ฟุตบอลตายแล้ว? ++ คอลัมน์ ทุ่งหญ้า X ++ โดย บอ.บู๋
พอจะจำกันได้บ้างไหมครับท่านว่าอะไรคือคำจำกัดความของคำว่า "ศึกแดงเดือด" ระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ?
ก. ความดุเดือดเลือดพล่าน ข. ความตื่นเต้นสนุกสนาน ค. ความมันส์ระดับ 6 หมื่อตีนกีบ ง. ความคลาสสิกสุดยอด จ. ถูกทุกข้อ
เพราะศึกแดงเดือดจัดเป็นเกมแห่งประเทศชาติพอๆ กับจัดเป็นเกมที่เพียบความหมายที่สุดเกมหนึ่งในโลกลูกหนัง
และคงจะไม่ผิดอะไรหากเรียกมันว่า..."สงครามแข้ง"
แต่ศึกแดงเดือดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขอบอกว่าเป็นอะไรที่ทุเรศสายตามากครับ
พูดตามตรงว่านั่งเขย่าหำให้หมาที่บ้านด้วยความเร็วปานกลางยังเสียวกว่า เมื่อทุกวันนี้ผลการแข่งขันมีความสำคัญมากกว่าความสนุกสนาน ตื่นเต้น และเร้าใจไปเสียแล้ว
สกอร์ 0 - 0 และวิธีการเล่นของทั้งสองทีมที่ แอนฟิลด์ แสดงให้เห็นเด่นชัดว่า "ปรัชญา" การเล่นฟุตบอลของพวกเขาเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว
ดูเหมือนจุดน้ำกระฉูดของเกมลูกหนังและวันนี้มิใช่อยู่ที่การกระซวกประตูซะแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับการไม่เสียประตูซะมากกว่า
แต่ละทีมจึงเน้นเกมรับให้เหนียวแน่นไว้ก่อน เน้นความแน่นอน เน้นความรัดกุม และเน้นความปลอดภัยมากขึ้น โดยสังเกตได้ชัดว่าแตะละทีมมีสถิติการเสียประตูที่น้อยลงเรื่อยๆ
ถึงตอนนี้ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ยังไม่เสียสักประตู ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งเสียไปประตูเดียว ทางด้านสเปอร์ส กับ ชาร์ลตัน เพิ่งโดนไปทีมละ 3 ดอก ขณะที่ทีมรุกบุกกระหน่ำอย่าง อาร์เซน่อล โดนสอยไปแล้ว 4 ดอก มากกว่าใครเขาเพื่อนในระดับเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อวันเสาร์ที่ เชลซี บุกไปดับซ่าส์ ชาร์ลตัน ถึงถิ่น นำโด่งเป็นจ่าฝูงด้วยสถิติบรรลัยกัลป์ ด้วยชัยชนะ 6 นัดรวด ทะลวงไป 12 ประตูม แถมยังรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเยื่อบุผนังทวารหนักไว้สำเร็จอีกต่างหาก
ดังนั้น หาก แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ต้องการไล่บี้ให้กระชั้นชิด พวกเขาจำเป็นต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง เพื่อไล่ตามเชลซี
แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะกลัวความตายมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลพรรคปีศาจแดงนี่ออกนอกหน้ามั่กๆ ครับ เพราะมัวแต่เน้นความรัดกุม ผ่านบอลไป-มา ในแดงตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยปราศจากการเล่นลูกแบบกล้าได้-กล้าเสีย
ดูแล้วเหมือนปีศาจแดงตัวปลอมที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
วิธีที่ลูกทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แสดงออกมา บ่งชัดว่าพวกเขาพอใจในผลเสมอ เท่าๆกับไม่มีความมุ่งมั่นที่จะกระชากสามแต้มสักนิด ทั้งที่ชัยชนะต่างหากที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการเพื่อตามกดดันทีมจ่าฝูงของ โชเซ่ มูรินโญ่ ต่อไป
ไม่ใช่พอ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปควักชัยออกจาก แอนฟิลด์ ไม่สำเร็จ หรือเห็นว่าพวกเขาโชว์ฟอร์มห่วยแตก แล้วเอามาบ่นทีหลังนะครับ
เปล่า...แมนฯ ยูไนเต็ด หาได้โชว์ฟอร์มห่วยแตก เพียงแต่ปรัชญาการเล่นของพวกเขาต่างหากที่สร้างความหงุดหงิดใจให้ ก็ในเมื่อชัยชนะคือสิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการจากคู่แข่ง
ไฉนเลยพวกเขาจึงทำเหมือนพอใจที่ไม่แพ้? หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนพบว่า... อันดับแรกอาจจะเป็นเรื่องตัวผู้เล่นที่เป็นรองเจ้าถิ่น เมื่อมีอันต้องปราศจากฟูลแบ็กตัวจริงทั้งสองข้างอย่าง แกรี่ เนวิลล์ และกาบี้ ไฮน์เซ่
แมนฯ ยูไนเต็ด คิดว่าตัวผู้เล่นเป็นรอง แถมยังเป็นเกมนอกบ้าน ฉะนั้นผลเสมอคงไม่นับว่าน่าเกลียด
อันดับต่อมานี่คือเกมที่ไม่อนุญาตให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายแพ้เด็ดขาด เพราะความพ่ายแพ้ให้ทีมในระดับเดียวกันอาจหมายถึงการหยุดเส้นทางสู่ความสำเร็จของตัวเองอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นหากไม่ชนะ ก็ขอให้ไม่แพ้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน
หนึ่งแต้มที่แบ่งมาจากคู่แค้นอย่าง ลิเวอร์พูล ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหลัง เชลซี ถึง 7 แต้ม โดยแข่งน้อยกว่าหนึ่ง นัด
สมมุติว่ามีชัยในนัดตกค้างเท่ากับพวกเขาจะตามหลังทีมนำฝูงเพียง 4 แต้ม ขณะที่เหลือเส้นทางอีกยาวไกล
ดังนั้นสิ่งที่ท่านพระยาหมื่นพยายามจะบอกแฟนบอลที่เคารพคือ..."เย็นไว้ญาติโยมผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจ" พลางถือคติไทยโบราณว่า "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" ซึ่งขัดกับสุภาษิตไทยโบราณอีกอันที่ว่า "น้ำขึ้นให้รีบตัก" อ้าว...ตกลงจะให้กูใจเย็นหรือเร่งรีบกันแน่
จะให้ใจเย็นหรือเร่งรีบไม่รู้-รู้แต่ว่าตอนนี้กุนซือวัย 63 ยึดสุภาษิตว่า...ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
นอกจากเส้นทางอันยาวไกล เชลซี ยังเหลือโปรแกรมต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล เช่นกัน (นั่นหมายความว่าหงส์จะไม่แพ้เชลซีนะ) แล้วจะรีบตักน้ำไปไหน
เล่นแบบรัดกุมแล้วได้แค่แต้มเดียวก็ยังดีกว่าผลีผลามกระหน่ำเกมรุกเอาใจกองเชียร์แล้วไม่ได้สักแต้ม
ซึ่งทางด้าน ราฟา เบนิเตซ และ ลิเวอร์พูล ก็คงคิดแบบเดียวกันนั่นแหละ
อีกประเด็นสำคัญที่ผมว่ามันทำให้ศึกแดงเดือดขบวนแรกประจำฤดูกาลนี้กลายเป็น "ศึกแดงดับ" ที่ไม่ฉาบสีสันอันเดือดดาลฉูดฉาดสมชื่อ คือการเจอกันเร็วไปหน่อยของทั้งสองทีม
เมื่อเจอกันอย่างรวดเร็วแบบนี้ ย่อมไม่มีทีมใดอยากพลาดพลั้งเสียท่าตั้งแต่ต้นฤดูกาลว่างั้นเหอะ
ว่าแล้วทั้งคู่ก็เลยเอาแต่จดๆ จ้องๆ ปล่อยให้เวลาหมดไปโดยไม่วู่วาม
วัยรุ่นเลยเซ็งไปตามๆ กัน เพราะไม่เห็นอะไรที่มันส์กระซวกไส้ดีนักแล
กลายเป็นว่าตอนนี้มิใช่เพียงแค่ เชลซี ที่ทำตัวน่าเบื่อ
ลิเวอร์พูล ก็ทำตัวน่าเบื่อ
แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ทำตัวน่าเบื่อ
ฟุตบอลก็เลยกลายเป็นอะไรที่น่าเบื่อตามไปด้วย เมื่อแต่ละทีมมัวแต่มุ่งเน้นผลการแข่งขันจนลืมนึกถึงความสนุกสนานของผู้ชม
หลายทีมยึดระบบ 4-5-1 หรือ 4-3-3 เน้นความหนาแน่นของกองกลางเอาไว้ก่อน จนกลายเป็นระบบยอดนิยมแห่งยุคสมัย โดยมี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นเจ้าลัทธิให้คนอื่นเจริญรอยตาม
ความจริง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เริ่มใช้ระบบ 4-5-1 กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มาก่อน เชลซี เสียอีก เพียงแต่ยังไม่ยึดรูปแบบการเล่นอันน่าเบื่อเพื่อมุ่งเน้นผลการแข่งขันขนาดนี้
เข้าใจครับว่าไอ้ที่ยอมทำตัวน่าเบื่อก็เพื่อความสำเร็จ แต่ถามว่าสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับวิธีการเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของปีศาจแดงจะยอมรับได้หรือไม่กับความสำเร็จที่ไม่มี "สไตล์" แบบนี้
และมั่นใจขนาดไหนว่าวิธีการเล่นแบบนี้จะนำมาซึ่งความสำเร็จจริง เพราะมันไม่ต่างจากการฝืนธรรมชาติของตัวเอง
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความน่าเบื่อของ เชลซี ซึ่งต้องยอมรับมันเป็นความน่าเบื่อที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ
ลูกทีมของเฮียเครียดมีความเข้าใจในระบบ 4-5-1 หรือ 4-3-3 มากกว่า เกมรับแน่นอนว่า เช่นเดียวกับเกมรุก
ถามว่าทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องลอกการบ้านเพื่อนด้วย?
ในเมื่อตัวเองเคยประสบความสำเร็จมากมายด้วยวิธีการเล่นอันเร้าใจ
คำตอบก็คือความเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลในยุคนี้นั่นแหละ
ฟุตบอลเปลี่ยนไป ทั้งแท็กติกและกลยุทธ์มีความสำคัญยิ่งยวด
ขืนมัวแต่ยึดหลักการเดิมๆ บางทีอาจไล่ตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน
คือเล่นแบบมีสไตล์หรือมัวแต่เอนเตอร์เทนใช้นิ้วสะกิดติ่งผู้ชม แต่สุดท้ายไม่ได้แชมป์ มันก็น่าปวดช้ำใจอยู่เหมือนกัน
ความคลาสสิกของเกมลูกหนังมันก็เลยตายตกตามกันไปด้วย
"บอ.บู๋"
..........................
^^ขอบคุณพี่บอ.บู๋ ^^ขอบคุณนสพ.สตาร์ซอคเก้อร์
>>จขบ.ต้องกราบขออภัยพี่บอ.บู๋ที่ช่วงนี้เอาคอลัมน์ของพี่มาลงให้แฟนผีแดงแระแฟนพี่บู๋ที่ไม่ได้ซื้อSS ได้อ่านกันบ่อยๆ ซักหน่อยนึง....พี่คงไม่ว่าอะไรแระถือเปนการโปรโมทแระช่วยเพิ่มยอดให้คนที่อยากติดตามSSหรือติดตามอยู่แล้วได้ไปซื้อหาSS มาอ่านกันแบบที่พี่เคยบอกไว้นะคะ
สำคัญที่สุดคือความตั้งใจของจขบ.คือต้องการเอาคอลัมน์พี่มาลงเฉพาะเรื่องที่เขียนเกียวกะ แมนฯ ยูไนเต็ด แระเรื่องที่อยู่ในความสนใจมากๆ เท่านั้น วันนี้ที่ลงล่าสุดนี่ก้อเปนเรื่องควันหลงหลังศึกวันแดงเดือดน่ะค่ะ.... ขอบคุณพี่บู๋แระนสพ.สตาร์ซอคเก้อร์อีกครั้งนะคะ..ขอให้นสพแระหนังสือนิตยสารแฟนผีโปรเจ็คที่พี่บู๋เปนบรรณาธิการ ขายดีๆๆๆๆ มากๆ ขึ้นๆ ไปนะคะ
ภาพประกอบ: คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมจากการโหวตของแฟนบอลทั่วโลก...อันนี้แม่ยกน้องโด้ปลื้มมมากเรยยเอารูปมาลง (ไม่ได้เกี่ยวกะบทความของพี่บู๋เร้ยย) ขอโตดพี่บู๋ด้วยนะคะ...ก้อคนมานรักนิ
Create Date : 22 กันยายน 2548 |
|
30 comments |
Last Update : 22 กันยายน 2548 0:07:50 น. |
Counter : 771 Pageviews. |
|
|
|
united we stand