ทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงไม่ชนะ >> คอลัมน์ ทุ่งหญ้า X >> โดย >> บอ.บู๋
เล่าต่อกันมาว่าเมื่อตอนที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โยกตูดลายหนังไก่ทอดจากอเบอร์ดีนมา สวมบทผู้บัญชาการทัพปีศาจแดงใหม่ๆ นักเตะผู้มีสมญา "ไซโค" นาม สจ๊วรต เพียร์ซ คือเป้าหมายอันดับแรกๆของกุนซือจากสกอตแลนด์
ว่าแล้ว เฟอร์กี้ ก็โฟนไปหา ไบรอัน คลัฟ ผู้จัดการทีม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่บนเมืองมนุษย์ เพื่อติดต่อขอซื้อตัวแบ็คซ้ายโรคจิตจอมโหด
แต่ฉายากุนซือปากกรรไกรอย่าง ไบรอัน คลัฟ มีหรือตจะยอมง่ายๆ เขาจึงปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์จากเฟอร์กี้แบบไร้เยื่อใย
กระนั้นมันยังไม่ทำให้กุนซือปีศาจแดงทดท้อหรือถอดใจในการตามตื๊อ เพราะตอนจีบเมียคนปัจจุบันยังยากกว่านี้เลย
ในเมื่อไม่ยอมคุยโทรศัพท์ นาทีต่อมา อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงลงทุนไปหาถึงที่
ผู้จัดการทีมปีศาจแดงลงทุนเดินทางไปสนาม ซิตี้ กราวนด์ ด้วยตัวเอง พร้อมหอบข้อเสนอก้อนใหญ่สำหรับขอซื้อตัวสจ๊วร์ต เพียร์ซ ไปด้วย แบบว่า "กูเอามึงแน่" ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาด้วยตัวเองแล้ว มันต้องให้เกียรติกันบ้าง...เฟอร์กี้ คิดในใจพลางแสยะยิ้มอย่างผู้มีชัย
เจอไม้นี้เข้าไป ไบรอัน คลัฟ จึงแก้เกมอีกครั้งด้วยการสั่งให้ เลขาฯ ส่วนตัวออกไปรับหน้าผู้มาเยือน พลางแจ้งข่าวต่อเฟอร์กี้ว่า..."ตอนนี้ เจ้านายไม่อยู่ค่ะ"
ก่อนปล่อยให้อาคันตุกะจากถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รอเหงกอยู่ตรงแถวที่จอดรถนั่นแหละ
ไม่มีรายงานว่าพบชายในชุดซาฟารีเดินมาตบเฟอร์กี้ตรงที่จอดรถ เพราะนั่นไม่ใช่แถว อาร์ซีเอ แต่หลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมงเต็ม ไบรอัน คลัฟ ก็ยังไม่กลับมาสักที(ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้ออกไปไหน)
ความอดทนของเฟอร์กี้จึงถึงจุดสิ้นสุด ว่าแล้วก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น กลางที่จอดรถ
"เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติติติติติ"
HA - HA ล้อเล่นครับ-ล้อเล่น เพราะแท้จริงประโยคที่เฟอร์กี้ตะเบ็งออกมาจากลำคอคือ...
"แหม...ทำยังกะกูจะมาช่วยตัวประกัน"
อันนี้เป็นอารมณ์ประชดประชันของคนที่รอนาน 3 ชั่วโมง โดยที่รู้อยู่เต็มอกว่า ไบรอัน คลัฟ ไม่ได้ออกไปไหนหรอก หลังจากนั้น นายใหญ่ของทีมปีศาจแดงก็ไม่เคยทาบทามนักเตะนาม สจ๊วร์ต เพียร์ซ อีกต่อไป เพราะไปได้แบ็คซ้ายตัวใหม่อย่าง เดนิส เออร์วิน มาแทน และคิดดูสิว่าเจ้าของฉายา "ไซโค" มีความสำคัญขนาดไหนต่อ ฟอเรสต์ และไบรอัน คลัฟ
ก็สำคัญขนาดเคยได้รับการแต่งตั้งให้เลื่อนชั้นขึ้นมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมฟอเรสต์ ในฤดูกาล 1996-97 บนวัย 35 กะรัต แทนที่ แฟร้งค์ คล้าร์ก ทั้งที่ยังเป็นนักเตะนั่นแหละ
แม้ครั้งแรกกับการวางสะโพกบนเก้าอี้กุนซือของเพียร์ซ จะประสบความไม่สำเร็จ เพราะพี่แกช่วยให้ทีมเจ้าป่ารอดพ้นจากการตกชั้นไม่ได้ ก่อนถูกแทนที่โดย เดฟ บาสเซ็ตต์ ในฤดูกาลเดียวกัน แต่มันก็เป็นสัญญานส่อแววให้เห็นอยู่อย่างว่าสักวันหนึ่ง เขาคงจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้งเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมกว่า
เพียร์ซ ใช้ชีวิตบั้นปลายอาชีพพ่อค้าแข้งของตัวเองกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด , เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนจบลงที่ แมนฯ ซิตี้ ในปี 2003
และที่ แมนฯ ซิตี้ นั่นเอง หลังจากที่ตัดสินใจแขวนความบ้าระห่ำ เขาได้รับการชักชวนให้อยู่ในสตาฟฟ์ โค้ชของทีมเรือใบที่มี เควิน คีแกน เป็นหัวหน้าชุด
กระทั่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อ เควิน คีแกน ตัดสินใจอำลาตำแหน่ง (ก่อนที่จะถูกตะเพิด) สจ๊วร์ต เพียร์ซ ก็ได้รับการแต่งตั้งแบบ "ชั่วคราว" ให้เป็น "นายใหญ่" อีกครั้งบนวัย 43 ขวบ
คำว่า "ชั่วคราว" ก็มีความหมายไม่ต่างจาก "รักษาการแทน" นั่นแหละ คือให้เป็นไปจนกว่าจะหาผู้เหมาะสมมาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก คีแกน ได้
แต่สิ่งที่กุนซือไซโคเสกให้ แมนฯ ซิตี้ ในอีก 8 นัดที่เหลือของฤดูกาลก่อน คือไม่แพ้ทีมใดสักนัดเดียว แถมเป็นชัยชนะถึง 4 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการพิชิตอนาคตของแชมป์ยุโรปอย่าง ลิเวอร์พูล
จากทีมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ประเภท 3 วันดี 4 วันไข้ แมนฯ ซิตี้ เกือบได้ไปโชว์ตัวในถ้วยยูฟ่า คัพ เมื่อจบที่อันดับ 8 บนตาราง
นั่นไม่ใช่เรื่องยากที่บอร์ดบริหารของทีมตราเรือใบจะตกลงปลงใจมอบตำแหน่งผู้จัดการทีมให้ สจ๊วร์ต เพียร์ซ อย่างถาวรและไม่ขัดเขิล
อย่าว่าแต่ แมนฯ ซิตี้ เลยครับ ถ้าเปลี่ยนได้ตอนนี้คนอังกฤษยังอยากให้อดีตดาวเตะทีมชาติ (ผู้เคยโก่งคอคำรามเหมือนอมกระโถนเหล็กในลำคอตอนสังหารจุดโทษตุงตาข่ายในศึกยูโร 96) ผู้นี้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมสิงโตคำรามแทนไอ้คุณเถิกเลย
จึงไม่แปลกเช่นกันที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะหยอดคำหวานใส่กุนซือของทีมคู่แค้นร่วมเมืองที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะ สจ๊วร์ต เพียร์ซ เคยเป็นหนึ่งในนักเตะที่ตัวเองหมายปอง ...............................
ก่อนทำศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ กับปีศาจแดงที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด-แมนฯ ซิตี้ จากขุมกบาลของกุนซือไซโคออกตัวได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่มีพรีเมียร์ชิพ ด้วยสถิติ ชนะ 3 เสมอ 1 โดยมีอันดับเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด
ไม่บ่อยนะครับที่ แมนฯ ซิตี้ จะมีอันดับเหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนเจอกันในศึกสายเลือด
แม้จะเทียบเคียงความยิ่งใหญ่กันไม่ได้ แต่กองเชียร์เรือใบสีฟ้ายังมอง เรด อาร์มี่ ด้วยสายตาหยามเหยียด หาว่าเป็นพวกตัวปลอม
แมนฯ ซิตี้ ต่างหากที่เป็นทีมคู่บ้านคู่เมืองแมนฯ ตัวจริง หาใช่ทีมของแฟนบอลต่างถิ่นอย่างปีศาจแดง
ขณะที่ เรด อาร์มี่ มอง แมนฯ ซิตี้ ในฐานะทีมลูกไล่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในรูปแบบของถ้วยรางวัลหรือผลงานที่เจอกันเองโดยตรง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องตลกฝรั่งแถวๆ โรงละครแห่งความฝัน คือว่ากันว่า...ที่ แมนฯ ซิตี้ มีผลงานดีขึ้นแบบผิดหูผิดตาแบบนี้ มิใช่เพราะการเป็นผู้จัดการทีมของ ไซโค เพียร์ซ อะไรนั่นหรอก
แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีผู้จัดการทีมที่โคตรซื่อบื้ออย่าง เควิน คีแกน ต่างหาก ว่าแล้วพวกแฟนผีก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังแก้วเบียร์แบบขำกลิ้งในผับชื่อ เดอะ แทร็ฟฟอร์ด หัวมุมถนน แม็ตต์ บัสบี้ เวย์
เรียกว่าถากถางกันสุดฤทธิ์ สุดท้ายกลายเป็นกองเชียร์เรือใบที่หัวเราะดังกว่า หลังบุกไปควักหนึ่งแต้มออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้สำเร็จเป็นฤดูกาลที่ 3 ในรอบ 4 ปี
ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าเป็นเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอหรือเป็นเพราะฝีมือของ สจ๊วร์ต เพียร์ซ เนื่องจากในระยะหลัง แมนฯ ซิตี้ มักเล่นได้ดีเสมอเมื่อมาเยือน ถ้ำอสูรสังหารของปีศาจแดง
อย่างฤดูกาลที่แล้วก็บุกมายันเสมอกลับออกไปด้วยสกอร์ 0 - 0
ก่อนหน้าโน้นก็เคยบุกมาเสมอ 1 - 1 ที่ โอล์ด แทร็ฟฟอร์ด ในฤดูกาล 2002-03
อย่างไรก็ควรยกความดีความชอบให้กุนซือกายสิทธิ์ด้วย เพราะตั้งแต่เข้ามาแทน เควิน คีแกน-พลพรรคเรือใบเล่นกันเป็นระบบขึ้นเยอะ
ถามว่าทำไม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีชัยมา 3 นัดรวดถึงไม่มีปัญญากำราบทีมลูกไล่อย่าง แมนฯ ซิตี้ ในถิ่นตัวเอง?
ประการหนึ่ง อาจบอกได้ว่า มันคือแมตซ์แห่งศักดิ์ศรีที่ แมนฯ ซิตี้ มักจะตั้งใจและทุ่มเทสุดๆ
ประการต่อมา ดูเหมือนนักเตะหลายคนของสถาบันอสูรสยองจะอ่อนล้าจากการรับใช้ชาติอย่างเคร่งเครียดในช่วงกลางสัปดาห์ เพราะสังเกตเห็นชัดว่าช่วงท้ายเกม พวกเขาเริ่มออกอาการหมดแรงและไม่ซอยยิกผิดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้พักอย่างเต็มอิ่ม
อีกประการหนึ่งเห็นจะต้องชมกลยุทธ์ ระดับไซโคของ เพียร์ซ นี่แหละที่ทั้งป้องกันและฉวยโอกาสจากคู่แข่งได้อย่างยอดเยี่ยม พอๆ กับเยือกเย็น
หรือบางทีอาจเป็นเพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีนักเตะสำคัญคนหนึ่งในนัดนี้พอดีทั้งที่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ไข้
ยูไนเต็ด ขึ้นนำในช่วงทดเจ็บของครึ่งแรก จากการกะซวกของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่มีจังหวะเพียงไม่กี่ครั้งในเกมนี้
ยิงประตูนำในเวลาสำคัญอย่างนี้ย่อมช่วยให้ปีศาจแดงพบงานง่ายขึ้นในครึ่งหลัง ด้วยการเล่นแบบรัดกุม และรอให้คู่แข่งเปิดช่องว่าง
แต่ ยูไนเต็ด กลับต่อบอลกัน ขาดๆ เกินๆ แถมเล่นไม่เป็นเกม ในขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่ผลีผลามเปิดเกมรุกเต็มสูบเพื่อไม่เปิดพื้นที่ให้คู่แข่ง พวกเขาค่อยๆ คลำหาช่องทางอย่างใจเย็นไม่รีบร้อน ก่อนประสบผลสำเร็จเปิดบริสุทธิ์ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ได้เป็นทีมแรกในฤดูกาลนี้
เห็น ยูไนเต็ด เล่นเกมนี้แล้วก็ให้คิดถึงคนสับสยิวโลกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ขึ้นมาอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะมันเป็นอีกนัดที่เกมรุกริมเส้นของปีศาจแดงเป็นอัมพาต เมื่อ เวย์น รูนี่ย์ ชอบหุบเข้ามาทำเกมตรงกลาง ขณะที่ พาร์ค ชี ซอง ก็ไม่ใช่ปีกโดยชอบธรรม ส่วน ไรอัน กิ๊กส์ ถูกขังไว้ในคอกสำรองข้างสนาม กว่าจะถูกส่งลงสนามก็ไม่ทันการณ์
เกมรุกของ ยูไนเต็ด จึงขาดมิติและความหลากลาย
ก่อนออกจากบ้านมาทำงานบนกองบัญชาการซอคเก้อร์เมื่อวันเสาร์ ผมเปิดหนังสือพิมพ์รายวันชาวบ้านฉบับหนึ่ง เพื่ออ่านการวิเคราะห์วิจารณ์ศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ ในหน้ากีฬาเล่นๆ ซึ่งเขาเขียนถึงเหตุผลที่ปีศาจแดงมีอันต้องปราศจาก โรนัลโด้ ในนัดนี้ว่า..."พ่อตาย"
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อดลงเล่นในนัดนี้เพราะ...พ่อตาย
อ่านแล้วก็อดขำไม่ได้ที่เขาใช้ภาษาแบบบ้านๆ ในการวิจารณ์เกมลูกหนัง แต่กลับได้อารมณ์อันน่ารักและจริงใจดี
เฮ้อ..พ่อโด้ไม่น่ามาตายตอนนี้เลย
" บอ.บู๋ "
................................................
^^จากนสพ.สตาร์ซอคเก้อร์ ฉบับประจำวันที่ 13 กันยายน 2548
ขอบคุณพี่บอ.บู๋ ขอบคุณนสพ.สตาร์ซอคเก้อร์ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ช่วงหลังพี่บู๋ไม่ค่อยได้เขียนถึง แมนยูฯ เรยยค่ะ เมื่อวานเห็นเขียนถึงก้อเรยยพิมพ์มาให้แฟนๆ ผีแดงแระแฟนๆ คอลัมน์พี่บู๋ที่ไม่ได้ซื้อSS ได้อ่านกันค่ะ...แก้คิดถึงน่ะค่ะ ว่าแต่ตอนนี้จขบ.มือหงิกแร้วค่ะ..ขอลาไปนวดมือก่อนล่ะน๊า
Create Date : 13 กันยายน 2548 |
|
24 comments |
Last Update : 13 กันยายน 2548 15:26:16 น. |
Counter : 673 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณอีกทีครับ