ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
23 กุมภาพันธ์ 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 10

เพลง ไม่รัก...ไม่ต้อง - นิว จิ๋ว

https://www.youtube.com/watch?v=6eEEfyTYKqY

-๑๐-

พีระนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เรียนจบจากเมืองนอก หน้าตาคมเข้มหล่อกระชากใจสาว รูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง เป็นนักกีฬาเต็มตัว มีแฟนคลับสาวๆ ติดตามใน IG และ Facebook จำนวนไม่น้อย เขาถูกโหวตเป็นชายหนุ่มแห่งปีที่สาวๆ อยากได้เป็นคนรักอันดับสี่ปีที่แล้ว

เมื่อสามปีก่อน เขาได้เงินก้อนโตจากนายพงศกร บิดาซึ่งเป็นนักธุรกิจใหญ่ จึงร่วมหุ้นกับเพื่อนหลายคนเปิดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขึ้น ซึ่งเติบโตและมีอัตราผลตอบแทนสูงมาก จึงวางแผนจะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นในปีหน้า ซึ่งแน่นอนว่ามีโอกาสทำกำไรได้มหาศาลจากการขายหุ้น IPO อย่างน้อยๆ ก็น่าจะกำไรเกินสิบเท่าของเงินลงทุน

เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนสำคัญในบริษัทนี้ก็คือ...ภูวนัย พี่ชายของภาวินีที่มีหุ้นในสัดส่วนเท่าๆ กันกับเขา

ที่ผ่านมาชายหนุ่มถูกคาดหวังให้เป็น ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ของบิดาในอาชีพนักธุรกิจชั้นแนวหน้า ทำให้เขาต้องทำตัวอยู่ในกรอบ สร้างภาพให้ดูดี และน่าเชื่อถือ

พีระไม่เชื่อเรื่องรักแท้ สาเหตุสำคัญมาจากบิดากับมารดาสมรสกันด้วยความเหมาะสม หาใช่เพราะความรักความผูกพันไม่

เมื่อครอบครัวไม่ได้มีพื้นฐานมาจากความรักความเข้าใจ ไม่นานความล่มสลายก็เกิดขึ้น สุดท้ายนักธุรกิจใหญ่กับคุณหญิงก็แยกบ้านกันอยู่ในเขตรั้วติดกัน แต่ไม่หย่าขาดตามกฎหมาย เพื่อรักษาหน้าตาและฐานะทางสังคมเอาไว้

ลูกชายคนเดียวถูกเลี้ยงแบบทิ้งขว้าง ส่งไปอยู่โรงเรียนประจำชื่อดังตั้งแต่ขึ้นชั้นประถมศึกษา ปีหนึ่งเห็นหน้าพ่อกับแม่แค่ไม่กี่ครั้ง เพราะพวกท่านต่างยุ่งกับงานของตัวเอง จนอาจจะลืมเขาไปแล้วด้วยซ้ำ จำไม่ได้ว่า...พ่อแม่เคยบอกรักเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

ลึกๆ ในใจ พีระโหยหาสิ่งที่ขาดเพื่อเติมเต็ม แต่ไม่เคยรู้จักเลยว่า สิ่งที่หาอยู่นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?

หลังย่างเข้าวัยรุ่น ชายหนุ่มไม่เคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหน ส่วนใหญ่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คบไม่ยืดยาวเลยสักคน และแน่นอนว่า สเปคสาวของพีระต้องไฮโซ สวยเลิศ มีชื่อเสียง ไม่ก็มีฐานะหน้าตาในสังคมไม่น้อย

...จนกระทั่งได้รู้จักกับภาวินี

หล่อนแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยคบหา เฉลียวฉลาด ไหวพริบดี เชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งสวยและเก่งจนทำให้พีระทึ่งอยู่บ่อยๆ เขารู้เรื่องของหล่อนมากมายจากปากของภูวนัย และคิดใช้เพื่อนเป็นสะพานใกล้ชิดกับอีกฝ่าย

ตอนแรกภูวนัยไม่พอใจนัก เพราะรับรู้เรื่องความเจ้าชู้ประตูดินของเพื่อนเป็นอย่างดี แต่พีระสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะกลับตัวกลับใจ

“ชาตินี้ฉันจะรักภา และซื่อสัตย์กับภาเพียงคนเดียว ฉันสัญญา”

“ถ้าแกไม่รักษาคำพูด ฉันจะเล่นงานแก จำไว้ให้ดี”

ภูวนัยหลงลมปาก และเปิดทางให้เขาพัฒนาความสัมพันธ์กับภาวินี จากเพื่อนพี่ชายเป็นแฟน แล้วไปเป็นคู่หมั้น

ความที่พีระเป็นพวกหัวสมัยใหม่ และมองว่าการมีความสัมพันธ์ก่อนแต่งงานกับคู่หมั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ใครๆ เขาก็ทำกัน

ภาวินีปฏิเสธบ่ายเบี่ยงผัดผ่อนมาตลอด ยอมแค่ให้เขากอดจูบ...แต่ไม่เกินเลยมากกว่านั้น

'อะไรกันนักหนา จะแต่งกันอยู่แล้ว'

พีระจึงมองว่าหล่อนเล่นตัว ท่ามาก และหัวโบราณเกิน สุดท้ายก็อดใจไม่ได้ ที่จะออกไปหาเศษหาเลยเหมือนเมื่อก่อน

'ไหนๆ ก็จะแต่งอยู่แล้ว ขอใช้ชีวิตโสดให้คุ้มสักหน่อยเถอะ'

และแล้วความลับก็ไม่มีในโลก พีระไม่รู้ว่าผับแห่งนั้นเป็นของเพื่อนสนิทของภาวินี จึงควง ‘กรองพร’ สาวสวยที่เป็นคู่แข่งคู่กัดของหล่อนไปเที่ยว จนเป็นเหตุให้ร่างบางตามไปขอถอนหมั้น รวมถึงฝากรอยรักไว้บนแก้มจนช้ำบวม

แถมปาปารัสซี่ยังอุตส่าห์เก็บภาพตอนนั้นไว้ได้ และเอาไปลงหน้าหนึ่งนิตยสารชื่อดังอีกต่างหาก ดังกระหึ่มเมืองโดยไม่ต้องโปรโมท คิดแล้วก็หงุดหงิดงุ่นง่านใจยิ่งนัก

พอบิดามารดาของพีระทราบเรื่องนี้ก็เต้นเป็นองค์ลง ยื่นคำขาดให้เขา ‘ง้อ’ ภาวินีให้สำเร็จโดยเร็ว
พวกท่านทั้งคู่เห็นตรงกันว่า หล่อนเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่คู่ควรกับเขาที่สุด ยังไม่นับรวมว่าบิดาของหล่อนมีเงิน และมีอิทธิพลมากขนาดไหน สามารถจะสนับสนุนให้ลูกชายก้าวหน้า และเข้าสู่ถนนสายการเมืองได้ไม่ยาก

“หากแกปล่อยให้หนูภาหลุดมือไป ฉันว่าแกไม่โง่...ก็บ้า” พงศกรแขวะลูกชายของตัวเอง

ชายหนุ่มยอมรับว่า ในใจรู้สึกเสียดายหล่อนไม่น้อย เขามีความสุขเมื่ออยู่ใกล้กับภาวินี แต่พีระตอบตนเองไม่ได้ว่า จริงๆ แล้ว เขารักหล่อนหรือเปล่า? ต้องการแต่งงานกับหล่อนหรือเปล่า? หรือเป็นแค่ความเสียดายกันแน่?

หลังจากทะเลาะกันคืนนั้น เขาไม่กล้าโผล่หน้าไปหาหล่อน เพราะหวาดๆ กับคำขู่ของภูวนัย จึงให้คนไปสอดแนมหาข้อมูล แล้วพบว่า หล่อนไม่อยู่บ้านพ่อ ไม่อยู่คอนโด และไม่ไปทำงาน จึงส่งคนไปสอบถามพนักงานที่ห้องเสื้อก็ไม่มีใครรู้ว่า เจ้าของร้านคนสวยไปไหน?

'คุณอยู่ไหนภา?'

เขาเป็นห่วงว่าหล่อนจะทำอะไรโง่ๆ ก่อนตัดสินใจโทรศัพท์โดยหวังว่าอีกคนจะยอมรับสาย


“ต้องการอะไรจากฉันอีก คุณพีระ?” หล่อนทักทายด้วยเสียงเกรี้ยวกราดใส่ ในแบบที่ ‘ผู้โชคดี’ น้อยคนจะเคยได้ยิน

“ผมคิดถึงคุณ เราดีกันนะ” ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่ม ทำใจดีสู้แม่เสือ

ภาวินีฟิวส์ขาดกับความน่าไม่อายของเขา ทำผิดแล้วขอโทษสักคำไม่มี ยังมีหน้ามาขอคืนดีอีก...ไร้สามัญสำนึกเกินไปหรือเปล่า?

“อย่ามายุ่งกับฉันอีก เข้าใจไหม?” สาวสวยตวาดสวนกลับ ไม่ใส่ใจกับคำหวานของเขาเลยสักนิด

“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ยกโทษให้ผมนะ”

พีระเปลี่ยนกลยุทธ์ไปใช้ลูกอ้อนลูกตื้อแทน เพราะมันเคยใช้ได้ผล ภาวินีไม่ใช่คนใจแข็งอะไร...แต่เขาคาดผิด

“ฉันจะให้คนส่งของหมั้นคืนให้คุณทั้งหมด แล้วเลิกวุ่นวายกับชีวิตฉันซะที”

พูดไม่ทันขาดคำ หญิงสาวกดวางสาย และปิดเครื่องไม่สนใจจะรับฟังอะไรอีก แค่นี้ก็จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว หล่อนไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เขาได้รับรู้...มันเสียศักดิ์ศรี

“เดี๋ยวสิภา เรายังคุยกันไม่จบ”

พีระได้แต่โวยวายอยู่คนเดียวอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนครั้งนี้ภาวินีจะไม่ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือของเขาอีกต่อไปแล้ว

'บ้าเอ๊ย!'

ชายหนุ่มได้แต่สบถในใจซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างหัวเสีย ไม่รู้จะโกรธหรือโทษใครดี


ร่างบางทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่หนานุ่ม ซุกใบหน้ากับหมอนใบโต แล้วปล่อยโฮออกมาดังลั่น น้ำตาไหลเหมือนทำนบแตก

เขาทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นสิ่งของไร้ค่าไร้ราคา ไม่เคยแคร์ความรู้สึกของหล่อนเลยสักนิด นึกอยากจะทำอะไรก็ทำตามอำเภอใจ ปากก็บอกว่ารัก ซื่อสัตย์ แต่การกระทำสวนทางตลอด...แล้วจะให้เชื่อใจ ไว้ใจ แต่งงานด้วยได้อย่างไร?

“คนหลอกลวง จะไปไหนก็ไปเลย”

“คิดว่าตัวเองวิเศษนักหรือไง”

“ถึงไม่มีคนอย่างคุณ...ฉันก็ไม่ตายหรอก”

ฯลฯ

หล่อนตัดพ้อต่อว่าอดีตคู่หมั้นออกมาอีกหลายคำ ขณะที่น้ำตายังคงไหลทะลักออกมาไม่หยุด ซุกหน้ากับหมอนซับน้ำใสๆ จนหมอนนั้นเปียกชื้นเป็นวงใหญ่

หญิงสาวรู้ดีว่า ตนเองยังคงหักอกหักใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ และยังหาทางออกที่ดีกว่าหลบหน้าไม่ได้ ได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมานใจ

'ทำอย่างไร ฉันถึงจะลืมเขาได้สักที?'

คืนนั้นภาวินีนอนร้องไห้จนเหนื่อยอ่อน และสลบไสลไปในที่สุด


เช้าวันรุ่งขึ้น ประมาณ 7.50 น.

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูห้องพักเรือนสีรุ้งดังยาวนานหลายนาที แต่เจ้าของห้องยังคงไม่มาเปิด คาดว่าหลับสนิทไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งเมธาวีเจ็บมือจึงตัดสินใจหยุด และหาแผนใหม่

'เอาไงดีเนี่ย?'

อันที่จริงวันนี้เชฟสาวมีนัดไปตะลอนทัวร์กับภาวินี โดยนัดไว้เวลาเดียวกับเมื่อวาน เมธาวียืนรออยู่หน้าห้องอาหารนานเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ไม่เห็นอีกคนปรากฏตัว จึงแวะมาหาหน้าห้องด้วยความเป็นห่วง เธอทั้งทุบทั้งเคาะประตูห้องอยู่นาน แต่เงียบสนิทไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ

'หรือคุณภาจะไม่สบาย?'

สาวร่างสูงเดาในใจ ขณะหมุนตัวหมายเดินไปยังออฟฟิศเพื่อหานงราม และรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียง

คลิก!

ประตูห้องเรือนสีรุ้งเปิดออก

เมธาวีเห็นใบหน้าสวยหวานในสภาพที่ต่างจากที่เคย หัวฟูยุ่งเหยิง ขอบตาบวมแดงก่ำ ดูอิดโรยโทรมมาก หล่อนอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมที่ไปเที่ยวกันเมื่อวาน

'ไปฟัดกับอะไรมาเนี่ย?'

เธอนึกสงสัย ไม่เหมือนภาวินีที่เห็นเมื่อวานเลยสักนิด

ถึงบางอ้อกับกฎเหล็กที่บอกไว้ว่า ‘ห้ามไม่ให้ไปหาผู้หญิงโดยไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า’

“มีอะไร?” หล่อนถามคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เหมือนจะเป็นหวัด ยกมือบางขึ้นขยี้ปลายจมูกที่หายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่

“เอ่อ...” เธออึกอักจนกลายเป็นติดอ่าง

ร่างบางจ้องหน้าคนที่มารบกวนการนอนอย่างเคืองๆ อยู่ในสภาพพร้อมจะระเบิดใส่ทุกคนที่พูดผิดหู แล้วเอ่ยถามเสียงแข็งๆ

“ตกลงน้องเมมาเคาะประตูเสียดังลั่นแต่เช้า มีธุระอะไรหรือเปล่า?”

“เอ่อ เมแวะมา เพราะเมื่อวานคุณภานัดไว้...” เชฟสาวรีบตอบรัวเร็วเหมือนรถด่วน ก่อนที่คนตรงหน้าจะวีนใส่แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่

'น่ากลัวชะมัด'

นึกผวากับท่าทีของอีกคนที่เย็นชาน่ากลัวสุดๆ เริ่มเข้าใจแล้วที่น้ารสบอกถึง ภาวินีโหมด ‘แม่มด’ น่ากลัวขนาดไหน

'อา แย่จัง...ลืมไปสนิท'

หล่อนเพิ่งนึกออกว่า ตนเป็นฝ่ายนัดอีกคนเอาไว้ จึงเปลี่ยนท่าทีอ่อนลงกว่าเดิม ก่อนรีบขอโทษขอโพยคนตรงหน้าอย่างเกรงใจ

“โทษทีนะน้องเม วันนี้ตื่นสายไปหน่อย ขอเวลาสักสิบห้านาทีนะ เดี๋ยวไปหาที่ห้องอาหาร ขออาบน้ำแต่งตัวก่อน”

หล่อนไม่ใช่คนชอบผิดคำพูดกับใคร คำไหนคำนั้นเสมอ เพราะถูกบิดาสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ‘การรักษาคำพูดเป็นสิ่งสำคัญมาก’ หากพูดปดสักครั้งสองครั้ง สุดท้ายก็จะไม่มีใครเชื่อ อนาคตก็คงไม่ต่างจาก ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ ในนิทานอีสป

และแน่นอนว่า...หล่อนชิงชัง คนตลบตะแลงปลิ้นปล้อนเป็นที่สุด

“ตกลงวันนี้ จะไปเที่ยวเหรอคะ?” อีกคนถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ ดูแล้วไม่น่าจะไปไหนรอด

'ไหวหรือนั่น?'

“ไปสิ” ยังคงยืนกราน โดยไม่ได้รับรู้สภาพที่แท้จริงของตัวเองเลย

หล่อนขมวดคิ้วเรียวบางเข้าหากันเมื่อรู้สึกปวดตุ๊บที่ขมับ นัยน์ตาทั้งคู่เห็นภาพตรงหน้าโคลงเคลง หมุนวน และมีสีขาวโพลน ร่างบางเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูไว้เพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม แต่เข่าทั้งสองอ่อนแรงจนทรุดตัวล้มลงกับพื้น สิ้นสติสัมปชัญญะไปต่อหน้าต่อตาเชฟสาว

“คุณภา! คุณภาคะ!”

เมธาวีตะโกนเรียกชื่อหญิงสาวออกมาอย่างตกใจ ผวาเข้าไปคุกเข่า ประคองร่างของอีกฝ่ายไว้ ก่อนดึงโทรศัพท์ออกมากดหานงรามด้วยมือไม้สั่นเทา


“คนไข้ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ เป็นไข้หวัดใหญ่น่ะ ให้พักผ่อนมากๆ ทานยาให้ครบตามที่ผมสั่ง พักสักห้าหกวันก็น่าจะเป็นปกติ แล้วอย่าเพิ่งให้อาบน้ำ เช็คตัวด้วยน้ำอุ่นแทน ทานอาหารอ่อนๆ ร้อนๆ ด้วยนะครับ จะได้หายไวไว”

นายแพทย์วัยห้าสิบเศษกล่าวกับนงราม หลังตรวจอาการและฉีดยาที่สะโพกของหล่อนไปหนึ่งเข็ม เขาถูกโทรตามให้มาดูอาการของภาวินี ที่เป็นลมเมื่อสิบกว่านาทีก่อน

หมอหนุ่มใหญ่เคยทำงานโรงพยาบาลของรัฐในกรุงเทพฯ ห้าปีก่อนได้มาเปิดคลินิกสองคูหา ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากปานสรวง โฮม รีสอร์ตนัก เขารู้จักคุ้นเคยกับนงรามมาหลายปี เวลาแขกที่รีสอร์ตแห่งนี้ไม่สบาย ก็จะถูกส่งมารักษาเบื้องต้นที่ร้านของเขาเสมอ

ผู้ชายคนนี้เป็นเหมือนพ่อพระที่คอยรักษาชาวบ้านละแวกนี้ คิดค่ารักษาค่ายาก็ถูกเสียจนเหมือนให้เปล่า เป็นหมอใจดีมากที่หาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน

“ค่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย” นงรามคลายความวิตกลงไปเยอะทีเดียวหลังได้ยินถ้อยคำของหมอ สายตาชำเลืองมองไปยังหลานสาวที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงใหญ่

รสรินกับเมธาวีที่ยืนรับฟังคำสนทนานั้น พลอยโล่งใจไปด้วย อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้อาการหนักจนเกินไป

“เดี๋ยวให้คนตามผมไปเอายาที่ร้านด้วยนะครับ” เขากำชับ

“ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ” ญาติคนไข้พูดอย่างซาบซึ้ง

“งั้นผมกลับก่อนนะ” หมอกล่าวลาเมื่อทำหน้าที่เสร็จ

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

“ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ”

“ค่ะคุณหมอ” นงรามยกมือขึ้นไหว้เขาอย่างอ่อนน้อม โดยมีสองน้าหลานก็ไหว้ขอบคุณเขาด้วยเช่นกัน หมอใหญ่รีบรับไหว้แล้วเดินออกไป

เจ้าของรีสอร์ตก้าวเท้าไปยืนข้างเตียงทรุดตัวนั่งเก้าอี้ว่าง จ้องวงหน้าสวยที่ยังคงหลับตาพริ้มไม่รู้สึกรู้สา เธอยกมือขึ้นปัดปอยผมที่ปกเนินหน้าผากของหล่อนออกอย่างแผ่วเบา

“หายเร็วๆ นะยายภา”

ตอนเมธาวีโทรศัพท์มาบอกว่า ‘ภาวินีเป็นลม’ นงรามตกใจมาก ใจหายวาบเหมือนหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ วิ่งจากออฟฟิศมาที่เรือนสีรุ้งแล้วโทรตามหมอมือไม้สั่น ยังดีที่เมธาวีไปตามรสรินให้มาอยู่เคียงข้าง คอยปลอบโยนอยู่ไม่ห่าง ไม่เช่นนั้นเธอคงสติแตกได้ง่ายๆ

“เดี๋ยวเมตามคุณหมอไปเอายานะคะ” เชฟสาวบอกน้าสาวของตน

“อืม...ไปเถอะ รีบไปรีบมานะ” รสรินกล่าวอนุญาต

เธอรู้ว่าตอนนี้คนรัก คงเป็นกังวลแต่หลานสาวคนโปรดอย่างเดียวเท่านั้น คิดอ่านอะไรไม่ค่อยออก

“ค่ะ” เมธาวีรับคำ

หญิงสาวก้าวออกไปยังลานจอดรถ ขึ้นคร่อมสองล้อคู่ใจสีดำสนิท ป้ายทะเบียน ๘๘๘ ที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ สวมหมวกนิรภัย เสียบกุญแจ บิดสตาร์ทเครื่อง ก่อนพาหนะนั้นจะออกวิ่งเร็วจี๋ไปยังคลินิก

สาวร่างสูงบิดเร่งความเร็ว จนแซงรถยนต์อายุยี่สิบปีเศษของหมอที่วิ่งหวานเย็น...ประมาณ ๖๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามนโยบายประหยัดน้ำมันแห่งชาติ

เธอจอดรถดับเครื่อง และยืนรอที่หน้าประตูร้านของเขา

“ขับเร็วเกินไปหรือเปล่าครับ?” หมอหนุ่มใหญ่เอ่ยแซวเชฟสาว

หญิงสาวยิ้มเจื่อนๆ ก่อนพึมพำตอบเบาไม่ต่างจากกระซิบนัก

“แค่เกือบร้อยเท่านั้นเองค่ะ”

'เด็กสมัยนี้นี่ จริงๆ เลย'

เขาได้แต่บ่นในใจ แต่ไม่พูดอะไร

หมอใหญ่ผลักประตูเข้าไปในคลินิก ทักทายสองสามคำกับผู้ช่วยหญิงที่เป็นคนรัก แล้วเปิดตู้ยาเพื่อจัดยาให้กับภาวินีอย่างไม่รอช้า เมื่อจัดยาเสร็จก็หันมาสบตาเมธาวี แล้วยื่นถุงพลาสติกที่มีซองยาเม็ดเล็กๆ ด้านในห้าซองที่มีฉลากเขียนกำกับ

“มีทั้งยาก่อนอาหารและหลังอาหาร บางตัวทานแล้วจะง่วงนอน ไม่ควรขับรถเอง ให้คนไข้นอนพักเยอะๆ และดื่มน้ำอุ่นมากๆ หน่อย”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ...เท่าไหร่คะ?”

ผู้ชายคนนั้นบอกราคาที่แสนถูกออกมา

เชฟสาวชำระค่ายา หยิบถุงยานั้น แล้วไหว้ก้มศีรษะต่ำ โดยหมอรับไหว้เกือบไม่ทัน ก่อนก้าวเท้ายาวๆ ออกประตู ซิ่งรถกลับรีสอร์ตด้วยความเร็วมากกว่าขาไปเสียอีก


ภาวินีถูกนงรามปลุกเพื่อให้ทานยาและทานมื้อเช้า ซึ่งหล่อนงัวเงียและทำหน้างงๆ เมื่อกวาดตาไปเห็นเมธาวีกับรสรินนั่งอยู่ในห้องนอนของหล่อนด้วย ก่อนหันกลับมามองหน้าของน้าสาว

“น้านง...” หญิงสาวเรียกชื่อน้าสาวเสียงอ่อยๆ แหบแห้งกว่าปกติ

“เป็นไงบ้างลูก?” นงรามถามอย่างเป็นห่วง พลางยกมือลูบปลายคางมนของหลานสาวอย่างนุ่มนวล

“แค่เพลียๆ และมึนหัวนิดหน่อยค่ะ”

“อยากนั่งไหม?”

คนป่วยพยักหน้า นงรามกับเมธาวีจึงช่วยกันประคองคนบนเตียงให้นั่งพิงหัวเตียง โดยจัดหมอนหนุนให้พิงหลังไว้

“จำได้ไหมว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น?” ผู้เป็นน้าซักเสียงจริงจัง

ร่างบางนิ่งคิด พยายามลำดับเหตุการณ์เท่าที่จำได้

“น้องเมมาหาภา ถามเรื่องไปเที่ยว แล้วภาเห็นภาพรอบๆ หมุนติ้ว...จำได้แค่นั้นค่ะ”

“ภาเป็นลมน่ะ หมอบอกว่าลูกเป็นไข้หวัดใหญ่”

“เหรอคะ?” หญิงสาวทำหน้าตื่น ไม่นึกว่าตัวเองจะอ่อนแอขนาดนี้ ทั้งที่ปกติเป็นพวกหัวแข็งทนแดดทนฝน ไม่ล้มหมอนนอนเสื่อง่ายๆ

'สงสัยเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน...'

หล่อนเดาสาเหตุที่ตนล้มป่วย ซึ่งส่วนใหญ่มักมาจากการพักผ่อนน้อยและความเครียด

“เพราะเมื่อวานไปเที่ยว คงตากแดดมากเกินไปด้วยมั้งคะ?” เมธาวีเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว รู้สึกผิดที่ตนมีส่วนทำให้อีกคนไม่สบาย ลืมคิดไปว่าสาวสวยไม่ได้อึดทึกทนเหมือนเธอ

“ไม่เกี่ยวกับน้องเมหรอกคะ” หล่อนรีบพูด ไม่อยากให้เชฟสาวคิดมาก อันที่จริง น่าจะเป็นเพราะ ‘เขา’ มากกว่าที่ทำให้ไม่สบาย แต่ภาวินีไม่คิดจะเอ่ยพาดพิงถึงผู้ชายคนนั้น

“แต่-” ร่างสูงจะเอ่ยค้าน แต่ถูกรสรินพูดแทรกขึ้นเสียก่อน

“เมอย่ามัวแต่ชวนคุณภาคุยเลย ให้คุณภาทานยา ทานโจ๊กดีกว่า น่าจะหิวแล้วล่ะ” เชฟใหญ่ตัดบท แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดก่อนที่หลานสาวจะทำหน้าจ๋อยไปมากกว่านี้

“นี่ยาก่อนอาหาร ทานซะนะคะ” นงรามรีบรับไม้ต่อจากคนรัก ยื่นถ้วยแก้วเล็กๆ ที่ใส่ยาเม็ดสามเม็ดให้ตรงหน้าหล่อน

ภาวินีทำหน้าเหยเก ไม่ชื่นชอบการกินยาเม็ดเป็นที่สุด หากเป็นยาน้ำยังพอทำเนา จึงพูดอ้อมแอ้มเสียงแผ่ว

“ไม่ทานไม่ได้เหรอคะ...”

“ไม่ได้ค่ะ ลูกต้องทานยาให้ครบทุกอย่าง ทั้งก่อนและหลังอาหาร ไม่อย่างนั้นน้าจะเชิญคุณหมอมาฉีดยาภาทุกวันแทน” ผู้เป็นน้างัดไม้ตายขึ้นมาต่อรอง ซึ่งเชื่อแน่ว่าหลานสาวต้องยกธงขาวตั้งแต่ในมุ้ง

...ภาวินีเกลียดยาเม็ด และกลัวเข็มฉีดยาเป็นที่สุด

“น้านงอ่ะ” หล่อนทำหน้าละห้อยขอความเห็นใจ แต่คราวนี้ใช้กับน้าสาวไม่ได้ผล

“น้ารู้ค่ะว่าภาไม่ชอบ แต่ถ้าอยากหายป่วยเร็วๆ ก็ต้องเลือกเอาว่าภาจะทานยา หรือฉีดยา?”

'ไม่เอาทั้งสองอย่าง ไม่ได้เหรอคะ?'

หล่อนคิดต่อรอง แต่ไม่กล้าพูดออกมา

สาวสวยหน้าสวยเปลี่ยนสีซีด เมื่อสบตากับผู้เป็นน้า ได้แต่กล้ำกลืนยื่นมือเรียวออกไปรับถ้วยยาและแก้วน้ำมาถือไว้ อมยาแล้วกระดกน้ำเปล่าตามอย่างรวดเร็ว หน้าสวยบูดเบี้ยวกับความขมที่ยังคงติดลิ้นอยู่บ้าง

'ขมชะมัด ยาอะไรเนี่ย'

“เก่งมากค่ะ” นงรามเอ่ยชม เหมือนกับที่เคยทำกับอีกคนตอนเด็กๆ รับแก้วไปวางบนโต๊ะหัวเตียง ก่อนยกมือลูบหัวของหล่อนอย่างรักใคร่

ภาวินีหน้าแดงเรื่อ เมื่อชายตาไปแล้วพบว่าตนถูกสองน้าหลานมองและอมยิ้มคล้ายหยอกเย้าในใบหน้า ประหนึ่งว่าหล่อนกำลังทำอะไรที่ตลกขบขัน จึงพูดเสียงเข้มเพื่อรักษาฟอร์ม โดยเลือกเล่นงานเมธาวี

“น้องเม จ้องทำไม?”

เชฟสาวทำหน้าเป๋อเหลอกับคำถามหาเรื่อง ก่อนตอบออกไปว่า

“เอ่อ...เมจ้องคนเก่งค่ะ”

“ชิส์...” นักออกแบบสาวพึมพำอย่างหมั่นไส้ แล้วส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้เป็นรางวัลแก่คนแซว ที่ยังคงทำหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่อง

ขณะที่ผู้ใหญ่สองคนในห้องส่ายหน้า นึกขำกับการสนทนาโต้ตอบของสองสาว ที่บางครั้งเหมือนจะเข้ากันได้ดี แต่บางทีก็เหมือนจะกวนๆ ใส่กัน คู่รักเริ่มไม่แน่ใจว่า ตกลงหลานของพวกเธอสนิทกัน หรือไม่ถูกกันกันแน่?

ภาวินีทานโจ๊กหมดไปครึ่งชาม แล้วยอมทานยาหลังอาหาร โดยไม่งอแงอิดออดมากเท่าตอนแรก

นงรามไล่น้าหลานให้ออกไปรอที่ห้องรับแขก เพื่อจัดการเช็ดตัวให้หลานสาว เปลี่ยนชุดนอนให้ภาวินีเรียบร้อย

ทั้งสี่คุยกันอีกสักพัก พอหล่อนเริ่มง่วงนอนเพราะฤทธิ์ยา นงรามกับเมธาวีช่วยกันประคองให้ร่างบางนอน แล้วห่มผ้าห่มให้สูงจนถึงช่วงอก

“นอนพักนะลูก เที่ยงๆ น้าจะมาเยี่ยมใหม่...น้ารักภานะคะ” ผู้เป็นน้ากล่าว ก้มหน้าลงจูบหน้าผากของหลานคนโปรดเบาๆ

“ภาก็รักน้านงค่ะ” หล่อนตอบเสียงแผ่ว ก่อนเข้าสู่ภวังค์นิทราอย่างรวดเร็ว

แล้วคนทั้งสามก็แยกย้ายออกจากห้องนั้นไปทำงานของตน

OoXoO



Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2558 14:05:28 น. 0 comments
Counter : 1044 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com