แพทย์เตือนติด "ขนตาปลอม" เสี่ยงตาบอด!
วันนี้ (10 มกราคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระแสแฟชั่นใส่ขนตาปลอมกำลังเป็นที่นิยม โดยการสิ่งนำแปลกปลอมวัสดุต่าง ๆ มาติดที่ขนตา นับว่าเสี่ยงอันตรายต่อนัยน์ตา เป็นตัวทำลายดวงตาทางอ้อม เนื่องจากอาจทำให้เกิดสิ่งสกปรกมาสะสมบริเวณหนังตา และหากเก็บรักษาขนตาปลอมไม่ถูกวิธี ไม่สะอาด เมื่อนำมาติดที่ขอบตาซึ่งติดกับขนตา จึงมีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ดวงตา อาจก่อเกิดอาการแพ้ระคายเคือง อักเสบ มีโอกาสเสี่ยงถึงขั้นตาบอดได้

"อยากเตือนให้ผู้ที่ติดขนตาปลอมอยู่ ให้ระมัดระวัง เนื่องจากขนตาของคนเรา มีความสำคัญอย่างมากต่อดวงตา มีหน้าที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับดวงตา เช่น ป้องกันฝุ่นผง ฝุ่นละออง และเหงื่อไม่ให้ไหลเข้าสู่ดวงตา" นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าว

ขณะที่ นายแพทย์ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ระบุว่า โดยทั่วไป คนเราจะมีขนตาบนมากกว่าขนตาล่าง โดยขนตาบนมีประมาณ 120 เส้น ขนตาข้างล่างมีประมาณ 80 เส้น ที่โคนขนตาแต่ละเส้น จะมีต่อมไขมันและต่อมเหงื่อช่วยผลิตไขมันและน้ำไปหล่อเลี้ยงดวงตา เพื่อเคลือบกระจกตาให้ชุ่มชื้น ทำให้ดวงตาไม่แห้ง หากไม่ทะนุถนอมดวงตา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องติดขนตาปลอมและขณะดึงออก กาวที่ติดขนตาอาจจะทำให้ขนตาจริงหลุดติดมาด้วย ยิ่งทำบ่อยครั้งจะยิ่งสร้างความกระทบกระเทือนต่อขนตา ขนตาก็จะหลุดร่วง หรือเปราะบาง หักง่ายและไม่แข็งแรง ส่งผลถึงการทำลายดวงตาของตัวเองได้

นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ขนตาปลอมที่ไม่สะอาดหรือเก็บรักษาไม่ดี หรือเป็นขนตาปลอมที่ผลิตจากบริษัทที่ไม่ได้มาตรฐาน หากนำมาใช้แล้วหลุดเข้าไปทิ่มตาดำ อาจทำให้ตาดำเกิดการติดเชื้อและอักเสบตามมา มีโอกาสเสี่ยงตาบอดได้ และหากกาวติดขนตาปลอมที่ไม่มีคุณภาพเข้าตา ก็จะมีปฏิกิริยาต่อดวงตา ทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง ตาอักเสบได้เช่นกัน

"สำหรับผู้ที่ชอบติดขนตาปลอม ต้องระวังอย่างมากเรื่องความสะอาด ไม่ควรใช้ขนตาปลอมร่วมกับคนอื่น หรือไม่ควรติดขนตาปลอมติดต่อกันนาน ๆ ควรหยุดพักบ้าง ประการสำคัญหากมีอาการแพ้หรืออักเสบหลังติดขนตาปลอม เช่น เกิดผื่นแดง มีตุ่มหนองใส อักเสบ บวม แสบหรือระคายเคือง ต้องรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที ส่วนการถนอมขนตาให้แข็งแรง ไม่หลุดร่วง มีหลายวิธี เช่น กินอาหารที่มีกรดโฟลิค ซึ่งมีในตับ ผักใบเขียว ยีสต์ซึ่งมีในขนมปังและนมเปรี้ยว และธาตุสังกะสีซึ่งมีในหอยนางรม ตับ เนื้อ ถั่ว ธัญพืช อาหารทะเล และไข่ เป็นต้น" นายแพทย์ฐาปนวงศ์ กล่าว




ข้อมูลจาก เดลินิวส์



Create Date : 10 มกราคม 2553
Last Update : 10 มกราคม 2553 17:01:58 น.
Counter : 956 Pageviews.

1 comments
  
รบกวนช่วยตอบแบบสอบออนไลน์เพื่อการศึกษาหน่อยค่ะ
ตาม link
//spreadsheets.google.com/viewform?formkey=dFBZSVJOeks5QUJxeHVGNy1ISlplMnc6MA
ขอบคุณค่ะ
โดย: kaewnumsai วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:13:19:33 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Caffein Dog
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



Group Blog
มกราคม 2553

 
 
 
 
 
1
2
6
8
9
11
12
13
14
16
21
22
24
25
29
 
 
All Blog