 |
| |
+++7 วันธรรมดาในโตเกียวของป้าซิ่ง+++(17-23 Oct.2010)
นั่งเครื่องบินไฟล์ท TG 642 อีก 10 นาทีเที่ยงคืนตามปกติ
ถึงเช้าวันใหม่ที่สนามบินนาริตะ
สัมภาระผ่านด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้แปรงฟันของเราส่งไปให้แก่
เจ้าหน้าที่ยุ่นตรวจสัมภาระตามปกติเหมือนที่เคยๆ
เราต้องถือเอาเคล็ดว่า ห้ามแปรงฟัน ถ้าแปรงโดนเปิดกระเป๋าแน่
เสียววุ้ย!!
เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่เหม็น เราก็เหม็น เช่นกัน เอิ๊กส์ ๆๆ ขำๆค่ะ
(ความจริงใช้น้ำยาบ้วนปากเป็นซองพกพาค่ะ) ไม่ได้แปรงจริงๆนะคะ
สเต็ปต่อไป ฝากของที่บริษัทแมวดำเหมือนเช่นเคย (เดิมๆอีก)
เพราะไม่มีใครมารับ เลยต้องฝากกระเป๋า
หิ้วไปแต่น้อยเพื่อความสะดวกในการขึ้นรถไฟ
แต่ก่อนที่จะก้าวขาเดินต่อไป สัมภาระมีน้อยลงแล้วด้วย
แวะขึ้นชั้น 4 ขาออกซะหน่อย เพื่อเช่ามือถือของ DoCoMo สัญญาณดี
เพราะมือถือที่ใช้อยู่ประจำในญี่ปุ่นได้ยกเลิกไปแล้ว
คราวนี้มาญี่ปุ่น เลยต้องเช่าสถานเดียว ค่าเช่าวันละประมาณ 300 yen
โทรออกคิดอีกต่างหาก ต้องแสดงบัตรเครดิตด้วย
ต่อจากนั้นต้องซิ่งไปกับรถไฟขวัญใจคนจน Keisei Line 1,000 yen ลงสถานี Nippori
ไม่ได้ไปลงฮาเนะดะ ( Haneda Airport ) แต่เก็บภาพมาฝาก
สำหรับใครที่จะนั่งรถไฟต่อไปยังสนามบินฮาเนะดะ
ป้าซิ่งไม่ได้ไปสนามบินฮาเนะดะ แต่แกล้งสอบถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว
ว่าจากนาริตะไปลงที่สนามบินฮาเนะดะ เท่าไหร่ คำตอบคือ 2,400 yen
ไปตามทางสีส้มเลยค่ะ
นั่งรถไฟฟ้าสาย Narita SKY Access Line
เช้าวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2010
ไปวัด Asakusa ไปไหว้พระที่วัด ซื้อของฝาก เพราะเขาฝากมาให้ซื้อที่ห้อย
หน้ากระจกรถมองหลัง
ถ่ายรูปกับหมาภูเขาของเพื่อนบ้านใกล้เคียง เห็นตั้งแต่ตัวเล็กๆ เดี๋ยวนี้ตัวหญ่ายยยยยยยย มั่กๆ
ไหว้เสร็จซื้อของฝากเป็นของที่ระลึก เพราะเพื่อนฝากซื้อ แปลว่า ได้เงินคืน
กลับบ้าน มาเอาของกินจากเมืองไทยไปขายเพื่อนที่ร้านโอเบนโตะ
คุณน้องเขาขยันจริงๆ ไม่เคยกลับเมืองไทยเลย
ได้แต่ฝากป้าซิ่งซื้อของไทยๆเอามาขายให้ และก็หนังสือดวงชะตา ราศี
ขายเสร็จ ได้ตังค์ก็เอาตังค์มาซื้อเสื้อผ้าร้านขายสินค้ามือสอง
ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านของคุณน้องก้อย ได้มาก็หมดไป
ซื้อเสื้อผ้าสำหรับเด็กหน้าหนาว เดือนธันวา จะไป
เยอรมัน, ออสเตรีย ,อิตาลี, เวนิส, สวิสเซอร์แลนด์
เจ้าโรบินไม่มีเสื้อผ้าหน้าหนาวเลย อยู่ไทยมันร้อน เลยไม่มีเสื้อผ้าหน้าหนาว
ซื้อมือสองใช้แก้ขัดไปก่อน เพราะเด็กโตเร็วมาก
ไม่รู้จะซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ราคาแพงๆไปทำไม
ซื้อเสื้อ กางเกง ได้เยอะเหมือนกัน รวมหมวก และ รองเท้า อีกเพียบ
เสื้อผ้าราคา 200-700 yen เสื้อโค๊ต 1,500 yen รองเท้าคู่ละ 350 yen
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2010
ตื่นแต่เช้าๆรีบเข้าไปอัฟเดทสมุดบัญชีเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการขอวีซ่า
ที่สถานฑูตเยอรมัน ณ .กรุงโตเกียว ครั้งนี้ไปขอเป็นครั้งที่ 5
(วิธีไปสถานฑูตเยอรมันที่โตเกียว จะทำอีกบล๊อคต่างหาก)
รวมวีซ่าทั้งสิ้น 7 ครั้ง
2 ครั้งแรกขอที่เมืองไทย ดีที่เขาอนุโลมให้วีซ่า
คราวหน้าถ้าจะขอกรุณาไปขอที่กรุงโตเกียว
นั่งรถไฟมาลงที่ Hiro-o ออกทางประตู 1 เดินไปอีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงสถานฑูต
ตามตำแหน่งอยู่ที่ Azabu
มาขอวีซ่าปีนี้ก็กระทำเหมือนปีก่อนๆ คือเตรียมหลักฐานและถ่ายรูปมาพร้อมหมด
มาปีนี้เปลี่ยนแปลงซะแล้ว นึกว่าได้กลับบ้าน
แต่เจ้าหน้าที่คนญี่ปุ่นที่เฝ้าประตูให้ลองเข้าไปดูก่อน เผื่อได้
ปีนี้เมื่อเดือนมีนาคม เป็นต้นมา เขาให้เข้าเว๊ปไซด์ของสถานฑูต
เพื่อทำการจองวันเข้าขอวีซ่า เสียก่อนที่ //www.tokyo.diplo.de
ป้าซิ่งก็ขอความกรุณาต่อเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตด้วยว่า
ขอโทษมากๆ เราไม่รู้เลยค่ะว่าเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว
แล้วอยู่ญี่ปุ่นแค่หนึ่งอาทิตย์จะกลับไทยแล้ว
เจ้าหน้าที่ก็ถามมีหลักฐานอะไรบ้าง? เคยได้วีซ่าไหม?
ทุกอย่างป้าซิ่งมีหมด เลยผ่าน วันพุธ มารับเล่มได้
เสียค่าธรรมเนียม 6,900 yen
เวลาทำการของสถานฑูตเยอรมัน คือ 8:30-11:00 A.M.
กลางวันแวะลงที่สถานี Omotesando กินแพนเค้กที่ร้าน EGGS'NThings
กินเสร็จ เดินข้ามถนนมาที่ตึก Laforet เพื่อซื้อหนังสือร้อยคริสตัล
ให้หลานสาว เพื่อเป็นงานอดิเรก
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2010 ไป Ikebukuro
มาญี่ปุ่นเที่ยวนี้อยากได้กล้องตัวใหม่ที่ถ่ายได้ 360 องศา
โซนี่ของญี่ปุ่น ที่มีแต่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นราคาจะถูกมากกว่าโซนี่ภาษาต่างด้าว
รูปแบบใหม่สวยๆดี ที่สเป๊คแบบโซนี่ต่างด้าวไม่มี
อยากได้ แต่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่แตก กลัวตรง Set เนี่ยแหละ มันจะแย่
เลยซื้อกล้องของ Fuji Film มีภาษาอังกฤษพอรู้เรื่องบ้าง ราคาถูกด้วย
ราคา 36,800 yen มีการ์ดสะสมคะแนน
นำไปแลกของอื่นๆได้อีกประมาณ 7,000 yen
จึงแลกเป็น Memory Stick 2 G กับ แบตเตอรี่อีกก้อน
กล้องโซนี่ที่มีลายก้านต้นไม้ ฝังคริสตัล ที่ป้าซิ่งอยากได้
//
วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2010
วันนี้ไปรับวีซ่าที่สถานฑูตเยอรมันแล้ว
กลางวันนัดกินสุกี้ ยากี้ MKกับเพื่อนในญี่ปุ่น ที่ Shinjuku
สุกี้ ยากี้ อยู่เมืองไทยกินจนเบื่อแล้ว แต่สำคัญที่อยากคุยกับเพื่อนๆต่างหากค่ะ
กินแบบบุฟเฟย์ หัวละ 1,580 yen
กินสุกี้เสร็จ เพื่อนรัตน์ซื้อโมจิ ถั่วดำไม่มีไส้กลับบ้าน เขาว่าอร่อย
โมจิแบบไม่มีไส้หมดแล้ว เหลือแต่ที่มีไส้
เพื่อนน้องตุ๋ม แวะซื้อตุ๊กตาบายล์ธ 4 ตัว ที่ Marui One
รูปปั้นเทียนสีสวยหวานๆน่ากินจัง
ส่วนป้าซิ่ง ได้ซื้อสมุดไดอารี่ บันทึกการเดินทางดีกว่า
พอควักตังค์จากกระเป๋าซื้อได้บ้างค่ะ เพราะไดอารี่เล่มเก่า เขียนจนหมดแล้ว
หน้าปกอลิซแดนมหัศจรรย์
วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2010
วันนี้ส่งกระเป๋าไปลงที่สนามบินนาริตะ เพราะวันเสาร์จะบินกลับเมืองไทยแล้ว
หลังจากส่งเสร็จก็พักผ่อนอยู่กับบ้าน ช๊อปอาหารและของบางอย่างเอากลับไทย
วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2010
ไปกินก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำกุ้งร้าน เพื่อนทอง ที่ Omiya
ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำกุ้ง ร้านมะลิไทย อร่อยมาก
รสชาดแบบที่เมืองไทย ไม่ค่อยได้รู้รสอร่อยแบบนี้เลย เครื่องเคล้าซะใจดี
ขากลับที่สถานี Omiya แวะซื้อขนมเค้กโมจิกลับบ้าน ญี่ปุ่นเรียก ยูคิโมจิ
แป้งสดเนื้อบางๆ อร่อยดีค่ะ
ไส้เค้กสตอเบอรี่ ,ไส้คัสตาด ไส้โมโม (ลูกพีช)
ห้าโมงเย็นนัดกินมื้อค่ำเนื้อย่างที่ Ikebukuro บนถนน Romance Dori
กินกับเพื่อนติ๊ก กับ เพื่อนเอมี่ซัง
ร้านอยู่บนตึกนี้ ต้องขึ้นลิฟเข้าไป สภาพแวดล้อมมีอะไรบ้างดูจากภาพค่ะ
ร้านโอ่โถง ใหญ่ดี ที่นั่งสบายๆ
อร่อยคุ้มราคาค่ะ
บุฟเฟ่ย์ราคาหัวละ 2,600 yen เซ็ทบุฟเฟ่ย์ราคามากกว่านี้ก็มี
บุฟเฟ่ย์ดริ้งหัวละ 1,000 yen (ต้องสั่งกันทุกคน จะได้ราคาเหมือนกัน)
กลุ่มป้าซิ่งดื่มไม่เหมือนกัน เลยต้องสั่งเป็นแก้วๆ
บรรยากาศภายในร้าน นั่งๆไปสังเกตุมีแต่วัยรุ่นเดินเข้ามากินทั้งนั้นเลยค่ะ
ที่หนีบเนื้อย่าง สวยดีเป็นรูปซากุระ รอบๆมีฟันเฟืองด้วย
กินเสร็จไม่รู้จะไปไหนต่อ อากาศก็ดี นั่งรถไฟ ไปดื่มกาแฟที่ Shibuya ต่อดีกว่า
เจอะ Kimura San บนรางรถไฟด้วยค่ะ อิๆ
วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2010
วันนี้เดินทางกลับเมืองไทยแล้ว TG 677 เวลา 16:55 P.M.
หลังจากเช็คอินเคาน์เตอร์สายการบินไทยเสร็จ แล้วก็คืนมือถือที่เช่ามา
เลยแว๊ปเข้าไปกินอาหารญี่ปุ่นตบท้ายซะหน่อย
อีก 3 เดือนค่อยไปญี่ปุ่นอีกค่ะ เดินทางวันที่ 21 มกราคม 2011
| Create Date : 29 ตุลาคม 2553 |
| Last Update : 29 ตุลาคม 2553 19:49:52 น. |
|
0 comments
|
| Counter : 4723 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
| |
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 70 คน [
