ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
<<
กุมภาพันธ์ 2558
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
13 กุมภาพันธ์ 2558
 
 
ปรารถนารัก...อีกสักครั้ง? Believe...Again? (Yuri) ตอนที่ 7

เพลง ก้อนหินก้อนนั้น - โรส

https://www.youtube.com/watch?v=Y0Oiq0qxLTs

-๗-

วันรุ่งขึ้น เมธาวีมายืนรออยู่หน้าห้องอาหารก่อนเวลานัดเจ็ดโมงเช้าเล็กน้อย โดยมีเป้สีเข้มสะพายไหล่ รอไม่นานภาวินีก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมหมวกใบโตสีฉูดฉาด กับแว่นกันแดดขนาดใหญ่สีเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตฮาวายลายดอกไม้สีขาวแดง กางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลไหม้ รองเท้าคัทชูสีดำ

“รอนานไหม?” เสียงหวานๆ ของหล่อนถามไกด์จำเป็นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“ไม่นานค่ะ” เชฟสาวตอบเสียงเรียบ สายตาคู่หวานสอดส่ายสำรวจการแต่งกายของเพื่อนร่วมทาง

'แต่งตัวหยั่งกะจะไปเดินแบบ…สมแล้วที่เป็นนักออกแบบ'

สาวร่างสูงคิด แต่ไม่กล้าพูดออกมาดังๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่องชวนทานมื้อเช้าขณะเข้าไปด้านในห้องอาหาร

“เช้านี้จะรับข้าวต้ม หรืออาหารฝรั่งพวกขนมปังดีคะ?”

“ข้าวต้มดีกว่า”

“เครื่องดื่มล่ะคะ?” เชฟสาวถามต่อ

“กาแฟค่ะ” หล่อนตอบอย่างไม่ลังเล ติดนิสัยดื่มกาแฟทุกเช้า

“รอสักครู่ค่ะ”

เมธาวีผายมือให้หล่อนนั่งโต๊ะว่างที่อยู่ใกล้ประตู แล้วไปจัดการตักอาหารบุฟเฟ่ที่วางไว้หลายถาดบนโต๊ะกลางห้อง ไม่กี่นาทีก็ยกถาดข้าวต้มมาพร้อมกาแฟร้อน ที่มีครีมเทียมและน้ำตาลอย่างละสองซองวางอยู่

“ขอบคุณค่ะ” ภาวินีกล่าวเบาๆ กับ ‘เด็กเสิร์ฟกิตติมศักดิ์’

หล่อนหยิบช้อนตักข้าวต้มหอมๆ ตรงหน้าขึ้นเป่าไอร้อนสองสามครั้ง แล้วชิมรู้สึกพึงพอใจกับรสชาติที่อร่อยถูกปาก โดยแทบไม่ต้องเติมอะไรอีกนอกจากโรยพริกไทยเท่านั้น

“เอ่อ รสชาติพอใช้ได้ไหมคะ?” เชฟสาวถามเสียงสั่นๆ หลังเห็นหล่อนตักทานไปแล้วสองสามคำ...แอบลุ้นว่าจะได้รับคำตอบอย่างไร?

หล่อนเงยหน้าจากอาหารตรงหน้า แล้วถามกลับ

“ฝีมือน้องเม?”

“ค่ะ” สาวร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อย

“ก็ดีนี่” สาวสวยตอบเสียงเรียบแบบกลางๆ ไม่อยากหลุดคำชมใดๆ ออกมา แม้จะอร่อยมากขนาดไหนก็ตาม...เดี๋ยวอีกฝ่ายจะได้ใจ

'ตื่นมาทำตั้งแต่กี่โมงเนี่ย?...จะขยันไปไหม'

นึกแอบชมที่อีกคนที่ขยันมาก ขนาดจะไปเที่ยวยังลุกมาทำอาหารเช้าไว้ให้ลูกค้าอีก ไม่แปลกใจที่น้าสาวของหล่อนจะโปรดปรานอีกฝ่ายนัก

'ค่อยยังชั่วหน่อย'

เมธาวีคิดอย่างโล่งอก อย่างน้อยสิ่งที่ได้ยินไม่เป็นลบก็ดีใจมากแล้ว ขนาดรสรินน้าสาวของเธอทำอร่อยกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า หล่อนยังไม่เคยชมสักคำนับประสาอะไรกับเธอ

“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวเบาๆ

'ประชดหรือเปล่าเนี่ย?'

ภาวินีเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อมองหน้าคนพูดว่า ‘จริงใจ’ แค่ไหน? แต่ไม่เห็นสิ่งผิดสังเกต จึงเบนความสนใจไปยังข้าวต้มต่อ ทั้งสองไม่คุยอะไรกันเลยสักคำจนกระทั่งทานเสร็จเรียบร้อย

“จะไปกันหรือยัง?” สาวสวยเอ่ยถามเพื่อนร่วมทาง ตอนนี้อยากจะออกไปผจญภัยแย่แล้ว

“ไปค่ะ รถรออยู่ตรงโน่น” เมธาวีชี้ไปยังลานจอดรถที่มีโตโยต้าคัมรีสีขาวของรีสอร์ตจอดรออยู่

หล่อนก้าวเท้าจะเดินไปขึ้นรถ แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำถาม

“คุณภามีพลาสเตอร์ปิดแผล มาด้วยหรือเปล่าคะ?”

“ไม่มีหรอก น้องเมจะใช้เหรอ” ร่างบางถามกลับด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่ค่ะ เมจะให้คุณภาใช้ต่างหาก” เชฟสาวตอบเสียงเรียบ

หล่อนไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ขมวดคิ้วเรียวบางเข้าหากัน ก่อนพูดเสียงเข้มกว่าเดิม

“ฉันจะใช้ทำไม ฉันไม่ได้เป็นแผลสักหน่อย”

“ถ้าใช้พลาสเตอร์ปิดเหนือสะดือ จะได้ไม่เมาเรือค่ะ” หญิงสาวพูดหน้าตาย

ภาวินีทำหน้างง

'พลาสเตอร์กับเมาเรือ...มันเกี่ยวอะไรกัน?'

เมื่อเห็นอีกคนทำหน้าสับสนดูน่ารักเหลือเกิน เมธาวีจึงกลั้นหัวเราะไว้ต่อไปไม่ไหว หลุดหัวเราะคิกคักออกมาจนน้ำหูน้ำตาเล็ด

“คริ คริ คริ”

ร่างบางถึงได้รู้ว่าตนเองโดนอำเข้าเต็มเปา จึงว่าเสียงเขียวออกมา

“นี่เธอกล้าหลอกฉันเหรอ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เชฟสาวยังคงหัวเราะไม่หยุด และเสียงดังขึ้นกว่าเก่า

เพี๊ยะ!

หล่อนยกมือตีไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรง ด้วยความหมั่นไส้แกมขุ่นเคือง ไม่นึกว่าจะโดนคนหน้าตายหยอกล้อแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้

“อูย...มือหนักชะมัด” เมธาวีบ่นกระปอดกระแปด ใช้มือลูบตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บที่คาดว่าคงแดงช้ำไปเรียบร้อยแล้ว

“ไปได้แล้ว” นักออกแบบสาวกล่าวเสียงดุ หันหลังก้าวเท้าเร็วๆ ไปขึ้นรถทันทีโดยไม่สนใจคนช่างแกล้งอีก

'ซวยแล้วเรา'

ร่างสูงครางในใจ ก่อนตามขึ้นรถแบบหวาดๆ ไม่นึกว่าจะได้รับการตอบสนองเป็นลบ เริ่มวิตกว่าการเที่ยววันนี้จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมแทนหรือเปล่า?


คนขับรถเริ่มเคลื่อนพาหนะอย่างนิ่มนวล ไปยังท่าเรือชายหาดอ่าวสามร้อยยอด ทั้งสองนั่งเบาะหลังคู่กัน ต่างคนต่างเงียบกริบเหมือนลืมพกปากมาด้วย

ภาวินีนั่งมองออกนอกกระจก ชมวิวทิวทัศน์กินบรรยากาศสวยงาม ปั้นหน้านิ่งไม่สนใจมองคนข้างๆ เลยสักนิด ประหนึ่งมาเที่ยวเพียงลำพัง ในใจยังนึกหงุดหงิดเพื่อนร่วมทางที่มาหาเรื่องกวนประสาทแต่เช้า

เมธาวีชำเลืองมองอีกฝ่ายผ่านทางหางตาบ่อยครั้งและรู้ว่าอาการปั้นปึ่งนั้นยังคงมีอยู่ จึงได้แต่ยอมรับชะตากรรม

'ทำไงดีเนี่ย?'

เชฟสาวครุ่นคิดหาวิธีง้อ หากปล่อยไว้นานเกินอาจมีดอกเบี้ยสะสมทบต้น จึงตัดสินใจรีบง้อแต่เนิ่นๆ น่าจะดีที่สุด

“ลูกอมไหมคะ?” เมธาวีเอ่ยชวนขึ้นเสียงแผ่ว

หล่อนหันมองคนถามแวบหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งๆ แววตาคมกริบ ก่อนหันมองนอกหน้าต่างตามเดิม พูดขึ้นลอยๆ เสียงเข้ม

“ฉันไม่ชอบลูกอม”

“เอาไว้อม เผื่อเมาเรือน่ะค่ะ”

คำว่า ‘เมาเรือ’ ทำให้คนฟังหันขวับจ้องหน้าคมของอีกคน ประหนึ่งจะเช็คว่ามีแกล้งก๊อกสองหรือเปล่า?...แต่หาสัญญาณพิรุธไม่ได้เลย

สายตาดุๆ ทำให้เธอร้อนตัวรีบอธิบายจนลิ้นแทบจะพันกัน ก่อนที่จะโดนวีนอีกรอบ

“คนที่ไม่ค่อยลงเรืออาจไม่ชิน เมเลยหยิบติดมือมาด้วย...บ๊วยเค็มก็มีนะคะ”

เมธาวีรู้มาจากนงรามว่า คนสวยชื่นชอบบ๊วยเค็มเป็นพิเศษ จึงเอามาด้วย ไม่นึกว่าจะได้ใช้ประโยชน์แต่หัววัน และหวังว่าจะได้ผล

“ไว้ฉันอยากได้ แล้วจะบอก” หล่อนแสร้งตอบเสียงเย็น เบือนหน้าไปแอบยิ้มกับวิวด้านนอก โดยที่อีกคนไม่เห็น และนั่งคอตก

'รู้ดีนักเชียว'

ภาวินีนึกชอบใจในความละเอียดอ่อนของคนข้างตัว ที่ช่างเอาใจใส่ในทุกๆ เรื่อง รวมถึงเครื่องดื่มแก้เมาค้างเมื่อวานที่นงรามเอาไปให้ดื่ม ทำให้หล่อนฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คิด แทบจะหายมึนหัวเป็นปลิดทิ้งหลังดื่มหมดแก้ว

ร่างบางอารมณ์ดีขึ้นต่างจากตอนขึ้นรถลิบลับ ชื่นชมกับวิวทิวทัศน์แสนสวยที่รถผ่าน มีแต่ต้นไม้สีเขียวสวยขึ้นรกหนาตาตลอดสองข้างทาง ไม่แห้งแล้งเหมือนป่าคอนกรีตในเมืองกรุงที่มีต้นไม้แทบจะนับนิ้วได้

ส่วนเชฟสาวยังเข้าใจว่าหล่อนไม่หายโกรธ ได้แต่นั่งหน้าเศร้า หมดมุกจะง้ออีกฝ่าย เพิ่งถึงบางอ้อว่า ‘เจ้าหญิงและแม่มด’ ที่ผู้เป็นน้าเคยพูดถึงภาวินีไว้ก็ตอนนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด

'แล้วจะง้อยังไงล่ะเนี่ย?'


เมื่อวานตอนหัวค่ำ รสรินขอร้องหลานสาวด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ขัดใจคนรักไม่ได้ จึงเอ่ยปากกับเมธาวีตรงๆ

“จะให้เมไปเที่ยวกับคุณภา?” เชฟสาวถามย้ำอีกครั้ง

“ใช่ พี่นงให้น้ามาชวนเม ไปพรุ่งนี้เช้านะ”

“พรุ่งนี้?” ทำหน้าแปลกใจที่มานัดกะทันหัน

“ใช่ ทำไมเหรอ?”

“แล้วน้ารสจะไหวเหรอคะ? ถ้าเมไม่อยู่” ผู้เป็นหลานถามอย่างเป็นห่วง ช่วงนี้มีลูกค้าเข้าพักเยอะกว่าที่คาดไว้ ทำให้เหล่าแม่ครัวและผู้ช่วยต้องทำงานหนักขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ไม่ไหวก็ต้องไหวนั่นแหละ” รสรินได้แต่ยอมรับสภาพ “อย่างมากก็จ้างคนมาช่วยเพิ่มอีก ไม่มีปัญหาหรอกเรื่องนั้น”

“งั้นเมไปกับคุณภาก็ได้ค่ะ” ตัดสินใจรับปากในที่สุด

“พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าที่หน้าห้องอาหารนะ เอารถรีสอร์ตไป ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอาบิลมาเบิกที่น้า”

“ค่ะ” เมธาวีตอบตกลง รู้ดีว่ารสรินค่อนข้างจะตามใจนงราม และเธอก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ผู้ใหญ่สองคนขัดใจกันด้วยเรื่องเล็กน้อย

‘จู่ๆ ก็ได้พักร้อนไปเที่ยวฟรี ดีเหมือนกัน’

เชฟสาวคิดในทางบวก ตื่นเต้นปนเกร็งนิดๆ ที่จะได้เที่ยวกับหล่อน

“จำไว้นะ อย่าพยายามทำให้คุณภาโกรธ หรือหงุดหงิดเป็นอันขาด เข้าใจไหม?” รสรินกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนทิ้งท้าย “น้าไม่อยากให้เมซวยเหมือนน้า”

“อา ค่ะ” เมธาวีรับคำด้วยท่าทางไม่เข้าใจสักเท่าไหร่


ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถคันหรูก็ไปถึงท่าเรือ เพื่อไปยังจุดหมายป้ายแรกของวันนี้...เกาะนมสาว

เชฟสาวจัดการซื้อตั๋วเรือเรียบร้อย ก่อนชวนหล่อนลงเรือ เพื่อนั่งรอเวลาออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เรือนี้มีขนาดเล็กแค่ 25 ที่นั่ง การเดินทางเป็นแค่ช่วงสั้น ประมาณสิบกว่านาทีจะถึงเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่เรียงรายอยู่กลางทะเลตรงหน้า แต่กว่าจะลัดเลาะครบทุกสถานที่ตามโปรแกรมของเรือ กินเวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกัน

“ที่นี่สวยจัง” หล่อนเอ่ยขึ้นลอยๆ

สายตาคู่คมกวาดมองลงไปยังแผ่นน้ำสีฟ้าสวยใสสะอาด ต่างจากหาดทรายแห่งอื่นที่น้ำทะเลไม่ได้น่าดูชมแบบนี้ ความงามของธรรมชาติทำให้ภาวินีอดไม่ได้ที่จะยกมือถือขึ้นบันทึกรูปเป็นระยะ นึกเสียดายที่ไม่ได้เอากล้อง DSLR ที่อยู่คอนโดติดมือมาด้วย จะได้มีภาพที่สวยงามกว่านี้

เมธาวีหยิบกล้องรุ่น Semi-pro พร้อมเลนส์ 18-135 mm. ขึ้นมาเก็บภาพบ้าง ช่วงที่ทำงานอยู่ปราณบุรีสองปี ได้ตระเวนเที่ยวสถานที่สำคัญต่างๆ เกือบครบทั้งหมดแล้ว เรียกว่าทำหน้าที่เป็นไกด์ได้อย่างสบายๆ

“หาดทรายที่เกาะนมสาว สวยกว่าที่นี่อีกนะคะ” เธอหาเรื่องชวนคุย

หล่อนเอี้ยวตัวมองเพื่อนร่วมทางก่อนตั้งคำถาม

“จริงเหรอ...ว่าแต่ทำไมถึงเรียกว่าเกาะนมสาวล่ะ? ฟังแล้วแปลกๆ”

สาวร่างสูงนึกดีใจที่อย่างน้อยอีกฝ่ายเริ่มคุยด้วย ไม่เย็นชาใส่แบบที่กังวล ไม่งั้นทัวร์วันนี้คงเย็นเยือก...ไม่ต่างจากไปเที่ยวขั้วโลกเป็นแน่

“เป็นตำนานพื้นบ้านค่ะ เรื่องของตาม่องล่ายที่เล่าขานว่า เหตุเกิดที่อ่าวน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตาม่องล่ายและยายรำพึงมีลูกสาวสวยชื่อยมโดย มีเจ้าลายจากเพชรบุรี และเจ้ากรุงจีนมาชอบพอและสู่ขอ โดยเจ้าลายสู่ขอจากยายรำพึง ส่วนเจ้ากรุงจีนขอจากตาม่องล่าย โดยที่ยายกับตาไม่ได้ปรึกษากัน”

“ยกลูกสาวให้แต่งงาน แต่พ่อแม่ไม่ปรึกษากันเนี่ยนะ” ภาวินีพูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมบิดามารดาของยมโดย ถึงได้ละเลยที่จะคุยกัน

“ใช่ค่ะเรื่องก็เลยยุ่ง เพราะสองฝ่ายยกขันหมากมาถึงพร้อมกัน ต่างอ้างสิทธิ์ที่จะแต่งงานกับยมโดย ตากับยายจึงทะเลาะกัน ตาม่องล่ายพาลโกรธยมโดย จึงได้จับฉีกเป็นสองซีก ร่างซีกหนึ่งขว้างไปทางทิศตะวันออก กลายเป็นเกาะนมสาวที่จังหวัดชลบุรี อีกซีกขว้างไปทางทิศเหนือกลายเป็นเกาะนมสาวที่บ้านบางปู ตำบลสามร้อยยอด มีหาดเล็กๆ ยาวประมาณห้าสิบเมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่นมสาวที่เรากำลังจะไปกันวันนี้”

“น่าสงสารจัง” ภาวินีพูดพึมพำ ใบหน้าหวานเศร้าหมองลง

ร่างบางรู้สึกเห็นใจกับความโชคร้ายของเจ้าแม่นมสาวไม่น้อย บางคนก็ต้องเจอกับเรื่องร้าย ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ หรือจะเป็นผลกรรมจากชาติก่อนๆ เจ้ากรรมนายเวรถึงได้มาทวงคืนก็อาจเป็นได้

แม้จะเป็นนักเรียนนอก แต่หล่อนก็ยังเป็นชาวพุทธที่เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม

ได้แต่แอบหวังว่า จะไม่มีโศกนาฏกรรมร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในโลก ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยากมาก จะมีสักกี่คนบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ที่โชคดีสมหวังในความรัก และได้อยู่ร่วมกันจนวันสุดท้ายของชีวิต

...คิดๆ แล้วคนสมหวังคงมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

นักออกแบบสาวเหม่อมองท้องน้ำสีฟ้าใส ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ครุ่นคิดถึงความรักแสนเศร้าของตนเอง

บางทีการได้รู้ว่า พีระนอกใจ อาจเป็นโชคดีของหล่อน หากรู้เรื่องมากรักหลายใจของเขาหลังแต่งงานไปแล้ว คงรู้สึกแย่กว่านี้มาก ดีไม่ดีอาจจะทำอะไรตื้นๆ แบบที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวันก็ได้ ใครจะรู้

ภาวินีเบนสายตาคู่คมมองไปยังหมู่เกาะที่อยู่ลิบๆ เบื้องหน้า

'อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่โชคร้ายเหมือนเจ้าแม่นมสาว'

เมธาวีชายตามองเพื่อนร่วมทาง เห็นความหมองเศร้าในแววตาคู่คมสวยตรงหน้า จึงเดาได้ว่าหล่อนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องตัวเอง จึงปิดปากเงียบ เพราะคิดว่าตนเองคงช่วยอะไรไม่ได้

หากพูดมากทำเป็นอวดรู้...อาจโดนวีนรอบสอง จึงเสมองไปทางอื่น ในใจแอบคิดถึงสัจธรรมของโลก

'ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวัง ได้ดั่งใจไปซะทุกอย่าง...นี่แหละโลกมนุษย์'

เมื่อเรือออกแล่นไปบนท้องทะเล สายลมพร้อมกลิ่นเค็มของท้องน้ำปะทะใบหน้า ทำเอาทรงผมที่เซทมาอย่างดียุ่งเหยิง หล่อนยกมือขึ้นปัดปอยผมไม่ให้มาเกะกะสายตาและดึงหมวกไว้ไม่ให้ปลิว เพียงไม่นานเรือเร็วนั้นก็พาไปใกล้จุดหมายปลายทางแห่งแรก

ภาวินีอดตื่นเต้นไม่ได้กับภาพความงามที่ธรรมชาติปรุงแต่งเอาไว้อย่างดี ชายหาดสีสวยที่มีแนวปะการังทอดยาวกว่าห้าสิบเมตร จึงเอ่ยชมและฉีกยิ้มสวยออกมาเต็มหน้า

“ว้าว สวยมากเลย”

เมธาวีชำเลืองมองภาวินี ที่ตอนนี้แสดงอาการไม่ต่างจากเด็กตัวน้อยเจอของถูกใจ นึกโล่งอกหายใจทั่วท้องขึ้นมานิดนึง เชื่อว่าอีกคนคงไม่เหลือความขุ่นใจเรื่องเมื่อเช้าแล้ว

คนเรือจอดเรือห่างจากฝั่งพอสมควร เพราะเกรงจะเกยตื้น ต้องปล่อยให้ผู้โดยสารสิบกว่าคนปีนลงไปยืนในน้ำทะเลที่สูงประมาณเข่า

เมธาวีลงไปก่อนแล้วส่งมือให้หล่อนจับ ภาวินีชะงักไม่ยอมยื่นมือให้อีกฝ่าย เรื่องแค่นี้ไม่ยากสักหน่อย หล่อนตัดสินใจจะลงด้วยตัวเอง แต่แล้วเมื่อหยั่งขาถึงพื้นทรายเกิดเหยียบพลาด

“ว้าย!”

ร้องอุทานออกมา เคราะห์ดีที่สาวร่างสูงระวังตัวไว้ก่อน คว้าเอวของอีกฝ่ายมากอดแนบตัว ทำให้หล่อนไม่ต้องล้มลุกคลุกคลานเปียกปอน

ภาวินีตกใจที่ถูกสวมกอดแนบชิดกะทันหัน เผลอซบหน้าเข้ากับต้นคอเรียวของอีกคน สูดกลิ่นโคโลญจ์อ่อนๆ เข้าไปจนเต็มปอด หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเร็วแทบไม่เป็นส่ำ ตั้งแต่เกิดมาถูกคนกอดหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยรู้สึกแปลกๆ แบบนี้มาก่อน

หลายวินาทีเมธาวีค่อยๆ คลายวงแขนออกพอหลวมๆ แล้วกระซิบถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรนะคะ”

“มะ ไม่เป็นไร” สาวสวยเกิดอาการติดอ่างกะทันหัน เมื่อตั้งสติได้ก็กล่าวต่อเสียงแผ่ว “ขอบคุณ”
หล่อนรีบผละออกห่างจากร่างของอีกฝ่ายทันที ไม่ชินที่จะอยู่ใกล้กับผู้หญิงระยะประชิดตัวแบบนี้ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องผิดปกติในความรู้สึกของตนเอง

โดยส่วนตัวภาวินีไม่ได้รังเกียจหญิงรักหญิง แต่ไม่ถึงกับยอมรับได้อย่างเต็มหัวใจนัก แม้จะมีเพื่อนฝูงเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน แต่ยังคงเชื่อมั่นว่าตนชื่นชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ยังไงซะชาตินี้ หล่อนคงไม่มีทางย้ายสังกัดไปเป็นเลสเบี้ยนหรือไบเด็ดขาด...รสนิยมเรื่องนี้คงไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ นักหรอก ใช่ไหม?

'การที่หัวใจเต้นแรงคงเพราะกลัวลื่นล้ม ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสักหน่อย'

นักออกแบบสาวพยายามหาเหตุผลอธิบายความรู้สึกของตัวเอง

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?” เมธาวีถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นใบหน้าสวยขึ้นสีเรื่อ นึกเดาไปว่าหล่อนคงตกใจ

“มะ ไม่ค่ะ” ภาวินีตอบอย่างเร็ว ในใจรู้สึกผิดที่มองอีกฝ่ายไปในทางที่ไม่ค่อยดีนัก “ไปไหว้ที่ศาลกันเถอะ”

เชฟสาวพยักหน้า

ทั้งคู่ลุยน้ำเค็มไปสักการะ ‘ศาลเจ้าแม่นมสาว’ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของไทยที่เชื่อกันว่า ต้องแก้บนด้วยยกทรงของผู้หญิง โดยต่างคนต่างอธิษฐานขอพรแบบเงียบๆ ก่อนกลับลงเรือไปเที่ยวยังจุดต่อไป

“ถ้าลอดซุ้มนี้เชื่อกันว่า ชีวิตนี้จะไม่ไร้คู่ค่ะ ยังไงชาตินี้จะได้เจอรักแท้แน่นอน” ไกด์จำเป็นเล่าถึงความเชื่อของสถานที่แห่งนี้...ซุ้มลอดคู่

“เจอรักแท้?” หล่อนพูดทวนคำออกมาเบาๆ อย่างประหลาดใจ

“ใช่ค่ะ คุณภาควรจะลองดูนะคะ เชื่อไว้ก็ไม่เสียหาย” เมธาวีกล่าวเสียงเรียบจริงจัง

เธอคิดว่าภาวินีน่าจะเจอกับคนที่เหมาะสม คู่ควรมากกว่านายพีระจอมเจ้าชู้คนนั้น เชฟสาวเคยเห็นรูปถ่ายเขาจากนิตยสารผู้ชายคนนี้หน้าตาดีไม่น้อย

แต่ก็นั่นแหละ...ผู้ชายหล่อ เท่ รวย แต่งี่เง่ามีถมไป

ร่างบางปรายตามองไปยังซุ้มศักดิ์สิทธิ์ ที่ตอนนี้มีฝูงคนทยอยไปยืนต่อคิวลอดกว่าสิบคน ก่อนหมุนมาจ้องคนข้างตัว

“แล้วน้องเมเคยลอดซุ้ม ที่นี่หรือเปล่า?”

“ไม่เคยค่ะ เคยแต่ได้ยินเรื่องเล่าของหลายคนที่แวะมาสักการะที่นี่” สาวร่างสูงตอบตามความจริง

เชฟสาวเชื่อและเคารพในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ เพราะได้ยินลูกค้าหลายคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานเอ่ยถึง แต่เรื่องคู่ครองคนรักเป็นเรื่องที่เธอยังไม่อยากคิดถึงสักเท่าไหร่ มีอาการเข็ดขยาดจากแผลเก่าที่ยังเหลือร่องรอยอักเสบอยู่บ้าง

...รอยอดีตจากรักครั้งแรก ยังคงไม่อาจลบเลือนไปหมดจากหัวใจ

“งั้นดีเลย เรามาลอดซุ้มนี้พร้อมกัน” สาวสวยเอ่ยชวนขึ้น

ร่างสูงทำหน้าไม่เข้าใจ

“หืม?”

“มาสิ” ภาวินีพูดชวนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่พูดเปล่าดึงกระชับมือเรียวของอีกคนให้เดินไปด้วยกัน

เมธาวีมองมือบางของหล่อนที่จูงมือของเธออยู่ แต่ไม่ยอมขยับ จนสาวสวยหันกลับมามองหน้าอีกครั้ง เธอจึงก้าวเท้าด้วยไม่อยากขัดใจ

สองสาวเดินจับมือลอดซุ้มพร้อมกัน โดยไม่ได้รู้สึกถึงสายตามองแปลกๆ หลายคู่ของเจ้าถิ่นที่มองตามด้วยความแปลกใจระคนสงสัย

'ถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่ง ได้เจอเนื้อคู่ ฉันจะกลับมาไหว้ที่นี่อีกครั้ง'

หล่อนอธิษฐานในใจ ขณะเดินลอดซุ้มแห่งนั้น

ภาวินีกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ แต่ไม่ได้มีเจตนาคิดลบหลู่ เพราะหล่อนเชื่อว่าเมธาวีน่าจะเป็นผู้เจอเนื้อคู่มากกว่าตน บางทีรักแท้ของน้องเมอาจจะเป็น...ปรินต์หรือป้อง ไกด์หนุ่มหน้าตาดีคนนั้นก็ได้

หล่อนได้แต่หวังว่า เชฟสาวจะโชคดีเรื่องความรักมากกว่าตัวเอง

OoXoO



Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2558 17:45:29 น. 0 comments
Counter : 870 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com