โลกมีทางให้เดินเป็นพันพันทาง เราต่างใช้ปรัชญาแห่งชนชั้นของตน นำทางในการเดิน เราต่างเดินตาม ปรัชญาแห่งชนชั้นตน
 
กรกฏาคม 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 กรกฏาคม 2551
 
 

บทนำปัญญาวิวัฒน์ภาค 1

ปัญญาวิวัฒน์ ภาค 1 และภาค 2 เขียนโดย พ.อ.สมัคร บุราวาศ
หนังสือ 1 ใน 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน

บทนำ

จากการศึกษา วิวัฒนาการรวมของจักรวาล (Universe ยู-นิเฝิซ) ทำให้ทราบว่า สรรพปรากฏการณ์ (Phenomena ฟินอม-อิน่ะ) ทั้งปวงที่มีในจักรวาล เป็นสรรพปรากฏการณ์ ของสิ่งที่มี ที่เรียกว่า สสาร (Matter แมะ- เทอะ) ซึ่งเป็นสิ่ง มีเนื้อ (มวล Mass แม็ส) มีปริมาตร มีขนาด มีน้ำหนัก และมีสมบัติติดมาแต่กำเนิด 3 ประการ ซึ่งเราจะเรียกว่ากฎ 3 ประการของจักรวาล หรือ สามัญลักษณะ 3 ประการของสสารก็ได้ คือ

กฎประการที่ 1. สสารมีธรรมชาติเป็นอนิจจธรรม กล่าวคือ สสารทั้งปวงมีอาการเคลื่อนไหวอยู่ทุกขณะไม่มีสสารใดอยู่นิ่งเป็นนิจนิรันดรได้

กฎประการที่ 2. สสารมีธรรมชาติเป็นอนัตตธรรม กล่าวคือ เมื่อสสารทั้งปวงต่างก็เคลื่อนไหว ทุกขณะสสารจึงต่างก็เข้ามาเกี่ยวข้องและ มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน จึงไม่มีสสารใดเป็นสิ่งโดยตัวเองโดยโดดเดี่ยว จะมีก็แต่สสารที่เกี่ยวข้องพึ่งพากัน และ ขัดแย้งกัน แม้ทุกขณะสสารแต่ละชนิดจะพยายามรักษาความเป็นสิ่งเดียวกับตัวเองไว้ ด้วยความพยายามดึงสิ่งอื่นให้เป็นเนื้อของตน แต่ทุกขณะตัวมันเอ็ง, ก็จะถูกดึงไปเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งอื่น, สสารอื่นเช่นกัน การดำรงอยู่ของสสารทั้งปวง จึงดำรงอยู่อย่างชั่วคราว เป็นสิ่งอนัตตธรรม เป็นสิ่งสัมพัทธ์ คือสมบูรณ์ชั่วขณะวินาที

กฎประการที่ 3. สสารมีธรรมชาติเป็นทุกขธรรม กล่าวคือไม่มีสสารใดดำรงสภาพเดิมอยู่ชั่วนิจนิรันดรได้ เนื่องมาจากกฎข้อ 2, ที่ทุกขณะแต่ละสสารต่างพยายามดึงสิ่งอื่นให้เป็นเนื้อของตน หรือถูกสิ่งอื่นดึงเนื้อของตนออกไปนั้น สสารทั้งปวงจึงมีการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณของมวลกล่าวคือ เนื้อของสสารอยู่ทุกขณะ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบที่เรียกว่าพัฒนาการเกิดขึ้นก่อน เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงปริมาณซึ่งอาจเจริญ เติบโตขึ้นหรือเสื่อมเล็กลงก็ได้ แต่เมื่อถึงระยะหนึ่ง, สสารนั้นๆจะแปรเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่าวิวัฒนาการ กล่าวคือ เป็นการแปรเปลี่ยนในเชิงคุณภาพกลายไปเป็นสิ่งใหม่สสารอย่างใหม่เกิดขึ้นแทนสิ่งเก่าอย่างฉับพลันและจะเป็นดังนี้ไปเป็นนิจนิรันดรไม่ว่าสสารนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไร้ชีวิต ดังนั้นสิ่งที่มีในจักรวาล จึงมีแต่สสารกับปรากฏการณ์ของสสาร อันเกิดจากกฎ 3 ประการดังกล่าวมาแล้ว

ด้วยกฎ 3 ประการนั้น จากอดีตเมื่อ 15,000 ล้านปีมาแล้ว, นับแต่วาระที่เกิดปรากฏการณ์แห่งมหากัมปนาท (Big Bang บิ๊กปั้ง) อันเกิดจากการรวมตัวของสสาร (Matter แมะเทอะ) ในรูปที่เรียกว่า อนุภาคคอสมิก (Cosmic Particle คอสมิก พาทิค’ล) ที่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจำนวนหนึ่งจากจำนวนมาก จึงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแบบพัฒนาการ (Development ดิเฝล-อัพเม็นทฺ) และแปรเปลี่ยนในแบบวิวัฒนาการ (Evolution เอโฝะลยู- ฌั่น) สสารเหล่านั้นจึงกลายเป็นจักรวาล (Universe ยูนิ-เฝิซ) หรือ เอกภพ (Cosmos คอสมอส) หนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีความกว้างใหญ่ไพศาลพ้นจะประมาณขนาดได้ เพราะมีการเคลื่อนที่ขยายตัวออกไปเป็นสี่มิติอยู่ทุกขณะ.

มหากัมปนาท (Big Bang บิ๊กปั้ง) ณ วาระนั้น,ได้ก่อให้เกิดเกาะแก่งแห่งจักรภพ (Galaxy แกล-แอ็กซิ่) หลากหลายสุดจะนับได้ขึ้นในจักรวาล (Universe ยูนิ-เฝิซ) นี้ ในจำนวนนี้, มีอยู่ จักรภพ หนึ่งชื่อ ทางช้างเผือก (The Milky-Way Galaxy ฑิ มีล - คิเว แกล - แอ็กซิ่) หรือ คงคาสวรรค์ ซึ่งภายในจักรภพนี้ก็ยังประกอบด้วยเกาะแก่งแห่งกลุ่มหมอกธาตุ (Nebulae เนบ-อิวลิ่) อีกจำนวนหลากหลายนับไม่ถ้วนเช่นกัน แต่มีหมอกธาตุ (Nebula เนบ-อิวล่ะ) กลุ่มหนึ่งได้มีวิวัฒนาการกลายมาเป็นระบบสุริยะ (Solar System โซเลอะ ซีซ-เท็ม) อันมี ดวงอาทิตย์ (Sun ซัน) เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet พแลน-เอ็ท) บริวารอีก 8 ดวง

ในจำนวนนี้มี ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน (Blue Planet บลู พแลน-เอ็ท) ที่เรียกว่า โลก (World เวิลดฺ หรือ Earth เอิธ) อยู่ดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้,ได้มีวิวัฒนาการทางธรณีวิทยามาอย่างเป็นที่น่ามหัศจรรย์ กล่าวคือ จากหมอกธาตุ - วิวัฒน์เป็นโลหะธาตุ ที่รวมเรียกว่า สารอนินทรีย์ (Inorganic Substances อิ-นอแกน-อิค ซับสแท็นซฺ) เกิดขึ้น. จากบางส่วนของสาร อนินทรีย์ ได้มีการวิวัฒน์ต่อมาเป็นสารอินทรีย์ (Organic Substances ออแกน-อิค ซับสแท็นซฺ). จากบางส่วนของสารอินทรีย์ได้วิวัฒน์ต่อไปเป็นสิ่งมีชีวิตพืชและสัตว์ขึ้นหลากหลายล้านๆเผ่าพันธุ์ และที่สุดมีเผ่าพันธุ์ของจุลชีพชนิดหนึ่งได้วิวัฒน์ต่อมาเป็นมนุษย์ขึ้นคือเป็นตัวเราตัวท่านในปัจจุบัน,รวมกันอยู่ในโลก-ดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้

นี่คือการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของพุทธะทางวิทยาศาสตร์ แห่งศตวรรษที่19 ที่ตอบข้อสงสัยของมนุษย์ที่อยากรู้เรื่องตัวเขามานับหมื่นๆปีว่าเขาเป็น อะไร, มาจากไหน? อันแย้งอยู่กับคำของศาสดาที่กล่าวว่าเขาเป็นจิตย่อยๆของพระเป็นเจ้า และพระองค์เป็นผู้สร้างเขา และสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา !

ด้วยกิเลส, ด้วยอวิชชา, มนุษย์จึงบริโภคทรัพยากรของโลกอย่างล้าง ผลาญโดยปราศจากความรู้ความสามารถที่จะสร้างเสริมทดแทนได้ ทำให้ แผ่นดิน ท้องน้ำ ผืนฟ้า ปิโตรเลียม โลหะธาตุ พืช สัตว์ ฯลฯ อันเป็นแหล่งสร้างพลัง งานให้แก่มนุษย์ได้กินได้ใช้ อันกฎ 3 ประการใช้เวลาสร้างไว้เป็นพันๆ ล้านปีกำลังจะหมดสิ้นลง และเกิดมลพิษขึ้นแทน

แต่ประเทศ มหาอำนาจ ก็ยังเร่งทำลายด้วยสงครามแย่งชิงทรัพยากรที่เหลือน้อยนิดนี้จากประเทศที่มีกำลังด้อยกว่า เพื่อหวังจะกอบโกยไว้ใช้เพียงเพื่อประเทศของตน ประเทศที่มีกำลังน้อยจึงต้องจับมือกันร่วมสู้กับชนชั้นปกครองของประเทศจักรวรรดินิยม เพื่อทำให้เขาได้สำนึกว่า การแย่งชิงทรัพยากรของประเทศอื่นเพื่อตนเอง อาจทำให้เขาอยู่ได้นานขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่เขาก็จะอยู่ตลอดไปไม่ได้ ทุกประเทศจึงจักต้องร่วมมือกันแก้ไขโลก ด้วยการแบ่งปันทรัพยากรที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ด้วยความเป็นธรรม และตั้งอยู่บนความสำนึกว่า ในที่สุดจะต้องประสบกับความวิบัติร่วมกันเร็วยิ่งขึ้น.

ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ในสาขาต่างๆที่มองเห็นสัจธรรมแห่งการเกิดขึ้น ดำรงอยู่และเสื่อมสลายลงไปของสรรพสิ่งทั้งปวง สาขาหนึ่งต่างก็พยายามค้นหาสิ่งทดแทนและหาวิธีรักษาถนอมโลก อีกสาขาหนึ่งพยายามคิดค้นการสร้างยานอวกาศที่ใช้พลังงานน้อยแต่มีความเร็วเป็นอสงไขย อีกสาขาหนึ่ง ค้นหาดาวเคราะห์ดวงอื่นของระบบสุริยะอื่นในจักรภพเดียวกับเรา เพื่อที่จะตระเตรียมไว้เป็นแหล่งอพยพครั้งใหญ่ในอนาคตให้แก่เผ่าพันธุ์ของชีวิตในดาวน้ำเงินดวงนี้ให้ดำรงอยู่ได้ต่อไป ดุจดังที่มนุษย์เคยอพยพกันครั้งใหญ่หนีภัยน้ำท่วมโลกในอดีตเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้วฉะนั้น

ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องศึกษาด้วยความสำนึกว่าการใช้อย่างล้างผลาญของทรัพยากรโลกยังดำเนินอยู่อย่างน่าตกใจ ด้วยอวิชชาของคนไม่รู้คุณค่าของวิทยาศาสตร์ทั้งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์สังคมและทุกคนมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบที่จะรักษาโลกนี้ไว้ด้วยความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยการศึกษาในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงในแบบพัฒนาการและแปรเปลี่ยนแบบวิวัฒนาการทั้งทางกายภาพและชีวภาพ อันเกิดจากกฎอันทรงพลัง 3 ประการที่ดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่งนี้

ซึ่งเริ่มศึกษาจากหนังสือเล่มนี้ แล้วศึกษาเพิ่มเติมจากวิชาวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เช่นจักรวาลวิทยา ชีววิทยาธรณีวิทยา มานุษยวิทยาฯลฯ และที่สำคัญก็คือวิทยาศาสตรสังคม เพื่อจะได้ช่วยกันรักษาดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ให้ดำรงอยู่อย่างยืนนานและอำนวยผล ประโยชน์ให้แก่มวลชีวิตทุกชนิดให้อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข โดยไม่ต้องแย่งทรัพย์แผ่นดินกันด้วยการกดขี่ขูดรีด, ปล้นฆ่ากันด้วยระบบทุนนิยมและจักรวรรดินิยมเพื่อแย่งชิงทรัพยากรของคนจนและประเทศล้าหลังได้อย่างไร

ภารกิจของหนังสือชุดนี้, จะเริ่มต้นให้การศึกษาจากก้าวแรกของอินทรียสาร ที่เกิดขึ้นในสายธารแห่งวิวัฒนาการทางชีวภาพจากจุลชีพที่ได้วิวัฒน์เป็นสัตว์กินนม(Primate พไร-มิท)กึ่งกระรอกกึ่งลิงซึ่งต่อมาได้มีการวิวัฒน์เป็นวานร (Apes เอพสฺ - Anthropoids แอนโธรพอยด์สฺ) พันธุ์หนึ่งที่ให้กำเนิดมนุษย์ปฐมกาลขึ้นมา อันมีปัญญาระดับเดียวกับวานรพันธุ์อื่นๆ (Hominoids โฮมินอยด์สฺ) เมื่อประมาณ 4.4 ล้านปีนั้น กลับกลายเป็นมานุษย์*(Ape-man เอพแม็น: Hominids โฮมินิดสฺ) เมื่อ 200,000 - 40,000 ปีและกลายเป็นมนุษย์แท้ (Homo sapiens โฮโม เซ้เพี่ยนสฺ) เมื่อ 35,000 ปีกระทั่งกลาย
--------------------------------------------------------------------------
* มานุษย์ (Ape-man) หมายถึงวานรต้นตระกูลพันธุ์หนึ่งของมนุษย์หรือปฐมมนุษย์ ซึ่งยังมีใบหน้าและร่างกายคล้ายวานรอยู่ แต่ได้มีวิวัฒนาการต่อมาอยู่ในระดับสูงกว่าวานร รู้จักใช้เครื่องมือหินแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นมนุษย์แท้ (Homo sapiens)
-----------------------------------------------------------------------
เป็นมนุษย์ผู้ทรงปัญญาอันยิ่งใหญ่ (Homo sapiens sapiens) ในปัจจุบันนี้โดยทิ้งญาติของเขาให้คงเป็นวานรอยู่หรือสูญพันธุ์ไปได้อย่างไร

จึงเป็นการสมควรที่เราจะศึกษาเฉพาะวิวัฒนาการนี้ในส่วนนี้ ซึ่งได้แก่วิวัฒนาการของการรับรู้, อันนำมาซึ่ง ปัญญา อันยิ่งใหญ่แห่งมนุษยชาติ หนังสือชุดนี้ถือเป็นภารกิจที่จะแสดงหลักฐานของวิวัฒนาการแห่งปัญญา นั้น ด้วยการค้นหาสัจธรรมตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเสนอเพื่อให้เห็นว่า จากปฏิกิริยารับรู้ขั้นต่ำสุดในพืช เมื่อประมาณ 500 ล้านปีมาแล้วนั้น ได้มีวิวัฒน์มาเป็นระบบประสาทและศูนย์รวมประสาท คือ สมอง – อันเป็นอวัยวะวิเศษสุดที่รับรู้สิ่งภายในและภายนอกกาย เป็นศูนย์บัญชาการควบคุมร่างกายให้มี ชีวิต เป็นคลังเก็บข้อมูล (Information) ทั้งปวงของจักรวาลอันเป็นแหล่งวัตถุดิบที่เขาได้นำมาสร้างเป็นตัวเขาขึ้นมา จากอดีตจนถึงปัจจุบันได้อย่างไม่มีวันเต็ม ทั้งๆที่มีปริมาตรเพียงพันกว่าซี.ซี. แล้วนำมาสร้างเป็นมโนภาพแห่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่มีอำนาจมหัศจรรย์ครอบครองชีวิตครอบครองโลก ที่เรียกว่า จิตมนุษย์ในปัจจุบันนี้ได้อย่างไรประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งจะสาธยายถึงวิทยาศาสตร์สังคม อันจะแสดงถึงเหตุแห่งประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์เคยมีระบบสังคมเสมอภาคกันทั้งในฐานะและความเป็นอยู่ในสมัยชุมชนบุพกาล ยามทุกข์ๆด้วยกันยามสุขๆด้วยกัน ยามอดๆด้วยกัน ยามอิ่มๆด้วยกัน คนแก่และเด็กไม่ต้องทำงาน ได้วิวัฒน์เป็นระบบสังคมแบบต่างๆ อันทำให้มนุษย์เหลื่อมล้ำรวยสูงส่งเสียดฟ้ายากเข็ญลำเค็ญติดดิน อันบางสังคม ยังคงถูกสอนอย่างบอกใบ้โดยนักบวชและชนชั้นปกครองให้กราบเท้ามนุษย์ด้วยกัน กราบวัตถุมงคล กราบวัว กราบลิง ฯลฯ ตามคำสอนของศาสนาแห่งโบราณสมัย ด้วยการให้ความหวังว่าสิ่งเหล่านี้ จะช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากภาวะอย่างนั้นได้ โดยปราศจากความละอายต่อบาปที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไรโดยสังเขปด้วย




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2551
0 comments
Last Update : 1 กรกฎาคม 2553 14:53:00 น.
Counter : 1343 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

ลุงกฤช
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อดีต : พ่อค้า ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปัจจุบัน : อาจารย์พิเศษสอนปรัชญาเป็นประจำแก่สถาบันของรัฐแห่งหนึ่ง สอนพิเศษนักศึกษาปริญญาตรีและโทมหาลัยมหิดล

คืนกำไรให้ชีวิตหลังจากการทำงานหนักมาเกือบตลอดชีวิต ขับรถไปฮันนี่มูนต่างจังหวัดบ้าง ไปสอนต่างจังหวัดบ้าง มีความสุขกับศรีภรรยาที่อยู่กันมาเกือบ 50 ปี
เธอดูแลเราเหมือนลูก เพราะลูกๆต่างก็มีครอบครัวแยกย้ายไปทำมาหากินกันดีๆทุกคนแล้ว เราเลยอยู่กันสามพ่อแม่ลูก(คนสุดท้อง)ซึงไม่ยอมมีผัว เพื่อดูแลพ่อแม่ กับหมาอีก 8 ตัว บางวันก็ไปสอนบ้าง บางวันก็เข้ามาในบล๊อกบ้างเพื่อเอางานที่เรียนรู้มา มาคืนให้แก่สังคม ดังที่เห็นๆกันแล้ว งานส่วนใหญ่ที่คัดลอกมาให้อ่านกันเป็นงานเขียนของท่านอาจารย์สมัคร บุราวาศ และทรรศนะส่วนตัว
อยากให้คนสนใจเรื่องปรัชญา เพราะตัวเองนั้นมีความสุขอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีปรัชญาชี้นำการดำเนินชีวิต มีความรู้ในการปฏิบัติทำมาหากิน ภายหลังหยุดชีวิตการทำมาหากินแล้วก็ยังมีสมบัติทีมากกว่าเบี้ยบำนาญของราชการ

แม้ไม่รวย แต่ก็ไม่จน จึงอยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นใหม่ที่ไม่มีทุนเข้ามหาลัยได้ดูเป็นแบบอย่างบ้าง เพราะชีวิตผมเริ่มต้นจากสูญ ไม่มีมรดกจากพ่อแม่

บทความซึ่งจะนำลงตอนละประมาณหนึ่งอาทิตย์ ถ้าใครไม่สนใจอ่านจะลบทิ้ง

บทความตอนใดที่ไม่มีผู้สนใจอ่าน(ไม่ให้ความเห็น)
จะลบออกเร็วกว่านั้น
อยากบอกอยากถามก็ขอให้เขียน เรามาแลกเปลี่ยนวิถีทรรศน์ของกันและกัน เพื่อเดินทางร่วมกันฉันท์สหาย
[Add ลุงกฤช's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com