อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบัน "คุณเจอกูแน่" >>Tungya X >>บอ.บู๋
โปรดอย่าถามว่าอดีต " เฮียเครียด " เคยได้แชมป อะไรบ้าง และโปรดอย่าถามว่าอดีต "เฮียเครียด" เคย เล่นฟุตบอลกีฬาสีบ้างหรือไม่...รู้ไว้อย่างเดียว เดี๋ยวนี้ "มึงเคยเป็นแชมป์ยุโรปเหมือนผมอ๊ะเปล่า"
สมัยยังหนุ่มแน่น ไม่พบบันทึกหรือเกียรติประวัติที่บอกว่า โชเซ่ มูริญโญ่ เป็นนักเตะอาชีพ ขนาดคุณน้องเหน่อ จอมเครียดของผม ยังเคยเป็นนักฟุตบอลทีมโรงเรียนที่จังหวัดเพชรบุรีเลยคุณ(นินทากันบนกองบัญชาการซอคเก้อร์ว่าทั้งโรงเรียนของ ดร.พิว น่าจะมีผู้ชายสิบเบ็ดคนพอดี) ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้กุนซือ ผู้ได้รับสมญา "เฮียเครียด" เพิ่งถูกคู่แข่งถากถาง พลางมองด้วยสายตาหยามเหยียด ถามว่าจำเป็นด้วยหรือ...ที่ผู้จัดการทีมต้องเป็นอดีตของยอดนักเตะ? ในเมื่อความจริงในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่ามียอดดาวเตะชื่อดังหลายตัวไม่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีม(แถมบางคนยังมีคุณภาพค่อนข้างบัดซบตบชักอีกต่างหาก)ยกตัวอย่างเช่น แกรม ซูเนสส์ เควิน คีแกน หรือ ไบรอัน ร็อบสัน และอีกเพียบกุนซือคุณภาพบัดซบ กระนั้น การเป็นอดีตของยอดดาวเตะย่อมช่วย ท่านได้หลายประการในงานผู้จัดการทีม อย่างน้อยมันก็ช่วยสร้างเสริมบารมีให้คุณเป็นที่นับหน้าถือตาของบรรดาลูกทีมเป็นอันดับแรก อันเป็นที่มาของศรัทธา อันดับต่อมาเป็นผลพวงจากความเจนจบบนถนนลูกหนัง ทั้งความสามารถและประสบการณ์ที่สะสม ยิ่งเก่งมาก ยิ่งโชกโชนมาก ยิ่งช่วยท่านได้มากในงานผู้จัดการทีม เช่นเดียวกับการลงไปสาธิตตัวอย่างให้บรรดาลูกทีมประจักษ์ในระหว่างฝึกซ้อม หากคุณต้องการจะสอนกองหน้าให้ยิงประตูได้อย่างเฉียบคม ไม่เพียงแต่คุณจะต้องบอกให้เขาก้มหน้ามองหำตัวเองก่อนสับไก และกล่าวขอบคุณการสื่อสารแห่งประเทศไทย บางครั้งคุณจำเป็นต้องแสดงให้ลูกทีมเห็นเป็นตัวอย่างด้วยว่าคุณทำได้ ไม่ใช่สักแต่สอนด้วยลมปาก และไม่ใช่สับไกยิงข้ามคานให้เป็นที่เสียหมาต่อหน้าลูกน้องตอนซ้อม ฉะนั้นในความหมายของผมการเป็นอดีตของยอดดาวเตะระดับดารารุ่งรัศมีย่อมไม่ต่างจากพื้นฐานของผู้จัดการทีม และการเคยเป็นนักเตะตีนพระกาฬอาจช่วยให้คุณเป็นผู้จัดการทีมที่ได้เปรียบผู้จัดการทีมคนอื่น ซึ่งสมัยเป็นนักเตะไม่เก่งกาจเท่า(แม้นมันจะไม่เสมอไปก็เหอะ) มีอดีตยอดดาวเตะหลายคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในฐานะผู้จัดการทีมหรือโค้ช ไม่ว่าจะเป็น ไบรอัน คลัฟ ผู้ล่วงลับ, อดีตนักเตะเทวดาอย่างโยฮัน ครัฟฟ์, อรหันต์ลิเบอโร่อย่าง ฟร้านซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ จอร์จ เกรแฮม หรือเคนนี่ ดัลกลิช หรือไม่ต้องเป็นถึงยอดดาวเตะ เอาแค่พอมีชื่อเสียงพอหอมปากหอมคออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ก็ได้ แต่ถ้าพูดถึงโชเซ่ มูริญโญ่ ดูเหมือนการเป็นนักฟุตบอลระดับอาชีพจะกลายเป็นทั้งปมด้อยและปมเด่นในตัวของกุนซือผู้นี้ จุดด่างพร้อยของชีวิตเฮียเครียดคือเขาเคยเป็นนักเตะในประเภทที่พากย์ฝรั่งว่า "Who Are Ya" แทบจะไม่มีใครรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่มูริญโญ่ยังอุตส่าห์เปลี่ยนจุดด้อยของตัวเองให้กลายเป็นจุดเด่นในฐานะโค้ช หรือกุนซือดาวรุ่งพุ่งแรงผู้ประสบความสำเร็จได้โดย ที่ไม่จำเป็นที่ต้องเล่นฟุตบอลเก่งกาจหรือเคยได้เหรียญทองกีฬาสีมาก่อน ใช่ว่าทุกคนจะทำได้แบบ "เฮียเครียด" และนั่นหมายถึงการบำเพ็ญเพียรพยายามอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับ ถึงนักเตะชื่อ โชเซ่ มูริญโญ่ จะไม่เก่งกาจอะไร แต่อาจวิเคราะห์ได้ว่าเขาเป็นผู้มีความเข้าใจในเกม พอๆ กับรู้เรื่องลูกหนังอย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว เมื่อบวกกับความขยันเล่าเรียนและศึกษาไขว่คว้าหาความรู้ในเรื่องลูกหนัง อีกทั้งยังเป็นศิษย์มีครู (อาจารย์ปู่บ๊อบ) มันจึงหล่อหลอมให้เขาเป็น ซุปเปอร์ เมเนเจอร์ อีกคนของวงการตั้งแต่ยังหนุ่ม อาจเพราะปมด้อยสมัยเป็นนักเตะนี่แหละครับ ที่บรรจงถีบให้ โชเซ่ มูริญโญ่ มีวันนี้ อาจเพราะอดีตที่น่าอับอาย กระตุ้นให้เขาต้องมุ่งมั่นฝึกวิชาอย่างหนักเป็นสองเท่าเพื่อทดแทนประสบการณ์จริงที่ควรได้รับโดยตรงจากสังเวียนแข้งและลบความบกพร่องสมัยเป็นนักเตะของตัวเองให้ได้ ซึ่งผลจากการฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนักหน่วงนี่เอง ที่อาจเป็นเหตุให้ใบหน้าของพี่แกยับยู่ยี่เหมือนกลืนก้อนหินปิ้งไฟ ในลำคอจนถึงบัดนี้ ผิดกับอดีตดาวดังหลายคนที่อาจคิดว่าตัวเองเคยเป็นผู้เล่นเท้าไฟระดับตีนกะซวกไส้มาก่อน เลยคิดว่าตัวเองแน่ หรือที่พวกเด็กแนวเรียกว่า "กูนี่ชัวร์" พอเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นกุนซือบ้าง จึงเสียหลักพุ่งชนความล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะอาจลืมไปว่าหน้าที่หลักของผู้จัดการทีมคือการฝึกสอน วางแผน และแก้เกม เช่นเดียวกับหัวใจสำคัญที่วิธีการถ่ายทอดความรู้ และกระชากความสามารถของลูกทีมออกมาอย่างไรให้มีประโยชน์มากที่สุด ก็ผู้จัดการทีมไม่ได้ลงไปเตะในสนามเองนี่หว่าเพราะฉะนั้นบางทีความเก่งในอดีตก็เป็นแค่ตัวบอกภูมิหลังของผู้จัดการทีมเท่านั้น ไม่ได้เป็นตัวบอกอนาคต และไม่ได้บ่งว่าลูกทีมจะต้องเจริญรอยตามความยิ่งใหญ่สมัยเป็นนักเตะของผู้จัดการทีมเสมอไป คือมันคนละเรื่องเดียวกัน จึงอาจบอกได้เช่นกันว่าบางทีความยิ่งยง สมัยเป็นดาวเตะก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก มิเช่นนั้น แมนฯ ซิตี้ คงได้แชมป์พรีเมียร์ชิพ และเวสต์บรอมวิช คงไม่ต้องหนีตกชั้น เรื่องของการโค้ชชิ่งมันเป็นเรื่องของการใช้สมอง มันเป็นเรื่องของการประชันกึ๋นระหว่างกุนซือและกุนซือ มันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ชั้นสูงเพราะผู้เป็นกุนซื่อจะเก่งกาจปนฉลาดปราดเปรื่องมากขนาดไหน ถ้าลูกทีมที่เปรียบเสมือน ตัวหมากมีชีวิตลงไปทำตามคำสอนมิได้หรือไม่รู้จักพลิกแพลงหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างช่ำชอง มันก็คงไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้น ถ้าเทียบปูมหลังกะกุนซือคนอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ - มูริญโญ่ก็ต้องเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของวงการแบบห้ามเถียง อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างที่ให้ภาพอย่างคมชัดมากกว่าผู้จัดการทีมที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นนักเตะที่ดี ที่ผมเชิญ โชเซ่ มูริญโญ่ ขึ้นมาบนหน้ากระดาษแห่งนี้อีกครั้ง เนื่องจากวันก่อนอ่านเจอข่าวที่ทางบาร์เซโลน่าพยายามไซโคคู่แข่งของตัวเองในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบสิบหกทีมเป็นระยะ ประมาณเป็นการชวนทะเลาะและเล่นสงครามจิตวิทยากันซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่ายอดทีมจากแคว้นคาตาลุนญ่า เผลอหลุดอาการหวั่นเกรง "จ่าฝูง" และ "ว่าที่แชมป์" จากอังกฤษ อย่าง เชลซี ออกมาโดยไม่รู้ตัวนะจ๊ะ...จะบอกให้ เหตุเพราะขุมกำลังของบาร์ซ่า นั้นไม่เป็นรองแถมอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ แต่ผู้คนทั่วไปกลับมองว่าเชลซี เหนือกว่าตรงภาพรวม และกึ๋นส์ของผู้เป็นกุนซือ ซึ่งคาดว่ามันคงทำให้จ่าฝูงบอลสเปน ออกอาการหวาดผวาจนต้องทำเป็นกลบเกลื่อน อันนี้ใครๆ ก็คิดนะครับ ผมไม่ได้คิดคนเดียวคือแทบทุกสื่อยกให้ เชลซี เหนือกว่า บาร์เซโลน่า และฟันธงว่าน่าจะผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จก็ตรงคุณภาพของผู้จัดการทีมที่เหนือกว่านั่นแหละ บรรดาลูกทีมของ แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด จึงต้องเป็นฝ่ายออกมาเปิดฉากพูดอะไรที่ควรเรียกว่า "ยกตนข่มท่าน" นอกจากจะพยายามยกตนข่มท่านแล้ว ยังเพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่า "กูไม่กลัวเชลซี" ครับ - เชลซี ที่เป็นใบหน้าของ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังยักคิ้ว บาร์เซโลน่าส่งดาวถล่มประตูที่ผมเพิ่งรู้ว่า โคตรปากหมาหลบในอย่าง ซามูแอล เอโต้ ออกมาเป็นหัวหอก เพราะสิ่งที่ดาวซัลโว ลา ลีกา บ้วนออกมานั้นมันค่อนข้างแทงใจแบล็คของเฮียเครียดเหลือเกิน เอโต้ ยกหางพี่แฟร้งค์กุนซือหัวหยิกหยอยเหมือนฮะมอยส์ขัดหม้อของตัวเองว่ามีความรู้ในเชิงฟาดแข้งมากกว่ากุนซือของเชลซี ซึ่งนั่นมีความหมายคล้ายๆ การพูดด้วยปากแล้วถากด้วยตา ว่ามูรินโญ่เตะบอลไม่เป็น โดยเฉพาะถ้าเทียบกับไรจ์การ์ดสมัยเป็นนักเตะ แถวบ้านเรียกสะกิดปมด้อยครับ ถึง "เฮียเครียด" จะไม่เคยเป็นนักเตะผู้ยิ่งยงและไม่ได้ลงเล่นแม้แต่ในทีมที่มีพ่อตัวเองเป็นกุนซือตามที่ถูกกระทบกระเทียด แต่ใครก็ตามที่ขุดปมด้อยประเภทนี้มาทิ่มแทงกัน ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่มีสปิริตและน้ำใจนักกีฬาของผู้พูด มันเหมือนการประจานและตอกย้ำปมด้อยของคนอื่น คงไม่มีนักเตะปีศาจแดงคนใดบอกว่าตอนเด็กๆ อาร์แซน เวนเกอร์ เคยถูกลุงแท้ๆ ของตังเองอัดถั่วดำเพราะนั่นเป็นการตอกย้ำถึงปมด้วยของคนอื่น ถ้าเป็นนักเลงแถวโคกอีแหลวคงต้องแจ้งกลับ"พูดสุนัขๆ แบบนี้ต้องเตะปากกัน" เมื่อถูกสะกิดใจอย่างรุนแรงแบบนี้ไม่ต้องสงสัยเรยครับว่าทำไมกุนซือหน้าเครียดตลอด 24 ช.ม. ถึงออกมาเอาคืนอย่างทันควันว่าโค้ชจอมถุยส์ขอองคุณพี่ก็ไม่เคยได้แชมป์ยุโรปหรือแชมป์อะไรในฐานะกุนซือเหมือนอย่างเขา ว่าแร้วก็ฝากคำกระทบชิ่งไปถึงป้าแหวงอาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อลที่กำลังนอนเลียไอศกรีมอยู่กับบ้านว่าเชลซีมีนักเตะท้องถิ่นมากกว่าบางทีมเสียอีกซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่บาร์เซโลน่าออกมาแขวะเขาเลย มูรินโญ่จัดเป็นกุนซือที่ไวต่อความรู้สึกมากครับคือถ้าโดนแล้วจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้เดี๋ยวอกแตกตาย และถ้าใครก็ตามดันทะลึ่งมาชวนเฉือนคารม เขาก็มักจะจัดให้ไม่ผิดหวัง แต่อย่างที่บอกครับว่าสิ่งที่เอโต้บ้วนออกมานั้นนอกจากจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอามาประจานกันแล้ว มันยังแสดงให้เห็นว่าในใจลึกๆ แล้ว พวกท่านก็หวาดๆ เชลซีอยู่เหมือนกัน ถึงได้ออกมาทำเสียงดังว่าโค้ชของข้าเก่งกว่าโค้ชของเอ็ง ประหนึ่งกลัวชาวบ้านจะไม่รู้ว่า แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ก็เป็นกุนซือที่เก่งเหมือนกันนะ น่าเสียดายครับที่กุนซือหนุ่มแห่ง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ปากไวไปหน่อย เพราะแทนที่"เฮียเครียด" จะเอาเกียรติประวัติแห่งการเป็นผู้จัดการทีมของตนมาหักล้างอย่างฉับพลันแบบนั้น การวางมาดนิ่งแล้วเหน็บยิ้มเย้ยหยันพลางพยักหน้าช้าๆ ฝากคำกลับไปในเสียงเยือกเย็นว่า "มึงเจอกูแน่" จากผู้จัดการทีมที่เตะบอลไม่เก่ง มันน่าจะเป็นอะไรที่สยดสยองปนโรคจิต มากครับสำหรับบาร์เซโลน่า
บอ.บู๋ คอลัมน์ทุ่งหญ้าX นสพ.สตาร์ซอคเก้อร์ ขอบคุณค่ะ
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2548 |
|
10 comments |
Last Update : 11 มีนาคม 2548 22:48:34 น. |
Counter : 728 Pageviews. |
|
|
|
ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นสุดยอดผู้จัดการทีมทำให้ตามูได้เรียนรู้จากคนเก่งๆถึงสองคน
แต่ไม่ว่ายังไงผมว่าตอนนี้ตามูยังเทียบชั้นปู่บ๊อบไม่ได้เลย ที่พาทีมเป็นแชป์เยอะแยอะหลายสโมสร
ถึงแม้การมาอยู่กับนิวจะไม่ได้แชมป์ไรติดมือ แต่ก็เรียกว่าพานิวกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหลังจากรุด กุลริด ทำตกต่ำ จนเกือบไปอยู่ท้ายๆตาราง