ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
26 กุมภาพันธ์ 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 11

เพลง ให้ฉันดูแลเธอ - ใหม่ เจริญปุระ

https://www.youtube.com/watch?v=aSsWf0WrLBM

-๑๑-

ช่วงสิบเอ็ดโมงกว่า มือถือของเมธาวีดังขึ้น ขณะเจ้าตัวกำลังง่วนกับการเตรียมอาหารมื้อเที่ยงในห้องครัว เธอวางมีดหั่นผักลงบนเขียง แล้วหยิบอุปกรณ์ที่กำลังส่งเสียงออกมาดู เมื่อเห็นชื่อที่โชว์หน้าจอก็ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนกดรับสาย

“ว่าไงป้อง” เชฟสาวกล่าวทักทายเสียงเรียบ สายตาเหลือบมองไปยังอุ้ม...ผู้ช่วยสาว ที่ชอบเงี่ยหูฟังคำสนทนาแบบออกหน้าออกตา จึงเดินปลีกตัวออกมาให้ห่างจนใกล้ประตูครัว

“เมไม่สบายหรือเปล่า?” เสียงชายหนุ่มตามสายถาม

เธอขมวดคิ้ว ทำหน้างงเล็กน้อยกับคำถาม

“เปล่านี่ ทำไมเหรอ?”

“ก็ป้องเห็นเมเงียบไปสองวัน โทรไปตั้งหลายทีก็ไม่รับ แถมไม่โทรกลับอีกต่างหาก” ปริตต์แอบต่อว่าเธอกลายๆ ที่ไม่ค่อยสนใจเขาสักเท่าไหร่ จนบางทีนึกน้อยใจที่ตนเองไม่ค่อยสำคัญสำหรับเมธาวีเอาเสียเลย

“อ้าวเหรอ โทษที” เธอตอบแบบไม่จริงจัง สายตามองไปยังทางเข้า เห็นรสรินกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับแขกอีกเกือบสิบคน “ป้องแค่นี้ก่อนนะ มีลูกค้ามาน่ะ” พูดจบกดวางสาย โดยไม่สนใจคำร่ำลาของอีกคนเลย

“เม เม...” ป้องพยายามเรียกอีกฝ่าย แต่สายก็ตัดไปเสียก่อน จะโทรไปอีกรอบก็ไม่กล้า กลัวโดนว่า ‘ไร้สาระ’ จึงได้แต่เซ็งในอารมณ์อยู่คนเดียว ดูเหมือนความคิดจะชวนหญิงสาวไปดูหนังฝรั่งที่กำลังดัง...ถูกพับเก็บเอาไว้อีกตามเคย

'พี่เมไม่โรแมนติกเล้ย...ให้ตายสิ'

อุ้มที่แอบได้ยินคำสนทนาบ่นในใจ

หญิงสาวจับตาดูชายหญิงคู่นี้มาแรมปี แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์จะไม่คืบหน้าเอาเสียเลย แม้ว่านายป้องคนนั้นจะเทียวไล้เที่ยวขื่ออยู่นาน เอาอกเอาใจสารพัด แต่พี่เมของเธอไม่แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ

...สงสัยเคมีจะไม่ตรงกัน เลยจุดไม่ติดเสียที

ผู้ช่วยสาวนึกถึงวันก่อนที่จู่ๆ ตนก็ถามมารดาถึงเรื่องของเมธาวีกับผู้ชายที่ชื่อปริตต์

“แม่ ทำไมพี่เมถึงไม่ตกลงปลงใจกับพี่ป้องซะทีอ่ะ ตกลงมันยังไง?”

นางสมพรหัวเราะกับคำถามโลกแตก จึงตอบไปว่า

“คนเราน่ะถ้าไม่ใช่เนื้อคู่กัน แม้รักปานจะกลืนกิน สุดท้ายก็ต้องแยกจาก...แต่ถ้าหากเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ถึงแม้ไม่อยากอยู่ด้วย ก็หนีไปไหนไม่พ้นหรอก”

“แปลว่าไรเนี่ย? อธิบายให้รู้เรื่องได้ปะ” อุ้มได้แต่เกาหัวแกรกๆ ไม่เข้าใจเลยสักนิด

นางสมพรไม่อธิบายใดๆ ต่อ แค่ขำลูกสาวแล้วบอกแต่ว่า

“อยากรู้ เอ็งก็ดูต่อไป”

ตอนนี้อุ้มเริ่มเห็นแนวโน้มอนาคตคู่นี้แล้วว่า คงไปกันได้อีกไม่กี่น้ำ นึกเซ็งที่เชียร์ไม่ขึ้น ดูท่าแม่ของเธอจะกลายเป็นหมอดูแม่นๆ ไปซะแล้ว


ตอนกลางวัน นงรามแวะเอาข้าวต้มหมูร้อนๆ กับน้ำส้มคั้นไปให้หลานสาวและพบว่า อาการของภาวินีไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ ยังคงมีไข้นอนซม มีน้ำมูกและไอเกือบตลอด ทำให้รู้สึกเป็นกังวลใจมากขึ้น เธออยู่เฝ้าจนคนป่วยทานอาหารและยาครบ ก่อนปล่อยให้หล่อนหลับต่อ

“คืนนี้พี่ว่าจะไปนอนเฝ้ายายภาเอง” นงรามบอกคนรักในตอนบ่ายหลังเจอกันที่ออฟฟิศ

'แบบนี้ก็แย่สิ...ใครจะยอม'

รสรินโวยวายในใจ แต่ไม่กล้าบ่นออกมา ปากก็ถามไปว่า

“อาการคุณภาไม่ค่อยดีเหรอคะ?”

“ใช่ ไข้ยังไม่ลดเลย” สีหน้าของนงรามเคร่งเครียดมาก แม้จะรู้ว่าการเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องใช้เวลากว่าจะหายหลายวัน และไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี

...ถ้าไม่เกรงใจคุณหลานสาวว่ากลัวเข็มสุดๆ เธอจะเชิญคุณหมอมาฉีดยาทุกวันเลย จะได้หายเร็วๆ

“จ้างพยาบาลมาดู ไม่ดีกว่าเหรอคะ?” เชฟใหญ่เสนอแผนแรกที่วูบเข้ามาในหัว หากมีมืออาชีพมาดูแล อาการของหล่อนน่าจะหายเร็วขึ้น และคนรักเธอจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากด้วย

“ยายภาไม่มีทางยอมเด็ดขาด” นงรามส่ายหน้าปฏิเสธ

แม้รู้ว่าเป็นความคิดที่ดี แต่เธอรู้จักนิสัยใจคอคนเจ็บดีกว่าใคร ขืนทำแบบนั้นมีหวังภาวินีงอนเธอแน่

“นอกจากพี่นง คุณภาจะยอมให้ใครไปนอนเฝ้าบ้าง และคนนั้นต้องเป็นคนที่ดูแลคนป่วยเป็นด้วย” รสรินเอ่ยขึ้นลอยๆ คิดไม่ออกว่าใครจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

คู่รักหยุดคิดไปชั่วขณะ แล้วสบตากันด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายเจิดจ้า เมื่อปิ๊งคำตอบที่ต้องการ

“น้องเม” / “เจ้าเม”


ตอนเย็นนงรามให้พนักงานสองคน ช่วยกันขนเตียงเสริมและเครื่องนอนหนึ่งชุดเข้าไปในเรือนสีรุ้ง โดยเธอชี้ให้กางไว้ใกล้เตียงใหญ่ของหล่อน ลูกน้องสองคนจัดการปูเตียงจัดที่นอนอย่างแคล่วคล่อง ไม่กี่นาทีก็เรียบร้อย เจ้านายสาวเอ่ยขอบคุณ แล้วทั้งคู่ก็ออกไป

เจ้าของห้องที่นั่งอ่อนแรงบนโซฟาสีเข้มขนาดสองที่นั่ง เหลือบมองด้วยความสงสัย แต่รอจนอยู่ตามลำพัง จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“เตียงใครคะน้านง?”

นงรามก้าวมาทรุดนั่งโซฟาที่ว่าง สบตาหลานสาว แล้วเอ่ยเสียงนุ่มอ่อนโยน

“น้าขอให้น้องเมมานอนเฝ้าภา จนกว่าจะหายป่วย”

หล่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ไม่ชอบที่ถูกทำเหมือนตนเองเป็นเด็ก และไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับความเป็นส่วนตัว

“ภาไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย พักเยอะๆ ก็หาย” ร่างบางพูดจบ ก็ระคายคอ ไอออกมาหลายครั้งจนตัวโยน ขัดกับคำพูดที่เพิ่งพูดเมื่อตะกี้อย่างมาก ยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าสวยขึ้นสีเข้มโดยไม่ต้องเติมแต่ง

นงรามยกมือลูบหลังคนป่วยขึ้นลง ให้รู้สึกดีขึ้น

“ไข้ลูกยังไม่ลดเลยนะ แถมไอเยอะขนาดนี้ น้าไม่วางใจให้ลูกนอนคนเดียว”

“ภาเกรงใจน้องเม” ร่างบางฝืนตอบ ด้วยเสียงที่แห้งแหบกว่าเดิม แสบคอ ตัวร้อนผ่าวไปหมด หล่อนไม่ชินกับการต้องเป็นหนี้บุญคุณใครโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับคนที่ไม่คุ้นเคย

“แค่ลูกขอบคุณน้องเมด้วยตนเอง น้องเมก็คงยินดีมากแล้วล่ะ” ผู้เป็นน้าพูดพร้อมยิ้มกว้างอย่างใจดี

“แค่นั้นเหรอคะ?” หล่อนถาม เพราะไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้เยอะนักบนโลกใบนี้...คนจิตใจดี

“ใช่ค่ะ” นงรามยืนยันคำเดิม

เธอรู้จักเมธาวีดีว่าเป็นคนแบบไหน หากใครจริงใจมา เชฟสาวก็จะดีด้วย...แต่หากไม่จริงใจ อีกคนก็จะเฉยๆ หรืออย่างร้ายก็เมิน ไม่สนใจคบหาสมาคมด้วย เมธาวีมีนิสัยหลายส่วนเหมือนกับคนรักของเธอ

“งั้นก็ได้ค่ะ” ภาวินีรับปาก เริ่มมองเมธาวีในแบบที่เป็นมิตรมากขึ้น แม้อีกคนจะเป็นหลานของรสรินก็ตาม


หลังเสร็จงานจากห้องครัว เมธาวีรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงวอร์มขายาว เพื่อมาเฝ้าคนป่วยที่เรือนสีรุ้ง โดยไม่ลืมถือกระติกน้ำร้อนที่มีของฝากให้ภาวินี

ก้าวออกจากที่พักไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย เธอเคาะประตูสามครั้ง

นงรามเปิดประตูให้เชฟสาวเข้าไปด้านใน ก่อนปิดสนิทลงอย่างแผ่วเบา คาดว่าเจ้าของห้องคงหลับไปแล้ว

“คุณภาเป็นยังไงบ้างคะ?” เมธาวีถามอย่างเป็นห่วง วันนี้เธอยุ่งจนไม่มีเวลาโผล่หน้ามาเยี่ยม ได้แต่ทำอาหารฝากนงรามมาให้คนป่วยทานทั้งสามมื้อ

“หลับไปแล้วล่ะ แต่ไข้ยังทรงๆ ไม่ค่อยลดเลย” คนรักของน้าสาวพูดด้วยเสียงกังวล ใบหน้าดูอิดโรยเหนื่อยอ่อน และเผลอหาวออกมาจนรีบยกมือป้องปากแทบไม่ทัน

“น้านงกลับไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวคืนนี้เมดูคุณภาเอง” เชฟสาวพร้อมทำหน้าที่ผลัดต่อไป วางกระติกน้ำขิงร้อนบนโต๊ะกระจก

“ขอบใจนะน้องเม” เธอว่าอย่างซาบซึ้ง ยกมือแตะไหล่คนตรงหน้าเบาๆ หลานสาวของคนรักเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พึ่งพาได้

“ไม่มีปัญหาค่ะน้านง”

“มีอะไรก็โทรไปหาน้านะ” หันมากำชับนางพยาบาลพิเศษอีกครั้ง

“ค่ะ” เมธาวีรับคำ

ร่างสูงยืนรอส่ง จนกระทั่งอีกคนก้าวออกจากเรือนสีรุ้ง จึงปิดประตูล็อค แล้วตรงไปยังห้องนอนที่เจ้าหญิงกำลังเข้าสู่ภวังค์นิทรา

แสงไฟสลัวจากโคมหัวเตียงที่เปิดทิ้งไว้แบบหรี่ๆ ทำให้มองเห็นเค้าโครงหน้าของหล่อนได้ไม่ถนัด แต่เพียงพอทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท แม้จะหายใจค่อนข้างแรง มีเสียงฟืดฟาดบ้างบางครั้ง

เมธาวีก้าวไปหยุดอยู่ข้างเตียงใหญ่ เอื้อมมือไปสัมผัสกับหน้าผากเนียนของคนป่วยที่มีปอยผมปรกคลุมบางส่วน และพบว่าค่อนข้างร้อนกว่าอุณหภูมิของตัวเธอมาก

'ร้อนจัง…สงสัยไข้จะขึ้นอีก'

เชฟสาวหาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำหมาดๆ ประคบหน้าผากหล่อนเพื่อให้ไข้ลด ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงใหญ่ เฝ้ามองอีกคนอยู่นานเกือบชั่วโมงจนรู้สึกง่วงมาก แตะหน้าผากของคนป่วยอีกหนจนแน่ใจว่าไข้ลดลง จึงตัดสินใจไปนอนที่เตียงพิเศษของตัวเอง แต่ยังอดชำเหลือบมองใบหน้าสวยของภาวินีไม่ได้

“หายเร็วๆ นะคะเจ้าหญิง”

กลางดึกเมธาวีสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเพ้อของหล่อนที่ละเมอร้องไห้คร่ำครวญอย่างปวดร้าว

“ยะ อย่าไป...ได้โปรด...”

ร่างสูงรีบลุกพรวดจากเตียง ถลาไปหาหล่อนที่กำลังละเมอ และเมื่อฝ่ามือสัมผัสกับแขนเรียวของร่างบางที่ร้อนระอุผิดปกติ นึกเอะใจ จึงยกมือเรียวขึ้นแตะหน้าผากเนียนของอีกฝ่าย เพื่อเช็คอีกครั้ง

“ทำไมไข้ถึงได้สูงแบบนี้...แล้วยาอยู่ไหน?”

คนเฝ้าบ่นพึมพำ กวาดสายตาไปโต๊ะหัวเตียง เห็นถุงยาและขวดน้ำ ตั้งอยู่ จึงคว้าขวดนั้นเทน้ำใส่แก้ววางไว้ ขยับตัวประคองให้อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งพิงไหล่ของตน หยิบยามาป้อนผ่านริมฝีปาก แล้วป้อนน้ำตามอย่างช้าๆ ไม่ให้สำลัก ก่อนขยับร่างบางให้นอนราบตามเดิม โดยไม่ลืมห่มผ้าห่มให้

เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น โน้มตัวชันศอกวางคางบนเตียง แล้วมองหล่อนจนเพลิน ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็เผลอฟุบหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ก่อนตีห้าซึ่งเป็นเวลาปกติที่เมธาวีจะลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำงาน เช้านี้เธอก็ตื่นเฉกเช่นปกติ เพียงแต่รู้สึกปวดเมื่อยไปเกือบทั้งตัว โดยเฉพาะแขนและหัวไหล่ หลังนั่งหลับผิดท่าอยู่หลายชั่วโมง

ร่างสูงเงยหน้าเหลือบมองคนหลับตาพริ้มบนเตียง จึงถือวิสาสะยกมือแตะหน้าผากหล่อน แล้วพบว่าอุณหภูมิร่างกายของภาวินีไม่ค่อยลดสักเท่าไหร่

'สงสัยต้องให้ทานยาแก้ไข้อีกรอบ'

เชฟสาวคิด โน้มตัวไปรินน้ำใส่แก้วและหยิบยาแก้ไข้ออกมา เตรียมให้ภาวินีทาน แต่คราวนี้เธอตัดสินใจปลุกอีกฝ่ายด้วยการเรียกชื่อเบาๆ

“คุณภา คุณภาคะ...”

เปลือกตาของร่างบางขยับช้าๆ ก่อนเผยให้เห็นดวงตาคู่คมกริบที่กระพริบถี่ๆ มองคนเรียกด้วยความงัวเงีย กว่าจะปรับภาพให้ชัดเช่นปกติก็ใช้เวลาไปหลายวินาที และเมื่อเห็นใบหน้าคนกวนใจที่ชะโงกมาใกล้ ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าปนหงุดหงิด

“มีอะไร?”

พูดเสร็จ หนังตาบางๆ ก็เกือบจะปิดลงอีกรอบ ตอนนี้หล่อนแทบไม่อยากลืมตาขึ้นเลยสักนิด ร่างกายอ่อนเพลียไร้กำลังไปจนแทบหมดสิ้น รู้สึกอยากจะนอนพักต่ออีกนานๆ

“ทานยาลดไข้หน่อยนะคะ” เมธาวีบอกถึงจุดประสงค์ในการรบกวนอย่างอ่อนโยน

“ไม่ทาน” คนป่วยปฏิเสธแทบจะทันที แล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าไปอีกด้าน หลับตาลงตั้งใจจะนอนต่อ โดยไม่คิดสนใจเชฟสาวอีก

'อา...แม่มดเริ่มแผลงฤทธิ์ซะแล้ว'

สาวร่างสูงส่ายหน้ากับความดื้อของหล่อน เธอกลอกตาแล้วคิดแผนที่จะจัดการกับ ‘เด็กดื้อ’ ให้อยู่หมัด ทรุดตัวนั่งบนเตียงใหญ่อย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนป่วย แล้วเริ่มเปิดฉากส่งหมัดฮุคใส่อีกฝ่าย

“ถ้าคุณภาไม่ทานยา เมจะฟ้องน้านง”

“เชิญตามสบาย” หล่อนสวนกลับแบบไม่แยแส ก่อนขยับดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นจนคลุมแทบมิดศีรษะ ไม่อยากได้ยินเสียงรบกวนโสตประสาท

“ถ้าคุณภาไม่ทานยาไข้ก็จะไม่ลด น้านงก็จะเป็นห่วง แล้วคงโทรไปหาคุณหมอให้แวะมาตรวจคุณภาอีกรอบ คราวนี้คงต้องโดนฉีดยาอีกเข็มแน่ๆ” เธอพูดเสียงเรียบ

ประโยคที่ว่า ‘น้านงก็จะเป็นห่วง’ กับ ‘โดนฉีดยาอีกเข็ม’ ทำให้หล่อนลืมตาโพลง พลิกตัวกลับมานอนหงาย ส่งสายตาจิกกัดให้อีกคน หากนัยน์ตาคู่คมสามารถปล่อยพลังแสง ให้ผ่าร่างคนตรงหน้าแยกเป็นสองส่วนได้...ภาวินีคงทำไปแล้ว

“เมไม่ได้ขู่นะคะ” เมธาวีสบตาอีกคนโดยไม่หลบ เธอไม่ได้พูดอะไรที่โกหกไม่จำเป็นต้องกลัว แล้วกล่าวต่อเสียงอ่อน “เมแค่เป็นห่วง อยากให้คุณภาหายเร็วๆ ต่างหาก”

หล่อนจ้องหน้าคนพูดเขม็ง ราวกับจะหาความจริงใจของอีกฝ่าย ว่ามีมากน้อยเพียงใด...แต่ก็ไม่เจอกับความเท็จใดๆ แฝงมา

'ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย?'

ภาวินีคิดในใจ ลังเลที่จะทำตามความเห็นของคนตรงหน้า

การให้ทานยาเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลย ก็ยาเม็ดส่วนใหญ่ขมเหลือเกิน ...แต่ถ้าต้องฉีดยาเป็นเรื่องที่แย่เสียยิ่งกว่าแย่

เมธาวีกลอกนัยน์ตาคู่สวยอย่างใช้ความคิด แล้วไอเดียดีๆ ก็ผุดขึ้น

“เอางี้ไหมคะ ถ้าหากคุณภายอมทานยาครบทุกมื้อ เมจะทำอาหารอร่อยๆ มาฝากวันละหนึ่งอย่าง ตามแต่คุณภาจะเลือกเลย มีข้อแม้ข้อเดียวคือต้องไม่ใช่อาหารที่แสลงกับโรค...สนใจไหมคะ?”

“พูดจริงหรือเปล่า?” เสียงแหบแห้งของคนป่วยถามย้ำ

“จะให้เมเริ่ม ตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้ค่ะ” ร่างสูงพูดหนักแน่น

นักออกแบบสาวหยุดคิด ดูเหมือนข้อเสนอนี้มีแต่ได้กับได้

“งั้นตกลงตามนั้น”

“สัญญาค่ะ” เมธาวีไม่พูดเปล่า ยื่นนิ้วก้อยขวาออกมาตรงหน้า

ภาวินีเหลือบมอง แต่นิ่งไม่ยอมคล้องนิ้วด้วย พลางส่งสายตาดุๆ ให้แบบตำหนิกลายๆ

'เพี้ยนหรือเปล่า?...ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ'

“นะคะ...นะ” เชฟสาวยังคงพยักหน้าพยักพเยิด จนสุดท้ายนิ้วเรียวของคนป่วยก็ยอมมาเกี่ยวกับนิ้วของอีกคน...แบบแตะๆ

“ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้” ร่างบางบ่นกระปอดกระแปด รีบชักนิ้วเรียวของตนออกอย่างเร็ว รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องทำอะไรอย่างนี้ จำไม่ได้ว่าทำแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

สาวร่างสูงอมยิ้มในหน้า รู้สึกดีใจที่แผนการขั้นแรกสำเร็จ แต่ปัญหาคือ...ด่านต่อไปต่างหาก

“ทานยาก่อนนะคะ” เมธาวีเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน

เมื่อเห็นคนป่วยพยักหน้า จึงประคองหล่อนให้นั่งเอนหลังพิงหมอน ก่อนลุกไปหยิบกระติกน้ำขิงที่ติดมือมาด้วยเมื่อคืน เปิดฝาแล้วเทน้ำขิงอุ่นๆ ใส่แก้วสูงประมาณครึ่งแก้ว หยิบยาลดไข้ออกมาใส่ถ้วยแก้วใบเล็ก แล้วถือแก้วสองใบไว้ในมือ ก้าวช้าๆ มาหยุดข้างเตียงหล่อน

“ถ้าคุณภาทานยา แล้วดื่มน้ำขิงตาม จะไม่ค่อยขมนะคะ”

“จริงเหรอ?” คนป่วยทำท่าสนใจ นัยน์ตาคู่คมฉายแววสุกใส หากเป็นไปตามที่อีกคนบอกจริง...การทานยาก็คงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป

“ลองดูสิคะ” เมธาวียื่นถ้วยยาให้ก่อน

หล่อนมองของตรงหน้าอย่างลังเล ก่อนยื่นมือเรียวรับมาทาน แล้วดื่มน้ำขิงตาม แล้วก็ต้องทำหน้าแปลกใจ เมื่อยานั้นไม่ค่อยขมจริงๆ

เชฟสาวประคองให้ร่างบางนอนลงตามเดิม ห่มผ้าให้จนสูงถึงลำคอ ก่อนถามสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการตามที่ตกลงกันไว้

“ว่าแต่วันนี้ คุณภาอยากทานอะไรคะ?”

OoXoO



Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2558 12:20:21 น. 0 comments
Counter : 1821 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com