โลกมีทางให้เดินเป็นพันพันทาง เราต่างใช้ปรัชญาแห่งชนชั้นของตน นำทางในการเดิน เราต่างเดินตาม ปรัชญาแห่งชนชั้นตน
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
13 กรกฏาคม 2551
 
 

ความรู้ของมนุษย์ได้มาจากไหน 1 วินิจฉัย แสงสว่างวัฒนะ

ผมกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับ การมอง และ การเห็น ในแง่ของปรัชญาไปบ้างแล้ว

ตอนนี้ผมจะกล่าวในแง่ของวิชา จิตวิทยา ที่ว่าด้วย กำเนิดความรู้ของมนุษย์ เกิดจากการรับรู้ การรับรู้นี้ ในทาง ปรัชญา ใช้คำว่า Cognition (ค็อกนีฌ-อัน) แต่ใน วิชา จิตวิทยา จะใช้คำว่า Perception (เพอะเซพ-ฌัน)-การรับรู้ ในความหมายของ วิชาจิตวิทยา จะหมายถึงการที่มนุษย์ เอาอวัยวะรับสัมผัสที่มีทั้งห้า อันมี ตา หู จมูก ลิ้น และกาย รับรู้หรือมีความรู้สึก (Sensation เซ็นเซ-ฌัน) ต่อการมีอยู่ของ สิ่ง นอกกาย

เรารู้การมีอยู่ของสิ่งนอกกาย ก็เพราะเรามี สมอง อันเป็นศูนย์รวมของ เส้นประสาท ที่เชื่อมต่อกับการรับรู้ของอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า โดยมีกระแสไฟฟ้า (เคมี) วิ่งจากอวัยวะรับสัมผัสนั้นๆ ผ่านไขสันหลังขึ้นสู่สมอง แล้ว สะท้อน เป็น มโนภาพ ของ สิ่งที่รับทราบ (Percept เพอะ-เซพท) นั้นๆขึ้นในสมอง ณ ขณะสัมผัสกับสิ่งนั้น ๆ อยู่

ในขณะมีการรับรู้ (Perception (เพอะเซพ-ฌัน)) นั้น นอกจากจะรับรู้อย่างฉับพลันทั่วๆไปอย่างกว้างๆ คือรู้จัก รูปลักษณะภายนอก ของ สิ่งที่รับทราบ (Percept เพอะ-เซพท)นั้นๆแล้ว ยังหมายรวมไปถึง ความประทับใจ (Impression อิมพเรฌ-อัน) ใน คุณสมบัติของสิ่งนั้น อันทำให้เกิดความรู้สึก ชอบ ชัง หรือ วางเฉย ต่อสิ่งนั้นพร้อมกันไปในตัวด้วย
ปรัชญาเอสเอ็ม จึงบัญญัติเรียก มโนภาพ ณ ขณะที่มีการรับรู้ นี้ว่า
มโนภาพแห่งความตรึงตรา (Idea of Impression : ไอดี-อะ อ็อฝ อิมพเรฌ-อัน)

พุทธปรัชญาเถรวาทะ (ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์) เรียก การเห็น นี้ว่า การมีจักขุผัสสะ หมายความว่า มีกิริยากระทบ ระหว่างอวัยวะรับสัมผัส คือตา กับวัตถุภายนอกกาย จึงเกิดการรับรู้ทาง ตา ขึ้นเรียกว่า จักขุวิญญาณ เรียกการรับรู้ทาง เสียง ว่าโสตะวิญญาณ การรับรู้ทาง กลิ่น ว่าฆานะวิญญาณ การรับรู้ทาง รส ว่าชิวหาวิญญาณ

วิญญาณ ในที่นี้ ทางพุทธปรัชญาเถรวาทะหมายถึง การรู้ผัสสะ (Sensation เซ็นเซ-ฌัน) คือมีความรู้สึกเกิดขึ้นเมื่อมีกิริยากระทบเท่านั้นมิได้เป็นสิ่งมีอยู่เป็นตัวเป็นตนถาวร (ไม่ตาย) ดังเจ้ากูแห่งสยามประเทศ สอนกันมาผิดๆในเรื่องของ อนตฺตา ไม่

โดยสอนว่าตัวเรา ไม่มี ตัวเรามันไม่ได้เป็นของเรา ยึดถือเป็นแก่นสารไม่ได้ ตัวตน ที่เจ้ากูหมายถึงก็คือ ตัวเรา (Body บอด-อิ) อันเป็นร่างกายของเรา เจ้ากูที่สอนแบบนี้ไม่น่าเอาอะไรถวายให้ฉัน (กิน) เลย เพราะเมื่อมันไม่มี ก็น่าจะถวายจานว่างๆ ให้ฉัน

แท้จริงแล้ว ตัวเรา คือ ร่างกายของเรานั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างแน่นอน และมีอยู่ ได้อย่างน้อยก็ด้วยปัจจัยพื้นฐาน คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค

เพื่อมิให้เข้าใจสับสนกับความหมายของวิญญาณในคติของพุทธปรัชญาฝ่าย เวทานตะ อันมีลักษณะ เป็นตัวเป็นตนที่ถาวร เป็นอิสระจากร่างกาย และเป็นอมฤตภาพ ราชบัณฑิตย์ (รุ่นเก่าที่รู้จริง) ท่านจึงได้บัญญัติศัพท์เรียกคำ วิญญาณ เสียใหม่ว่า พิชาน (Consciousness คอน-ฌัซเน็ซ) แทนคำว่า วิญญาณ แต่เดิมเสียเลย

เพราะวิญญาณในความคิดของคนทั่วไปไม่รู้วิทยาศาสตร์หรือถือคติพุทธฝ่าย เวทานตะนั้น จะมีลักษณะ เป็นตัวเป็นตน สิงอยู่ในร่างกาย เป็นดวงๆเหมือนที่ทำหลอกเด็กในเรื่อง นางนาคพระโขนง แล้วล่องลอยจากตัวคนไปได้ เมื่อคนๆนั้นตาย

อันเป็นทรรศนะของคนโบราณ ที่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่ได้ด้วยตัวเอง อย่าง เป็นอิสระจากร่างกาย ตรงกับคำว่า Soul โซล หรือ Psyche ไซคิ ของปรัชญาตะวันตก

โดยเข้าใจไปตามความไม่รู้ของคนโบราณว่า วิญญาณ หรือ ตัวตน นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ ตาดู หูฟัง ใจคิด ฯลฯ ได้ คำๆนี้ ตรงกับคำในปรัชญาอินเดีย หรือ พุทธ ปรัชญาเวทานตะ ว่า อาตมัน, อตฺตา, เจตภูติ ในสยามเรียกว่า ตัว ตัวตน ขวัญ จิต วิญญาณ ฯลฯ แล้วแต่จะเรียกกัน แต่ก็จะมีลักษณะเหมือนกัน คือคิดว่าโตเท่าหัวแม่มือ แฝงอยู่ตรงทรวงอกใกล้หัวใจ และเมื่อตายแล้ว ก็จะมีลักษณะเป็นดวงๆ

จะลอยออกจากร่างกายไปอยู่ในภพตามแต่กรรมดีชั่วขณะมีชีวิตอยู่ มีแสงในยามค่ำคืน อาจแปลงเป็นร่างเหมือนคนๆนั้นได้ เป็นร่างโปร่งใสเบาบาง เช่นที่เห็นในฝัน ทรรศนะอย่างนี้ นอกจากจะขัดกับวิทยาศาสตร์แล้ว ก็ยังขัดกับพุทธปรัชญา ฝ่ายเถรวาทะของพุทธโคดม ดังได้เคยอธิบายไปแล้ว จึงขอกลับมาสู่เรื่องการรับรู้ต่อไป

ที่สำคัญในกระบวนการรับรู้ความมีอยู่ของสรรพสิ่งทั้งปวง อันมีอยู่นอกกาย รวมทั้งรู้ความมีอยู่ของร่างกายของตัวเองนั้น นั่นคือ การรับรู้ทางกายสัมผัส ที่เรียกว่า โผฏฐัพพะวิญญาณ และ สุดยอดการรับรู้ทางกาย ก็คือ การรับรู้ทางกายสัมผัสที่มือ

เพราะถ้า มือ มันบอกว่า ฉัน จับมันได้ สิ่งนั้นๆเป็นต้องมีแน่ๆ
เพราะแม้ว่า ตาจะเห็น ก็ดี จมูกจะได้กลิ่น ก็ดี แจ้งให้เรา เห็น และ ได้กลิ่น คน ที่เรารัก ซึ่งตายจากไปแล้ว ปรากฏให้เห็นเมื่อยามโหยหา แต่มือมันจับต้องลูบคลำกอดจูบลูบไล้เธอไม่ได้ เราก็ถือว่าไม่มี จินตนาการ มันหลอนเรา เพราะอาลัยรักเท่านั้นเอง

สำหรับผมแล้ว การรับรู้ ทางกาย ส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น นอกจาก มือ แล้ว เห็นจะไม่มีอะไรเท่าการรับรู้ ทางกายที่ ท้อง เพราะถ้าท้อง มันบอกว่า มือที่จับอะไรไว้ กำอะไรได้มั่นคง แล้วยัดสิ่งนั้นเข้าปากได้ แล้วก็กลืนลงไปในท้องได้ แล้วท้องบอกว่ามัน อร่อย อิ่ม ก็เป็นอันเชื่อแน่ได้ว่า สิ่งนั้นมีแน่ๆ และกลายไปเป็น เนื้อเรา แน่แท้แล้ว

เพราะมือที่คลำว่า สิ่งนั้นมีอยู่จริงๆ แต่ว่า คลำแล้วคลำอีก ก็ไม่เป็นของเรา ไม่ ใช่ของเรา กล่าวคือ เป็นชิ้นงานของคนอื่นที่เขาจ้างให้เราทำ จะคลำจะเค้นอยู่นานแสนนานสักเท่าใด (แม้จะกราบไหว้บนบานศาลกล่าวอย่างไร) มันก็ยังไม่เป็นของเราอยู่ดี

สิ่งที่รับทราบ (Percept เพอะ-เซพท) อันปรากฏเป็นมโนภาพ เป็นภาพสะท้อนของสิ่งภายนอกขึ้นในสมอง เราจึงยืนยัน การรับรู้ อันเข้าใจกันในสมัยโบราณว่า เป็นอำนาจของ อาตมัน ตัวตน วิญญาณ นั้น ที่แท้ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของสมอง ทั้งสิ้น หาใช่เป็น สิ่ง หรือเกิดจาก สิ่งโดยตัวเอง (Thing in Themselves ธิง อิน (เฑ็มเซลฝส) ที่เรียกว่า ตัวตน (อาตมัน) ตามทรรศนะของศาสดาหรือนักปรัชญาโบราณแต่อย่างใดไม่
เพราะพิสูจน์ง่าย ๆ ว่า ถ้าสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างแรงจนส่วนรับรู้เสียไป อวัยวะรับสัมผัสทุกอย่างแม้จะยังดีอยู่ ผู้นั้นก็ไม่สามารถรับรู้โลกภายนอกได้เลย

พูดให้ชัดอีกนัยหนึ่งก็คือ ตัวตน จิต วิญญาณ เป็น ปรากฏการณ์ที่มีอยู่จริง แต่จะมีอยู่ก็ต่อเมื่อคน ๆ นั้น ยังเป็น ๆ อยู่ ตัวตน จิต วิญญาณ ของคนตาย ไม่มี วิญญาณ แปลว่า การรู้สัมผัส ส่วน จิต แปลว่า (รับ) รู้ นึก (ทวนระลึก) และ (คาด) คิด (อนุมาน) นั่นเอง จิตกับจินต์ หรือจินตนาการ เป็นคำเดียวกัน ซึ่งก็แปลว่า อาการที่คิด

เพราะจิต วิญญาณนั้น เป็นปรากฏการณ์ของสมอง เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของสสารภายนอก เกี่ยวข้อง เกิดการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าเคมีขึ้นในสมอง กับอวัยวะรับสัมผัส อันเชื่อมต่ออยู่กับสิ่งภายนอก ที่มีปัจจัยอย่างหลากหลายกับสมอง ปัจจัยภายในที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในสมองก็คือ ส่วนเก็บความทรงจำ

ถ้ามีการรับทราบแล้ว แต่พิมพ์เป็นรอยความทรงจำไว้ไม่ได้ หรือ พิมพ์ไม่ติด แน่นทนนาน การรับทราบ ก็ไม่เกิดประโยชน์ (นี่ยืนยันความสำคัญของโภชนาการใน เด็กตั้งแต่ในครรภ์ และ สิ่งนี้เป็นที่มาของคำว่า คนสยามขี้ลืม ปัญญาอ่อน หรือ ยิ้มสยาม)
เพราะ การนึก คิด ของมนุษย์นั้น ก็คือ การทวนระลึกจากความทรงจำเท่านั้น
กล่าวคือ มนุษย์ ไม่อาจจะคิดอะไรขึ้นมาจากสิ่งที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนได้เลย

มโนภาพจากการนึกหรือทวนระลึกนี้ เรียกว่า มโนภาพแห่งจินตนาการ Idea of Imagination (ไอดี-อะ อ็อฝ อิแมจิเน-ฌัน) นี่ก็คือ ความรู้ - ขั้นปฐมภูมิ นั่นเอง

นี่เป็นยืนยันว่าความรู้มิใช่เกิดจากการนั่งคิด(นั่งสมาธิ นั่งสมถะ นั่งวิปัสสนา)

เพราะเราคงนั่งทำสมาธิหรือทำวิปัสสนาให้รู้ภาษาต่างประเทศหรือค้นพบสูตรทางวิทยาศาสตร์โดยไม่เคยศึกษาค้นคว้าวิจัย และจดจำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาก่อนไม่ได้

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้ เช่นรู้ภาษาต่างประเทศนั้นก็คือ ความทรงจำ อันเกิดจาก คุณภาพที่ดีของสมองส่วนบันทึกการรับรู้ ซึ่งคนโบราณเรียกว่า ใจ นั่นเอง)

ส่วนสูตรทางวิทยาศาสตร์นั้น ก็เกิดจากการรับรู้โลกภายนอก ด้วยวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แล้วจึงถอดนัยนามธรรมนั้นออกมาเป็น สูตรวิทยาศาสตร์ และคิดคืบ(อนุมาน)ต่อไป ในคนรุ่นหลังๆ ที่เรียนจากทฤษฎี ก็เรียนรู้โดยวิธีจดจำอีกเช่นกัน

เมื่อรู้อย่างนี้ คนหนุ่มคนสาว จะไม่พลอยนั่งเป็นโง่ เหมือนคนแก่เง่าอยู่ ที่มานั่งภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญา หรือ นั่งรับ พลังโยเร พลังจักรวาล มาบำบัดโรค ให้เปลืองเวลา เปลืองเงิน เปลืองตัว เปลืองหน้า ถูกหลอกไปเปล่าๆ ส่วนคนแก่ที่ท่านเป็นพ่อ เป็นแม่เรา ท่านไปทำแล้วมีความสุข ก็ปล่อยท่านไป หากไม่เสียเงินเสียตัวอะไรมาก

แต่ถ้าหลงกันจนถึงกับจะยกสมบัติให้คนกะล่อนไปหมด ก็เห็นทีจะต้องโวยกัน เพราะมีมามากแล้ว พระที่ดี,ผมหมายถึงพระผู้ควบคุมอารมณ์ของโยคี ที่ให้กรรมฐานอยู่นั้น หากญาติโยมจะยกสมบัติให้ ในช่วงปฏิบัติกรรมฐาน (ถึงขั้นปีติ - สุข) จะไม่ยอมรับการถวายใด ๆ จากโยคีผู้ปฏิบัติธรรม แต่พระเทียม (เจ้ากู) เอาหมดทั้งตัวจ้ะ

จากทางเลือกใหม่ของชีวิตฯ พิมพ์ครั้งที่ 4




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2551
4 comments
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 18:06:01 น.
Counter : 1389 Pageviews.

 

ดีมาก

 

โดย: โจ้ IP: 125.26.111.93 22 ธันวาคม 2552 12:08:15 น.  

 

ดีมาก

 

โดย: โจ้ IP: 125.26.111.93 22 ธันวาคม 2552 12:08:17 น.  

 

ยาวจังเละนะค่ะ

 

โดย: มิชูนะซัง IP: 58.8.242.101 13 กันยายน 2553 15:09:28 น.  

 

ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
ต้องเอาเรื่องนี้ไปทำรายงาน

 

โดย: เด็กเรียน IP: 110.164.46.83 13 กันยายน 2553 18:23:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ลุงกฤช
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อดีต : พ่อค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปัจจุบัน : อาจารย์พิเศษสอนปรัชญาเป็นประจำแก่สถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง สอนพิเศษนักศึกษาปริญญาตรีและโทมหาลัยมหิดล

คืนกำไรให้ชีวิตหลังจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิต ขับรถไปฮันนี่มูนต่างจังหวัดบ้าง ไปสอนต่างจังหวัดบ้าง มีความสุขกับศรีภรรยาที่อยู่กันมาเกือบ 50 ปี
เธอดูแลเราเหมือนลูก เพราะลูกๆต่างก็มีครอบครัวแยกย้ายไปทำมาหากินกันดีๆทุกคนแล้ว เราเลยอยู่กันสามพ่อแม่ลูก(คนสุดท้อง)ซึงไม่ยอมมีผัว เพื่อดูแลพ่อแม่ กับหมาอีก 8 ตัว บางวันก็ไปสอนบ้าง บางวันก็เข้ามาในบล๊อกบ้างเพื่อเอางานที่เรียนรู้มา มาคืนให้แก่สังคม ดังที่เห็นๆกันแล้ว งานส่วนใหญ่ที่คัดลอกมาให้อ่านกันเป็นงานเขียนของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศ และทรรศนะส่วนตัว
อยากให้คนสนใจเรื่องปรัชญา เพราะตัวเองนั้นมีความสุขอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีปรัชญาชี้นำการดำเนินชีวิต มีความรู้ในการปฏิบัติทำมาหากิน ภายหลังหยุดชีวิตการทำมาหากินแล้วก็ยังมีสมบัติทีมากกว่าเบี้ยบำนาญของราชการ

แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่จน จึงอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนเข้ามหาลัยได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง เพราะชีวิตผมเริ่มต้นจากสูญ ไม่มีมรดกจากพ่อแม่

บทความซึ่งจะนำลงตอนละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่สนใจอ่านจะลบทิ้ง

บทความตอนใดที่ไม่มีผู้สนใจอ่าน(ไม่ให้ความเห็น)
จะลบออกเร็วกว่านั้น
อยากบอกอยากถามก็ขอให้เขียน เรามาแลกเปลี่ยนวิถีทรรศน์ของกันและกัน เพื่อเดินทางร่วมกันฉันท์สหาย
[Add ลุงกฤช's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com