|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
บทความ: ประกันสุขภาพ...เรื่องโหดและดีในสหรัฐ (รักลูก)
พอดีวันนี้เพิ่งได้ไฟล์ภาพที่น้องแอน Second impact ส่งมาให้จากเมืองไทย เป็นภาพบทความของเราที่ได้ลงในคอลัมน์ World Wide Mom ในนิตยสารรักลูก ฉบับเดือนกันยายน 2550 ค่ะ คิดว่าบทความที่เขียนบทนี้น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง เพราะอัดแน่นด้วยสาระ (และยาวเชียว -- เขากำหนดให้เขียนแค่ 2 หน้า แม่ล่อไปซะ 6 หน้า เอ 4 ให้คนเขียนนิยายมาเขียนบทความก็งี้แหละ แหะๆ แต่ขอโทษสาระล้วนนะคะท่านผู้อ่าน ไม่มีตบจูบ หรือบทพ่อแง่แม่งอน)
ประเดิมด้วยการอวดรูปจากนิตยสารกันก่อนนะเค๊อะ (ไม่ต้องเพ่งในรูปนะคะ ข้างล่างจะลงต้นฉบับให้อ่าน
(แหงะ...ไม่ทราบว่าภาพสุดท้ายนี้ออกมาจะโย้เย้หรือเปล่านะ ทนกับความเย้ไปก่อนนะคะ ขออภัยได้ไฟล์มาเช่นนี้ งือ)
ต้นฉบับ แบบไม่ได้ตัดต่อ (ที่ลงในรักลูกมีการตัดบางส่วนออกไปบ้าง เพื่อให้นิยาย เอ๊ย บทความของเราสั้นลง อิอิ)
ประกันสุขภาพ...เรื่องโหดและดีในสหรัฐ
ช่วงเวลานี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาเริ่มต้นหาเสียงเพื่อแข่งขันเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองเข้าช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 2008 ประเด็นร้อนที่นำมาใช้หาเสียงเป็นเรื่องนำก็คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับการทำสงครามในประเทศอิรัก แต่ถึงกระนั้นปัญหาภายในประเทศ ที่เป็นที่สนใจของประชาชนส่วนใหญ่ ก็คือเรื่องเกี่ยวกับนโยบายด้านบริการสาธารณสุข รวมไปถึงค่ายา ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการด้านประกันสุขภาพ ซึ่งผู้เข้าแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหลายยุค ได้นำมาเป็นข้อหาเสียง แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครจะเข้ามา ปัญหาเรื่องนี้ก็ยังคงเรื้อรังแก้ไม่ตกสักที
ที่สหรัฐอเมริกา คุณไม่ต้องกังวลถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ และคุณภาพของบุคลากร แต่สิ่งที่ต้องพึงตระหนักคือ คุณจะมี เงิน พอที่จะเข้าถึงการแพทย์ที่ทันสมัยหรือไม่ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากคุณอยู่ในฐานะเข้าขั้นผู้มีอันจะกิน แต่บรรดาคนหาเช้ากินค่ำ มนุษย์เงินเดือน หรือเจ้าของธุรกิจขนาดย่อมในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น การมีประกันสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว ซึ่งครอบคลุมวงเงินค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดแทบไม่ได้ เพราะอย่างน้อยก็อุ่นใจว่า ภาระค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะมีบริษัทประกันแบ่งเบาภาระไปส่วนหนึ่ง ยิ่งมีลูกด้วยแล้วมีประกันสุขภาพไว้ สบายใจกว่าค่ะ
ทำไมประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาจึงสำคัญ
บางคนที่เมืองไทยอาจจะไม่เข้าใจ เพราะบ้านเราไม่เห็นจะต้องกังวลถึงการประกันสุขภาพกันให้ปวดสมอง ไม่มีก็ไม่เดือดร้อน ป่วยก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลของรัฐบาลก็ได้ แพทย์ฝีมือดีมีอยู่มาก ค่ารักษาก็อยู่ในขั้นที่พอจ่ายกันไหว แต่ที่ สหรัฐอเมริกาหนึ่งในประเทศมหาอำนาจของโลก กลับไม่มีโรงพยาบาลรัฐบาลชั้นเลิศให้ประชาชนได้เข้าถึงมากนัก โรงพยาบาลที่ดีส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชนทั้งนั้น บางรัฐในสหรัฐอเมริกาอาจจะมีโรงพยาบาลรัฐบาลที่ดี แต่ก็แทบนับจำนวนได้ ก็ลองคิดดูเปรียบเทียบก็แล้วกันนะคะว่า หากคุณต้องไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น ค่าใช้จ่ายจะมหาศาลบานปลายขนาดไหน และนี่เองที่ทำให้การประกันสุขภาพเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตผู้คนในสหรัฐอเมริกา ค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนก็กลายมาเป็นค่าใช้จ่ายหลักในการดำรงชีวิตอีกรายการหนึ่ง
ครอบครัวของดิฉันมีรายได้ระดับปานกลาง สามีดิฉันเป็นพนักงานกินเงินเดือน บริษัทให้สวัสดิการด้านประกันสุขภาพแบบกลุ่ม โดยบริษัทจะจ่ายค่าประกันสุขภาพให้ส่วนหนึ่ง และเราพนักงานก็จะจ่ายสมทบอีกส่วนหนึ่งซึ่งเงินส่วนนี้จะหักออกไปจากเช็คเงินเดือน ซึ่งสวัสดิการนี้จะรวมให้กับครอบครัวด้วย แต่เราก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันสมทบมากขึ้น โดยจ่ายเบี้ยประกันสำหรับเรา 3 คนพ่อแม่ลูก ทุกครั้งที่ดิฉันเปิดเช็คเงินเดือนของสามี ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายไปกับยอดที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันในแต่ละเดือน เพิ่งมารู้สึกว่ามันคุ้มตอนตั้งครรภ์ คลอดลูก กระทั่งลูกลืมตาดูโลกนี่ละค่ะ โดยเฉพาะสำหรับลูก เด็กเล็กแรกเกิดต้องไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพบ่อยๆ อย่างน้อยก็ทุก 3 เดือน และยังต้องฉีดวัคซีนอีก โชคดีที่ได้รับสวัสดิการประกันสุขภาพ ภาระค่ารักษาพยาบาลจึงเบาลงมากทีเดียว
ต้องจ่าย...ต่อเดือน
ทำไมต้องโอดครวญเรื่องเบี้ยประกัน ต้องขอบ่นบ้างละคะ ก็เดือนๆหนึ่งต้องจ่ายสมทบค่าเบี้ยประกันไปไม่น้อย อย่างบริษัทที่สามีเคยทำงานก่อนหน้านี้ เราต้องจ่ายอยู่ในราวๆเดือนละ 340 เหรียญ ราคานี้เราสามารถเลือกหมอ โรงพยาบาลที่มีสัญญากับบริษัทประกันสุขภาพที่เราเป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งค่อนข้างเลือกได้โดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก และขอบอกว่าค่าเบี้ยประกันไม่ใช่คงที่อมตะนิรันดร์กาล บริษัทประกันขึ้นราคาเบี้ยประกันทุกปี เรียกว่าปีหนึ่งถึงจะได้ขึ้นเงินเดือน แต่ส่วนที่ขึ้นมาก็ไปตกอยู่ในมือบริษัทประกันเสียแล้ว เซ็งไหมละคะ
ปีนี้โชคดีขึ้นมานิดที่สามีย้ายงานมาที่ใหม่ สวัสดิการด้านประกันสุขภาพที่มีให้ เราจ่ายแค่เดือนละ 133 เหรียญ ถูกกว่าที่เก่ามาก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ประกอบธุรกิจประกันสุขภาพด้วย โรงพยาบาลนี้มีเครือข่ายสาขาทั่วไป แต่ข้อจำกัดของเราคือ ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลในเครือนี้ที่เดียวเท่านั้น ต่อให้มีคลินิคหมออยู่หน้าปากซอยบ้านก็ไปหาไม่ได้ (ได้เหมือนกัน แต่จ่ายเองนะคะ) อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ถึงกับเลวร้ายเสียทีเดียว โรงพยาบาลที่ว่านี้ ก็เป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง คุณภาพดี แต่แพทย์ที่ขึ้นชื่อบางคนก็ต้องรอคิวนานหน่อย อย่างล่าสุดนัดพาลูกชายไปตรวจสุขภาพ และฉีดวัคซีน กว่าจะได้คิวก็รอไป 1 เดือน แต่เป็นนัดที่ไม่เร่งด่วน รอได้ก็รอกันไปค่ะ อยากพบหมอที่ถูกใจก็ต้องอดทนกันหน่อย
จ่ายค่าเบี้ยประกันไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะจบ ไม่ต้องจ่ายอะไรอีก การไปพบแพทย์ทุกครั้งก็ต้องจ่ายเงินสมทบด้วย เรียกว่าค่า co-pay บางแผนก็จ่ายครั้งละ 20 เหรียญบ้าง 30 เหรียญบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับแผนประกันของแต่ละคน บางแผนที่ไม่ต้องจ่ายค่าco-payเลยก็มี แต่ค่าเบี้ยประกันก็คงจะสูงเอาการ
ส่วนตัวของดิฉันเองที่ไปหาหมอครั้งล่าสุดกับประกันราคาถูก ตอนไปตรวจจ่ายco-payไป 30 เหรียญ แต่ของลูกชายนี่สิเสียแค่ 5 เหรียญเท่านั้น แทบกรี๊ดลั่นโรงพยาบาล ไม่เคยจ่ายถูกอย่างนี้มาก่อน ค่อยมีแรงขับรถไปหาหมอขึ้นมาหน่อย (โรงพยาบาลใหม่นี้ขับรถจากบ้านไปราว 30 นาทีค่ะ)
ได้บริษัทดีที่ให้สวัสดิการด้านประกันสุขภาพดีๆ ก็ดีไปค่ะ มีช่วงหนึ่งในชีวิตที่ดวงตก ก่อนที่สามีจะย้ายมาทำงานที่ปัจจุบัน สามีของดิฉันว่างงานระยะหนึ่ง ระหว่างนี้ก็อยู่อย่างใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะไร้ประกันสุขภาพ ถ้าล้มเจ็บกันหนักๆ มีหวังจ่ายกันกระอัก บุญยังมีอยู่ที่ได้งานที่ใหม่อีกสองเดือนถัดมา แต่ความที่อยากได้งานเร็วๆ จึงก็ไม่ได้ต่อรองและศึกษารายละเอียดสวัสดิการส่วนประกันสุขภาพดีพอ ปรากฏว่าได้แผนประกันที่แย่มากๆ ทั้งๆที่จ่ายค่าเบี้ยประกันไม่น้อยเลย คือ 268 เหรียญต่อเดือน แต่เพิ่งมาทราบว่าเป็นแผนแบบที่บริษัทประกันสุขภาพจะจ่ายเมื่อค่ารักษาพยาบาลรวมตลอดปีเกิน 1,500 เหรียญ ซึ่งเท่ากับว่าเราต้องออกควักกระเป๋าจ่ายไปก่อนพอยอดทั้งปีเกิน 1,500 เหรียญเมื่อไร นั่นละบริษัทประกันจึงจะจ่ายส่วนที่เกิน
โอ้ พระเจ้า...ขอบอกว่าแผนประกันนี้เลวร้ายมากค่ะ เพราะครั้งแรกที่ใช้โดยไม่รู้นึกว่าเหมือนกับสวัสดิการเดิมๆที่เคยได้ ดิฉันพาลูกไปตรวจสุขภาพตอนครบอายุ 1 ขวบ พบแพทย์ ฉีดวัคซีน 2 เข็ม มีเอกสารเรียกเก็บเงินตามหลังอีก 375 เหรียญ ปาดเหงื่อค่ะงานนี้ ก็เคยจ่ายแต่ co-pay แค่ครั้งละ 20 เหรียญสำหรับการพาลูกไปหาหมอแต่ละครั้งนี่ค่ะ โชคดีที่ทำที่บริษัทนี้ไม่นาน สามีก็ได้งานใหม่ที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้ ไม่อย่างนั้นพาลูกไปฉีดวัคซีนที พ่อแม่คงต้องต้มมาม่ากินแทนข้าวเป็นแน่
สนนราคาเบี้ยประกัน และค่าco-pay ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นราคาที่ไม่ต่างกันมากนักสำหรับพนักงานบริษัทที่มีสวัสดิการ บางที่ก็อาจจะมากน้อยต่างกันไป แต่ก็คงไม่มากเท่ากับบรรดาผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการขนาดย่อม หรือทำอาชีพอิสระ ที่ต้องจ่ายประกันสุขภาพเองแบบเต็มๆ ค่าเบี้ยประกันอาจจะแพงกว่าเหล่ามนุษย์เงินเดือนเป็นเท่าตัว เท่าที่คุยกับเพื่อนที่สามีประกอบอาชีพอิสระ ครอบครัวของเธอต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพในราคาที่สูงไม่ใช่น้อย เธอประหยัดค่าเบี้ยประกันต่อเดือนด้วยการเลือกแผนประกันสุขภาพแบบ high deductible คือเลือกที่จะจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเองส่วนหนึ่ง เช่น เธอเลือกแผนแบบจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง 5,000 เหรียญต่อปี ซึ่งก็ยอดนี้จะรวมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี อย่างตอนที่เธอตั้งครรภ์กระทั่งคลอด เธอจ่ายเอง 5,000 เหรียญ ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือก็จะเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันสุขภาพ แผนประกันแบบนี้ เธอบอกว่าจ่ายอยู่ที่ราวๆ 120 เหรียญเฉพาะตัวเธอคนเดียว ส่วนลูก สามี แยกกันประกันคนละแผน เท่าที่สอบถามมา เดือนหนึ่งค่าเบี้ยประกันตกอยู่ที่ 530 เหรียญทั้งครอบครัว จัดว่าไม่สูงมาก แต่ถ้าไปหาหมอ หรือเข้ารับการรักษาพยาบาลก็ต้องจ่ายเองไม่น้อยเลย
เงินประกันคุ้มค่า...ตอนตั้งครรภ์
แน่นอนว่าเราคงไม่อยากล้มหมอนนอนเสื่อเจ็บป่วยเพื่อให้ค่าประกันสุขภาพที่จ่ายไปคุ้มค่าใช่ไหมคะ สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ถ้าจะต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพไปโดยไม่ได้ใช้มันเลย ก็คงไม่มีใครเสียดาย แต่สำหรับแม่อย่างเราๆ ค่าประกันสุขภาพจะคุ้มขึ้นมาทันทีเมื่อเราตั้งครรภ์ และมีลูกค่ะ
เมื่อตั้งครรภ์ การฝากท้อง ไปพบแพทย์ประจำเดือน เป็นสิ่งจำเป็น หนำซ้ำระยะใกล้คลอดยังต้องไปพบทุกสัปดาห์ และยังต้องมีการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ทำอัลตร้าซาวน์ หากใครโชคไม่ดีมีปัญหาระหว่างตั้งครรภ์อีก ถ้าไม่มีบริษัทประกันสุขภาพมารับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ไปบ้าง เราคงจ่ายกันหมดเนื้อหมดตัวทีเดียว อย่างดิฉันที่ตรวจพบเนื้องอกขนาดเล็กที่ปากมดลูกขณะตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนเศษด้วยแล้ว บอกได้เต็มปากเลยว่า โชคดีเหลือเกินที่มีประกันสุขภาพ เท่าที่ย้อนไปดูเอกสารแจกแจงค่าใช้จ่ายมา เฉพาะช่วงที่ตรวจพบเนื้องอก ค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่ 972 เหรียญค่ะ ไม่ต้องจ่ายเอง โล่งอกไป
ทีนี้มาดูตอนคลอดบ้างว่าค่าใช้จ่ายของดิฉันเท่าไร
* ค่าผ่าตัดทำคลอด 5,499 เหรียญ ประกันจ่าย * ค่าอัลตร้าซาวนด์ 330 เหรียญ ประกันจ่าย * ค่าฉีดยาชาทำคลอด 213 เหรียญ ต้องจ่ายเอง เพราะวิสัญญีแพทย์ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของบริษัทที่ใช้ขณะนั้น * ค่าตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะในห้องแล็ป หลายครั้งรวมกัน 395 เหรียญ จ่ายเองเพราะแผนประกันไม่ครอบคลุม
ความจริงแล้วมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ ในส่วนของการไปพบแพทย์แต่ละครั้งแต่ดิฉันหาเอกสารไม่พบ ก็เอามาแจกแจงคร่าวๆ ให้หนาวเล่นเท่านี้ก่อนนะคะ รวมยอดตัวเลขทั้งหมดที่พอหาได้ 7,409 เหรียญ กว่าจะได้น้องธีร์ ลูกชายสุดที่รักคนนี้มากับเขาคนหนึ่ง ไม่รวมกับค่าไวตามินสำหรับแม่ท้องที่หมอออกใบสั่งแพทย์ให้ทานในช่วงที่ตั้งครรภ์นะคะ
เพื่อหาข้อมูลสำหรับบทความนี้ ดิฉันจึงลองสอบถามตัวเลขจากเพื่อนคนอื่นที่มีลูกทำคลอดในสหรัฐอเมริกามาในรายที่ตั้งครรภ์ปรกติ ทำคลอดปรกติ ค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่ 8,000 เหรียญ แต่สำหรับท้องแรกของเธอ มีอาการเบาหวาน โลหิตจางต้องไปพบนักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาด้วย ค่าใช้จ่ายระหว่างตั้งครรภ์จนถึงทำคลอดรวมทั้งหมดจึงตกราว 10,935 เหรียญ เห็นราคาแล้วถ้าจะคูณเป็นค่าเงินบาทเล่นๆ เทียบกับค่าใช้จ่ายที่บ้านเราดูก็ได้ค่ะ เผื่อคนที่อยากมาคลอดที่สหรัฐอเมริกาจะได้ทราบและเตรียมใจไว้
ในเมื่อประกันสุขภาพจ่ายค่าทำคลอดส่วนใหญ่แล้ว สมมติว่าแม่ท้องที่อยู่ประเทศอื่นอยากมาคลอดที่สหรัฐอเมริกาบ้าง พอตั้งครรภ์แล้วก็บินมาซื้อประกันสุขภาพก็ได้สิ ขอบอกว่าถ้ามีเงินก็เชิญตามอัธยาศัยเลยค่ะ เพราะค่าเบี้ยประกันของคุณจะถีบตัวสูงลิบลิ่ว ผันแปรมากไปตามอายุครรภ์ของคุณ และข่าวร้ายคือ บางที่อาจจะไม่รับประกันให้คุณ เช่น ไคเซอร์ เพอร์มาเนนเต้ (Kaiser Permante) มีกฎออกมาด้วยซ้ำว่าคุณต้องเป็นสมาชิกก่อน 1 ปี ถึงจะตั้งครรภ์ได้ หมายถึงว่าถ้ายังไม่ครบ 1 ปี แล้วตั้งครรภ์ขึ้นมา วงเงินประกันก็จะไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ทำไม...ค่ารักษาจึงแพงนัก
บางคนคงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่า ในสหรัฐอเมริกามีเรื่องราวที่ฝ่ายผู้ป่วยฟ้องร้องแพทย์และสถานพยาบาลกันอยู่เนืองๆ หากการรักษาหรือการวินิจฉัยของแพทย์เกิดผิดพลาดขึ้นมาแล้วละก็ ทางฝ่ายผู้ป่วยน้อยรายที่จะนิ่งเฉยยอมรับชะตากรรม บางรายถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นความผิดของแพทย์หรือเปล่า ก็ยังฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จนเรื่องไปจบในศาล เหตุนี้เองที่แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาทุกคนจะต้องมีการประกันภัยความรับผิดชอบทางวิชาชีพ สำหรับผู้ประกอบอาชีพแพทย์ (Medical Malpractice Insurance) ค่าเบี้ยประกันที่แพทย์ต้องจ่ายต่อปีเป็นยอดที่สูงไม่ใช่น้อย สถาบันข้อมูลด้านประกันภัย (Insurance Information Institute)ว่าไว้ว่าจากผลสำรวจในปี ค.ศ. 2006 ค่าเบี้ยประกันที่แพทย์จ่ายในปี ค.ศ. 2005 เฉลี่ยอยู่ที่ 15,000 เหรียญต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 2003 ที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 13,000 ต่อปี ส่วนนี้เองที่กลายมาเป็นต้นทุนหนึ่งของธุรกิจทางการแพทย์
จำนวนฟ้องร้องที่มากขึ้น และจำนวนตัวเลขของค่าเสียหายที่สูงขึ้น ก็มีส่วนทำให้ค่าเบี้ยประกันของแพทย์ก็ขยับตัวสูงขึ้นไปด้วย และเหตุที่แพทย์หลายคนกลัวการฟ้องร้องนี่เอง ทำให้ระมัดระวังการรักษามากขึ้น มีการตรวจละเอียดถี่ถ้วน ส่งคนไข้ไปตรวจกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหาความเห็นที่สอง และแน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาลก็มากขึ้นตามไปด้วย บริษัทประกันสุขภาพต้องจ่ายมากขึ้น แล้วจะไปเอาคืนที่ไหนได้นอกจากผู้ที่ซื้อประกัน วนเป็นงูกินหางอย่างนี้ละคะ
เหตุอีกประการหนึ่งก็เพราะว่าโรงพยาบาลที่นี่ส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชนค่ะ ส่วนโรงพยาบาลรัฐบาลมีน้อย และยังค่อยๆทยอยปิดตัวลงอีกต่างหาก
แล้วคนจนๆ ทำอย่างไร
อ่านค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่แจกแจงมาแล้วดูเหมือนชีวิตช่างโหดร้าย ก็ไม่ถึงกับแย่นักสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐบาลสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานที่ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยโดยให้ซื้อแผนประกันสุขภาพราคาถูกของรัฐบาลที่เรียกว่า Medicaid ซึ่งก็สามารถไปใช้บริการตามโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในแผนประกันนี้ได้ตามปรกติ แต่ใช่ว่าทุกคนในประเทศนี้จะสามารถซื้อบริการนี้ได้ รัฐบาลจำกัดให้เฉพาะครอบครัวที่มีรายได้น้อยเท่านั้น ซึ่งระดับรายได้จะต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับระดับความยากจนตามสถิติของสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากร
ยกตัวอย่างในปีค.ศ. 2006 ระดับความยากจนสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 3 คน คือ มีรายได้ 16,600 เหรียญสหรัฐต่อปี* ถ้าครอบครัวนั้นๆ มีรายได้มากกว่านี้ ก็อาจจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับบริการประกันสุขภาพของรัฐบาล ซึ่งนอกจากเจ้าหน้าที่รัฐจะตรวจสอบรายได้ของครอบครัวนั้น ก็ยังต้องตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อพิสูจน์ว่ามีคุณสมบัติพอเพียงให้รู้ว่าจนจริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะได้กันง่ายๆ แต่อย่างไรก็ดี ก็มีกรณียกเว้น อย่างแม่ที่เลี้ยงลูกคนเดียว หรือเด็กสาวอายุต่ำกว่า 13 ปีที่ตั้งครรภ์ ก็อาจจะสามารถสมัครขอรับสิทธิ์ในส่วนนี้ได้โดยทันที และการประกันดังกล่าวก็ครอบคลุมถึงลูกด้วย
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ รู้สึกรักเมืองไทยมากขึ้นไหมคะ ค่าที่อย่างน้อยเรายังมีโรงพยาบาลของรัฐบาลที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยให้ผู้คนทุกระดับได้เข้าใช้บริการในราคาที่ยุติธรรม หากเป็นไปได้ อยากฝากถึงรัฐบาลไทยว่าอย่าทอดทิ้งหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐ เพิ่มจำนวนโรงพยาบาลของรัฐ และศักยภาพของโรงพยาบาลให้มากขึ้น เพื่อบริการประชาชนอย่างทั่วถึง อย่าทำแบบรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ปล่อยให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในบริการด้านสาธารณสุขมากเกินไป คุณภาพและบริการดีจริง แต่ราคาที่จ่ายไปเล่า ยุติธรรมหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้
สุขภาพเป็นเรื่องที่ต้องดูแล ครอบครัวชาวอเมริกันต้องพึ่งบริษัทประกันสุขภาพ ซึ่งขึ้นค่าเบี้ยประกันทุกปี ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก ประชาชนก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับประธานาธิบดีคนต่อๆไป ซึ่งไม่รู้ว่า คนไหน เมื่อไร จะช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงจังเสียที ในเมื่อนักธุรกิจกับนักการเมือง ดูคล้ายจะเป็นพวกเดียวกันไปเสียแล้ว
*ข้อมูลจาก //www.census.gov/hhes/www/poverty/threshld/thresh06.html
อ่านกันจนเหนื่อยเลยมั้ยคะ ย๊าว ยาว ตอนที่หนังสือออกใหม่ๆ โทรถามแม่ว่ามีลงรูปลูกชายบ้างหรือเปล่า แม่บอกว่ามีรูปเดียวที่ถ่ายรวมครอบครัว เราก็แอบหงุดหงิดเล็กน้อย โธ่ ไม่ได้โชว์รูปหล่อๆ เลย แต่...พอเห็นหน้าบทความของจริงถึงเข้าใจ แหะๆ แม่อัดเนื้อหาไปซะขนาดนั้น จะมีที่เหลือพออวดรูปลูกได้ไงเล่า ปั๊ดโธ่ ไม่เป็นไร อวดรูปลูกหน้านี่ก็ได้ ฮิๆ
ใครว่าลูกเราไม่หล่อแม่ไม่สน แม่ว่าหล่อของแม่ละกัน ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านคร๊าบบบ
Create Date : 04 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2550 1:52:08 น. |
|
22 comments
|
Counter : 735 Pageviews. |
|
|
|
โดย: YGHarding วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:2:17:41 น. |
|
|
|
โดย: Imperfect Mom IP: 70.173.240.148 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:3:15:36 น. |
|
|
|
โดย: Bigmommy วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:5:00:40 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าสวยมาก วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:7:27:46 น. |
|
|
|
โดย: gw IP: 76.97.175.6 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:7:55:24 น. |
|
|
|
โดย: Mimi Mice IP: 74.173.1.211 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:11:03:09 น. |
|
|
|
โดย: p_tham IP: 124.120.165.207 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:3:18:13 น. |
|
|
|
โดย: กุลธิดา IP: 206.74.208.209 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:5:20:30 น. |
|
|
|
โดย: BRo0Ke. วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:5:25:11 น. |
|
|
|
โดย: gw วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:8:19:06 น. |
|
|
|
โดย: ktycoons IP: 165.21.155.14 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:12:09:24 น. |
|
|
|
โดย: Northernlife IP: 69.158.106.226 วันที่: 5 ตุลาคม 2550 เวลา:22:03:06 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 8 ตุลาคม 2550 เวลา:6:05:38 น. |
|
|
|
โดย: pim(พิม) วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:2:31:29 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:23:25:58 น. |
|
|
|
โดย: วลีวิไล วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:12:57:25 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
California United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
|
บล็อกจับฉ่าย บางทีก็อวดรูปลูก บางทีก็เล่าเรื่องที่ไปเที่ยว บางทีก็เล่าไปเรื่อยเปื่อย แนะนำหนังสือบ้าง แล้วแต่เวลาและอารมณ์จะพาไป
* * * * * * *
ส่งเสริมมิตรภาพ และการเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตให้สวยงาม หอมหวานตลอดไป บทความและรูปภาพในบล็อกนี้จึงต้องเป็นไปตามนี้นะจ๊ะ
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
|
|
|
|
|
|
|
ต้องหาเวลาว่างๆ (แอบลูก) มาอ่านให้จบแน่ๆ ค่ะ
(อ่านได้ครึ่งทางค่ะ แบบ่วาอยากทักทายไว้ก่อน อิอิ)