5 ปัจจัยเสี่ยงทำร้าย"มดลูก"
ศาสตราจารย์นายแพทย์ สมบูรณ์ คุณาธิคม เลขาธิการราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย มาตอบคำถาม "ปัญหาสุขภาพมดลูก" อย่างกระจ่าง ...ดังนี้

"สิ่งแรก ๆ ที่ทำให้เราทราบว่าเกิดความผิดปกติกับมดลูกและระบบสืบพันธุ์ของสตรี คือ การเกิดเลือดออกผิดปกติ และประจำเดือนที่คลาดเคลื่อน หรือขาดหายไป ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากระบวนการทำงานของฮอร์โมนที่ผิดปกติ และมีต้นเหตุจากหลายประการ..."

ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติ

"ในกรณีที่พยาธิสภาพของรังไข่ของบางคน อาจมีการทำงานที่ผิดปกติอยู่แล้ว เช่น การทำงานของต่อมไทรอยด์อาจมีปัญหา จึงส่งผลให้การผลิตฮอร์โมน เพื่อมาควบคุมรังไข่ทำงานไม่เป็นไปตามปกติ ...นี่เป็นส่วนเดียวที่เราไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติได้ นอกเหนือจากนั้นเราต้องรู้จักดูแลตัวเองครับ"

อ้วนเกิน-ผอมเกิน-เครียดเกิน

"บางคนอ้วนมากเกินไป บางคนผอมเกินไป หรือ บางคนก็เคร่งแครียด และวิตกกังวลมาก ๆ ทั้งสามปัจจัยนี้อาจส่งผลให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของรัง ไข่ทำงานได้ไม่เป็นปกติไปจนถึงยับยั้งการตกไข่ คนกลุ่มนี้จึงมักมีปัญหาประจำเดือนคลาดเคลื่อนไปจนถึงขาดหาย หรือมีเลือดออกผิดปกติได้"

ยา และอาหารทำร้ายมดลูก

"ทุกวันนี้มีคนที่รับยา (ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ) หรือสารอาหารบางประเภทที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนผสมอยู่เยอะ ๆ ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้เป็นอีกเรื่องที่คอยระวัง เพราะอาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งโพรงมดลูกได้"

นอกจากนี้คุณหมอสมบูรณ์บอกว่า การป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจส่งผลร้าย ทำให้เป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับมดลูกได้ สอดคล้องกับที่ดร.สาทิส อินทรกำแหง กูรูของชาวชีวจิตเคยอธิบายไว้ว่า การรับประทานอาหารหวาน หรือขนมหวานต่าง ๆ มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นซีสต์ที่มดลูกหรือรังไข่ และนำมาซึ่งการเป็นมะเร็งเกี่ยวกับมดลูกได้ต่อไป ดังนั้นหากคุณผู้หญิงคนไหนชื่นชอบการทานขนมหวาน หรือกำลังประสบปัญหาโรคเบาหวานอยู่ ต้องดูแลระมัดระวังตัวเองให้ดีนะคะ

เพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

"การเกิดการอักเสบติดเชื้อภายในมดลูก จะเริ่มต้นมาจากการติดเชื้อที่ช่องคลอดก่อน แล้วเข้ามาสู่มดลูก ท่อนำไข่ (ปีกมดลูก) และรังไข่ ซึ่งเรียกโดยรวมว่าเป็นอาการ "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" ซึ่งส่วนใหญ่อาจมีผลมาจากการมีเพศสัมพันธุ์ที่เสี่ยง คือ คู่สมรสมีคู่นอนหลายคน ทำให้โอกาสที่จะได้รับเชื้อบางอย่างที่ทำให้มีการอักเสบนั้นเกิดได้สูง ยกเว้นเพียงในบางรายเท่านั้นที่เราพบว่า มีอาการไส้ติ่งอักเสบแล้วเรื้อรังมาอักเสบต่อยังปีกมดลูกได้"

ป้องกันและแก้ไข ให้มดลูกแข็งแรง

"สำหรับคนที่ยังไม่เจ็บป่วย สุขภาพที่ดีของมดลูกเป็นผลโดยอ้อมจากการดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจให้สมบูรณ์แข็งแรงครับ เพราะเมื่อสุขภาพเราดี กินอาหารที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายก็จะเป็นปกติ และส่งผลให้มดลูกและรังไข่ มีการเปลี่ยนแปลงตามรอบเดือนได้อย่างที่ควรจะเป็นเช่นกัน"

"แต่สำหรับใครที่เกิดปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมา เราสามารถแก้ไขตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นให้กลับมาเป็นปกติได้ ยกตัวอย่างเช่น คนที่น้ำหนักมากเกินก็ควรลดน้ำหนักลงมา ซึ่งเพียงคุณลดได้สักร้อยละ 5-10 จากน้ำหนักตัวเดิม ประจำเดือนก็จะเริ่มมาเป็นปกติขึ้นแล้วครับ"

"ส่วนเรื่องยาและอาหารเสริมที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนปริมาณมาก ก็ควรเลี่ยง และต้องดูแลสุขภาพให้ดี โดยเฉพาะหากเป็นโรคเบาหวานก็ต้องรักษาให้หายขาด และออกกำลังกายสม่ำเสมอ"

ต่อไปนี้เป็น "ท่าบริหารช่องคลอดเพื่อสุขภาพมดลูก และป้องกันกระบังลมหย่อน" ที่คุณหมอแนะนำค่ะ

"สำหรับคุณผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร นอกจากบริหารเพื่อให้หน้าท้องและรูปร่าง กลับมาสมส่วนเหมือนเดิมแล้ว การกายบริหารบริเวณช่องคลอดก็มีความสำคัญ เพราะสตรีที่คลอดลูกหลายครั้งมักมีอาการ "กระบังลมหย่อน" หรือ "มดลูกหย่อน" แต่แก้ไขได้ไม่ยาก คือ หลังจากแผลทำคลอดหายเจ็บแล้ว ให้ใช้ "วิธีขมิบก้นแล้วคลาย" ซ้ำ ๆ ประมาณ 50-100 ครั้งต่อวัน สามารถทำได้แทบทุกเวลาแม้ทำกิจกรรมอื่นอยู่ การทำแบบนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่หย่อนอยู่บริเวณรอบ ๆ ผนังช่องคลอดแข็งแรงขึ้น"

นอกจากนี้ เราขอแนะนำ "ท่าแถม" ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของการรำกระบอง ที่ชาวชีวจิตทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีค่ะ ท่านี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของอัณฑะและรังไข่ได้เป็นอย่างดี

เริ่มจากยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย หลังจากนั้นนำกระบองมาไว้ด้านหลังลำตัวบริเวณเอวโดยใช้สองแขนคล้องเอาไว้ นำฝ่ามือมาประสานกันหรือวางราบตรงหน้าท้อง หลังจากนั้นเขย่งปลายให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ และลดตัวลงนั่งโดยยังเขย่งปลายเท้าอยู่ ตามองตรง หลังตรงไม่ก้ม และขย่มตัวให้ก้นแตะส้นเท้า 3 ครั้ง และค่อย ๆ ยืนขึ้น ทำแบบนี้ประมาณ 20-30 ครั้งต่อวันค่ะ

นอกจากการออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของมดลูกแล้ว คุณหมอสมบูรณ์ยังแนะนำว่า การอยู่แบบ "คู่สามี-ภรรยาเดียว" ก็ช่วยแก้ปัญหาเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ทุกประเภท เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ต้องปฏิบัติจริงจัง จะพูดแต่เพียงลมปากไม่ได้ค่ะ

ไขข้อคาใจ "เรื่องเล่า" เกี่ยวกับมดลูก

ทำไมคนวัย 40 ปีขึ้นไปจึงตัดมดลูก กันเยอะขึ้น

"เหตุผลที่คนวัย 40-45 ปีขึ้นไปผ่าตัดมดลูกกันเยอะ เป็นเพราะโรคที่เกี่ยวกับมดลูกนี้มักจะแสดงอาการเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไปแล้วเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในวัยรุ่น หรือวัยสาวมักจะไม่ค่อยเป็นกัน ส่วนเหตุผลที่ผู้ป่วยแต่ละคนจะ "ตัด" หรือ "ไม่ตัด" มดลูกนั้น ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ครับ"

"เราพิจารณาโรคที่เกี่ยวกับมดลูกออก เป็น "โรคที่ไม่ร้ายแรง" ก็ได้แก่ เนื้องอกมดลูก และมดลูกหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคพวกนี้ถือว่าไม่ร้ายแรง ส่วนใหญ่ทำการรักษาแต่ไม่ผ่าตัด ยกเว้นในกรณีที่บางโรคก่อความรำคาญหรือก่อปัญหาต่อสุขภาพมาก ๆ เช่น ในกรณีของมดลูกหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ หากทำให้ปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง เพราะมีพังผืดเยอะ รักษาด้วยยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น หรือในกรณีของเนื้องอกในมดลูก หากมีขนาดใหญ่มาก หรือทำให้มีประจำเดือนมาก ๆ หรือไปกดเบียดทำให้ปัสสาวะไม่สะดวก กรณีเหล่านี้อาจจะมีการพิจารณาให้ผ่าตัดมดลูกได้เช่นกัน"

"ต่อมา คือ "โรคที่ร้ายแรง" ได้แก่ โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ อันนี้ก็ต้องมีกระบวนการรักษาตามแบบของโรคมะเร็งต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการผ่าตัดออกครับ"

นั่งยองๆ เป็นอันตรายต่อมดลูกจริงหรือ

"ก็เคยได้ยินเหมือนกันครับว่า หลายคนไม่กล้านั่งยองเพราะกลัวมดลูกหย่อน แต่จริง ๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้มดลูกคนสตรีเกิดอาการหย่อนได้ นอกจากการคลอดบุตรแล้วก็ยังมีอีกหลายสาเหตุ เช่น คนที่ท้องผูกเรื้อรัง ไอเรื้อรัง หรือคนที่ยกของหนักเป็นประจำ (ไม่ว่าจะอยู่ในขณะนั่งยองหรือไม่) ก็จะทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มสูงขึ้นจนไปดันให้มดลูกเคลื่อนตัวลงมาได้ แต่การนั่งยอง ๆ เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการยกของหนักร่วมด้วย ไม่มีผลทำให้มดลูกหย่อนได้ครับ " ...แต่คุณหมอบอกว่า ถ้าใครประสบปัญหานี้อยู่ไม่ต้องกังวล เคล็ดลับ "การบริหารช่องคลอด" ที่แนะนำไปข้างต้นช่วยได้ค่ะ

ผ่าตัดคลอด VS.คลอดธรรมชาติ

ความเชื่อแรก แผลจากการคลอดธรรมชาติหายเร็วกว่าแผลจากการผ่าตัดคลอด

"จริง ๆ แล้ว "ลักษณะแผล" ของทั้งสองวิธีนี้ต่างกันครับ คือแผลของการผ่าตัดคลอดเป็นแผลที่หน้าท้องกับผนังมดลูก และมักมีขนาดยาวกว่าแผลจากการคลอดธรรมชาติ ซึ่งเป็นแผลจากการผ่าที่ช่องคลอดตำแหน่งเดียว จึงทำให้อาจหายช้ากว่าเท่านั้น แม้ว่าในอดีตแพทย์จะลงแผลผ่าตัดคลอดในแนวตรง ทำให้แผลหายช้ากว่าบ้าง และต้องระวังมดลูกปริแตกได้ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป แต่ในปัจจุบันนี้ แพทย์ส่วนใหญ่ลงแผลในแนวขวาง และลงในส่วนล่างของมดลูก แถมเทคนิคการผ่าตัดทุกวันนี้ก็ช่วยลดการเกิดพังผืดได้ ปัญหาเดิม ๆ จึงไม่ค่อยมีแล้วครับ"

ความเชื่อต่อมา คลอดธรรมชาติมดลูกเข้าอู่เร็วกว่าผ่าตัดคลอด

"จริง ๆ แล้วทั้งสองวิธีนี้ให้ผลไม่ต่างกันครับ เพราะโดยหลักการ การกลับคืนสู่ขนาดปกติของมดลูกก็ทำได้ในเวลาเท่ากัน เพียงแต่เมื่อผนังมดลูกเคยยืดตัวออกไปแล้วตอนคลอด ทำให้ไม่ว่าจะคลอดด้วยวิธีใดคุณแม่ก็จำเป็นต้องออกกำลังกาย และการบริหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเข้าที่อยู่ดี"

สารพัดข้อคาใจเรื่อง "วัคซีนเอชพีวี"

ปัจจุบันนี้มีการค้นพบแล้วว่า ไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus:HPV) หรือไวรัสหูดหงอนไก่ ที่ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์นั้น บางสายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 16,18, 31, 33, 45, 52 และ 58) เป็นตัวการหลักทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก จึงได้มีการคิดค้นวัคซีนป้องกันไวรัสตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเกราะป้องกันโรคร้าย ให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนต่อไป ทีนี้ก็มาถึงข้อความสงสัยมากมายของคุณสุภาพสตรี เรามีคำตอบจากคุณหมอมาฝากครบค่ะ

วัคซีนนี้ทำงานอย่างไร

"วัคซีนชนิดนี้จะป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ตัวที่ 16 กับ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้บ่อยถึงประมาณร้อยละ 70 แต่จะได้ผลต้องฉีดกับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อ หรือสรุปให้ง่ายว่า ต้องเป็นคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนเท่านั้นครับ"

ใครฉีดได้บ้าง

"อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า คนที่จะฉีดได้ต้องไม่เคยรับเชื้อไวรัสเอชพีวีมาก่อน จึงมีการกำหนดอายุของผู้ที่ควรฉีดอยู่ระหว่าง 9-26 ปี คือเป็นวัยที่คาดว่าจะยังไม่มีเพศสัมพันธ์ แต่ในความเป็นจริง หากคุณอายุ 34 ปี แต่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และกำลังจะแต่งงาน คุณก็ยังสามารถฉีดได้ไม่มีปัญหา ในทางกลับกัน แม้คุณอายุอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด แต่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ก็มีแนวโน้มที่ได้รับเชื้อไวรัสดังกล่าวแล้วด้วยเช่นกัน การฉีดวัคซีนจึงอาจไม่ช่วยอะไร และทำให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ ครับ"

ฉีดวัคซีนแล้ว ไม่ป่วยชัวร์! ...จริงหรือ

"แม้วัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี ป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้เพียงร้อยละ 70 เฉพาะที่เกิดจากไวรัสชนิดนี้เท่านั้น แต่ต้องอย่าลืมว่ายังเหลืออีกร้อยละ 30 ที่วัคซีนป้องกันไม่ได้ ดังนั้นสุภาพสตรีทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรืออายุ 35 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูก หรือที่เรียกว่า "การตรวจแป๊บสเมียร์" เป็นประจำทุกปี ไม่ว่าจะเคยรับวัคซีนมาแล้วหรือไม่ก็ตาม เพื่อว่าหากมีเซลล์ผิดปกติที่มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งปากมดลูกเกิดขึ้น จะได้รักษาแต่เนิ่น ๆ ครับ"

มีลูกแล้ว มีเพศสัมพันธ์แล้วแต่ยังอยากฉีด จะทำได้ไหม

"จริง ๆ แล้วหากให้ตอบตามหลักการที่ถูกต้อง หากต้องการฉีดจริง ๆ ก็ควรไปตรวจด้วยเทคนิคพีซีอาร์ (Polymerase Chain Reaction :PCR) เสียก่อนว่า คุณเคยติดเชื้อไวรัสเอชพีวีตัวที่ 16 และ 18 แล้วหรือยัง หากติดแล้ว ฉีดไปก็อาจไม่มีผลอะไรครับ"



ข้อมูลจาก ชีวจิต



Create Date : 21 ธันวาคม 2552
Last Update : 21 ธันวาคม 2552 22:26:39 น.
Counter : 752 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Caffein Dog
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]



Group Blog
ธันวาคม 2552

 
 
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
17
22
25
26
28
30
31
 
 
All Blog