หากจำกัดความ "ช่างตัดผม" แบบสั้นๆ กระชับๆ ก็คงหมายถึงคนที่มีอาชีพหลักในการตัด แต่ง เตรียม ทรงผมของผู้ชายและผู้หญิง และสถานที่ทำงานของช่างตัดผมทั่วไปก็คือร้านทำผม หรือร้านตัดผมนั่นเอง
แน่นอนว่าผมหยิบยกเรื่องราวของ "ช่างตัดผม" มาเขียนถึง เพราะมีโอกาสมาพูดคุยกับ "อาจารย์บุตดา บุญโกมล" วิทยากรสอนตัดผมชายของศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครเขตจตุจักร ที่คว้ารางวัลจากเวทีการแข่งขันประกวดตัดผมชาย โดยวิทยากรจากศูนย์ฝึกอาชีพเขตต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ถึงเรื่องราวต่างๆ ของท่านและการตัดผมชาย ซึ่ง "อาจารย์บุตดา" เล่าว่า ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายสิบปี ก่อนที่ตนเองจะเป็นวิทยากรสอนตัดผมชายของกรุงเทพมหานคร เคยเป็นช่าง
ตัดผมชายมานานมากกว่า 30 ปี จนกระทั่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทำงานใน กทม.มาให้ตัดผม และเห็นว่าตนเองตัดผมฝีมือดี จึงชักชวนให้มาเป็นอาจารย์สอนตัดผมชาย ที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหาคร ซึ่งตอนนั้นในปี 2539 ก็ได้ไปสอนที่โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ม้วน บำรุงศิลป์ ลาดพร้าว 71) ซึ่งเป็นรุ่นแรก สอนได้ประมาณ 6 ปี หลังจากนั้นปี 2546 จึงได้มาสอนที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร จนถึงปัจจุบัน
"อาจารย์บุตดา" เล่าอีกว่า ประมาณปี 2516 ในยุคที่ตนเองเป็นช่างตัดผม ค่าตัดผมหัวละ 10 บาท ทรงผมชายที่นิยมตัดกันมาก ก็เป็นรองทรง รองหวี นักเรียน และทรงอเมริกัน สำหรับทรงอเมริกันถือเป็นทรงที่ตัดยากในขณะนั้น เพราะข้างบนศีรษะจะต้องตัดผมให้เรียบเหมือนลานบิน สมัยนั้นตนเองชอบตัดรองทรงให้ลูกค้ามากที่สุด และตอนเรียนตัดผมจบมาใหม่ๆ ได้ไปอยู่ร้านตัดผมที่วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นร้านใหญ่ ปรากฏว่าไม่สามารถตัดผมทรงอเมริกันได้ เพราะเป็นอะไรที่ยากมากขณะนั้น ทางร้านจึงให้มาประจำอยู่ร้านเล็กๆ แทน ซึ่งถือเป็นประสบการณ์การตัดผมที่ตนเองจำได้ดีทีเดียว
"อาจารย์บุตดา" บอกว่า หลังจากที่ผันตัวเองจากช่างตัดผมมาเป็นอาจารย์สอนตัดผมก็นำวิชาความรู้จากประสบการณ์จริงที่สั่งสมมานาน มาถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน คือสอนให้ผู้ที่มาเรียนสามารถตัดผมทรงต่างๆ ได้ และต่อยอดพัฒนาวิชาชีพในขั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ ซึ่งการที่จะเป็นช่างตัดผมนั้น จะต้องขยันเรียนรู้ มีประสบการณ์ และมีฝีมือในการตัดผม เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจะทำให้เกิดประสบการณ์และเก่งในที่สุด ซึ่งการเรียนตัดผมไม่มีอะไรยาก ถ้าเราตั้งใจจริง โดยเฉพาะการได้เรียนรู้พื้นฐานการตัดผม การใช้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ตัดผมด้วย ซึ่งการเรียนพื้นฐานถือว่าจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นช่างตัดผมในอนาคต
"ในฐานะที่ตนเป็นวิทยากรและอาจารย์สอนตัดผมชาย ทุกครั้งที่ทราบข่าวว่าลูกศิษย์ที่เคยเรียนกับตนไปเปิดร้านตัดผมบ้าง ไปเป็นช่างตัดผมตามที่ต่างๆ บ้าง บางคนก็ต่อยอดไปเป็นอาจารย์สอนตัดผมก็มี จึงรู้สึกดีใจกับการที่นักเรียนได้นำวิชาชีพที่เรียนไปต่อยอดสร้างงานสร้างเงินได้" อาจารย์บุตดา กล่าว
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" ส่วนมุมมองระหว่างร้านตัดผมสมัยใหม่กับร้านตัดผมสมัยเก่า "อาจารย์บุตดา" มองว่าก็คล้ายกัน เพราะเป็นการพลิกแพลงต่อยอดในการตัดผมซึ่งการตัดผมบางครั้งช่างก็ไม่ได้ออกแบบทรงผมเอง เราต้องตามใจลูกค้าในการตัดแต่งทรงผม กลายเป็นแบบทรงผมเฉพาะลูกค้าคนนั้นๆ เหมือนกัน แม้ช่างตัดผมจะมองว่าทรงผมนี้สวย แต่ลูกค้าอาจมองว่าไม่สวย ช่างก็ต้องตามใจลูกค้า ซึ่งไม่ว่าการตัดผมจะพิสดารแค่ไหน ช่างตัดผมใหม่ๆ จะต้องเรียนรู้ทรงพื้นฐานต่างๆ เพื่อต่อยอดในการตัดแต่งออกแบบทรงผมต่างๆ ต่อไป... !!!
นายตะลอน
(ปล.ขอขอบคุณภาพจากนักเรียนแผนกตัดผมชายรุ่น 2/61 ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร)
แน่นอนว่าผมหยิบยกเรื่องราวของ "ช่างตัดผม" มาเขียนถึง เพราะมีโอกาสมาพูดคุยกับ "อาจารย์บุตดา บุญโกมล" วิทยากรสอนตัดผมชายของศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานครเขตจตุจักร ที่คว้ารางวัลจากเวทีการแข่งขันประกวดตัดผมชาย โดยวิทยากรจากศูนย์ฝึกอาชีพเขตต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร ถึงเรื่องราวต่างๆ ของท่านและการตัดผมชาย ซึ่ง "อาจารย์บุตดา" เล่าว่า ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้หลายสิบปี ก่อนที่ตนเองจะเป็นวิทยากรสอนตัดผมชายของกรุงเทพมหานคร เคยเป็นช่าง
ตัดผมชายมานานมากกว่า 30 ปี จนกระทั่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทำงานใน กทม.มาให้ตัดผม และเห็นว่าตนเองตัดผมฝีมือดี จึงชักชวนให้มาเป็นอาจารย์สอนตัดผมชาย ที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหาคร ซึ่งตอนนั้นในปี 2539 ก็ได้ไปสอนที่โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ม้วน บำรุงศิลป์ ลาดพร้าว 71) ซึ่งเป็นรุ่นแรก สอนได้ประมาณ 6 ปี หลังจากนั้นปี 2546 จึงได้มาสอนที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร จนถึงปัจจุบัน
"อาจารย์บุตดา" เล่าอีกว่า ประมาณปี 2516 ในยุคที่ตนเองเป็นช่างตัดผม ค่าตัดผมหัวละ 10 บาท ทรงผมชายที่นิยมตัดกันมาก ก็เป็นรองทรง รองหวี นักเรียน และทรงอเมริกัน สำหรับทรงอเมริกันถือเป็นทรงที่ตัดยากในขณะนั้น เพราะข้างบนศีรษะจะต้องตัดผมให้เรียบเหมือนลานบิน สมัยนั้นตนเองชอบตัดรองทรงให้ลูกค้ามากที่สุด และตอนเรียนตัดผมจบมาใหม่ๆ ได้ไปอยู่ร้านตัดผมที่วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นร้านใหญ่ ปรากฏว่าไม่สามารถตัดผมทรงอเมริกันได้ เพราะเป็นอะไรที่ยากมากขณะนั้น ทางร้านจึงให้มาประจำอยู่ร้านเล็กๆ แทน ซึ่งถือเป็นประสบการณ์การตัดผมที่ตนเองจำได้ดีทีเดียว
"อาจารย์บุตดา" บอกว่า หลังจากที่ผันตัวเองจากช่างตัดผมมาเป็นอาจารย์สอนตัดผมก็นำวิชาความรู้จากประสบการณ์จริงที่สั่งสมมานาน มาถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน คือสอนให้ผู้ที่มาเรียนสามารถตัดผมทรงต่างๆ ได้ และต่อยอดพัฒนาวิชาชีพในขั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ ซึ่งการที่จะเป็นช่างตัดผมนั้น จะต้องขยันเรียนรู้ มีประสบการณ์ และมีฝีมือในการตัดผม เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจะทำให้เกิดประสบการณ์และเก่งในที่สุด ซึ่งการเรียนตัดผมไม่มีอะไรยาก ถ้าเราตั้งใจจริง โดยเฉพาะการได้เรียนรู้พื้นฐานการตัดผม การใช้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ตัดผมด้วย ซึ่งการเรียนพื้นฐานถือว่าจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นช่างตัดผมในอนาคต
"ในฐานะที่ตนเป็นวิทยากรและอาจารย์สอนตัดผมชาย ทุกครั้งที่ทราบข่าวว่าลูกศิษย์ที่เคยเรียนกับตนไปเปิดร้านตัดผมบ้าง ไปเป็นช่างตัดผมตามที่ต่างๆ บ้าง บางคนก็ต่อยอดไปเป็นอาจารย์สอนตัดผมก็มี จึงรู้สึกดีใจกับการที่นักเรียนได้นำวิชาชีพที่เรียนไปต่อยอดสร้างงานสร้างเงินได้" อาจารย์บุตดา กล่าว
ช่วงสุดท้ายของ "ตะลอนตามอำเภอใจ" ส่วนมุมมองระหว่างร้านตัดผมสมัยใหม่กับร้านตัดผมสมัยเก่า "อาจารย์บุตดา" มองว่าก็คล้ายกัน เพราะเป็นการพลิกแพลงต่อยอดในการตัดผมซึ่งการตัดผมบางครั้งช่างก็ไม่ได้ออกแบบทรงผมเอง เราต้องตามใจลูกค้าในการตัดแต่งทรงผม กลายเป็นแบบทรงผมเฉพาะลูกค้าคนนั้นๆ เหมือนกัน แม้ช่างตัดผมจะมองว่าทรงผมนี้สวย แต่ลูกค้าอาจมองว่าไม่สวย ช่างก็ต้องตามใจลูกค้า ซึ่งไม่ว่าการตัดผมจะพิสดารแค่ไหน ช่างตัดผมใหม่ๆ จะต้องเรียนรู้ทรงพื้นฐานต่างๆ เพื่อต่อยอดในการตัดแต่งออกแบบทรงผมต่างๆ ต่อไป... !!!
นายตะลอน
(ปล.ขอขอบคุณภาพจากนักเรียนแผนกตัดผมชายรุ่น 2/61 ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร)