิเศษสอนปรัชญาเป็นประจำแก่สถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง สอนพิเศษนักศึกษาปริญญาตรีและโทมหาลัยมหิดล

คืนกำไรให้ชีวิตหลังจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิต ขับรถไปฮันนี่มูนต่างจังหวัดบ้าง ไปสอนต่างจังหวัดบ้าง มีความสุขกับศรีภรรยาที่อยู่กันมาเกือบ 50 ปี
เธอดูแลเราเหมือนลูก เพราะลูกๆต่างก็มีครอบครัวแยกย้ายไปทำมาหากินกันดีๆทุกคนแล้ว เราเลยอยู่กันสามพ่อแม่ลูก(คนสุดท้อง)ซึงไม่ยอมมีผัว เพื่อดูแลพ่อแม่ กับหมาอีก 8 ตัว บางวันก็ไปสอนบ้าง บางวันก็เข้ามาในบล๊อกบ้างเพื่อเอางานที่เรียนรู้มา มาคืนให้แก่สังคม ดังที่เห็นๆกันแล้ว งานส่วนใหญ่ที่คัดลอกมาให้อ่านกันเป็นงานเขียนของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศ และทรรศนะส่วนตัว
อยากให้คนสนใจเรื่องปรัชญา เพราะตัวเองนั้นมีความสุขอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีปรัชญาชี้นำการดำเนินชีวิต มีความรู้ในการปฏิบัติทำมาหากิน ภายหลังหยุดชีวิตการทำมาหากินแล้วก็ยังมีสมบัติทีมากกว่าเบี้ยบำนาญของราชการ

แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่จน จึงอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนเข้ามหาลัยได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง เพราะชีวิตผมเริ่มต้นจากสูญ ไม่มีมรดกจากพ่อแม่

บทความซึ่งจะนำลงตอนละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่สนใจอ่านจะลบทิ้ง

บทความตอนใดที่ไม่มีผู้สนใจอ่าน(ไม่ให้ความเห็น)
จะลบออกเร็วกว่านั้น
อยากบอกอยากถามก็ขอให้เขียน เรามาแลกเปลี่ยนวิถีทรรศน์ของกันและกัน เพื่อเดินทางร่วมกันฉันท์สหาย
[Add ลุงกฤช's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com