แม้ว่าคำนวณอย่างดี แลกเงินไปคิดว่าพอใช้แน่ๆ มันก็มักมีเหตุ ที่เกิดขึ้นเสมอๆคือ shop เพลินเกินอัตรา ทำงัยดี อยากได๊อยากได้ของชิ้นนี้ จะต้องมีมันกลับมาบ้านด้วย หรือเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น มีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้อยู่ในแผนเกิดขึ้นมาดื้อๆ ที่แล้วร้ายคือเงินหาย ซึ่งมักจะเจอมือไม่ดีมาหยิบยืมไปแบบไม่คืน

แต่ใครล่ะจะเหมือนผู้เขียน หยิบเงินผิดสกุลผิดประเทศไป ก็มันคล้ายๆกันนี่....... เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นู๋ผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

วิธีคลาสิคที่สุดคือ หยิบยืมเพื่อนร่วมทีม แต่ถ้าเพื่อนก็ short หรือมีจำกัด การพึ่งพาตนเองต่อไปนี้น่าจะดีที่สุด

รูดปื๊ดๆ ในเวลาที่มีปัญหาเงินไม่พอ คือใช้บัตรเครดิต สะดวกมาก สำคัญว่าต้องเป็นร้านที่รับ ไม่ใช่ร้านขายของกระจิบกระจอกข้างทาง ใช้แต่ละครั้งทางธนาคารเจ้าของบัตรจะคิดค่าความเสี่ยงของอัตราแลกบวกเข้าไปในยอดเงินที่เรารูด สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็น ณ วันที่เรารูดหรือวันที่ทางร้านเรียกเก็บยังไม่แน่ใจ

อีกแบบที่ใช้คือ ใช้บัตรATM ถอนเงินจากบัญชีเราและซึ่งบัตรที่เราถือต้องมีเครื่องหมาย Plus หรือ Cirrus กดเงินจากเครื่องที่มีเครื่องหมายที่ว่าเหมือนกัน รหัสที่ใช้ก็รหัสเดียวกับที่ใช้ในเมืองไทยนี่แหละ จำนวนเงินที่เราต้องการถอน จะถูกคิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารที่เราเปิดบัญชีไว้ในวันที่กด รวมกับค่าการTransfer ข้อมูล 100 บาท ระบบจะแสดงว่าเงินที่เราต้องการถอน เมื่อคิดเป็นเงินไทยและค่าtranfer จะทำให้การถอนเงินของเราครั้งนี้ เป็นกี่บาท หากเราเห็นว่าแพงเกิน จะไม่ถอนก็ได้ แค่ cancel ไป
ในญี่ปุ่นเครื่องถอนเงินที่มี Plus หรือ Cirrus จะพบได้ง่ายในที่ทำการไปรษณีย์ เท่านั้น

จากประสบการณ์ที่ใช้ทั้ง 2 วิธี พบว่าการรูดการ์ดดีที่สุด เพราะเมื่อนำจำนวนเงินที่ถูกเรียกเก็บ มาคิดหาอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว จะได้อัตราแลกที่บางที่พอๆกันหรืออาจถูกกว่าอัตราที่นำเงินสดไปแลกที่ร้านรับแลกเงินดังๆในไทยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าวันที่ธนาคารคำนวณเพื่อเรียกเก็บนั้นเงินบาทไทยแข็งค่าก็ยิ่งดีกับเรา แม้ว่าการรูดการ์ดทางธนาคารจะบวกค่าอัตราความเสี่ยงแล้วก็ตาม

สำหรับการเรียกเก็บอัตราความเสี่ยงของอัตราแลก แต่ละธนาคารคิดไม่เท่ากัน จึงควรหาข้อมูลดีๆ ก่อนใช้บัตรเครดิตของธนาคารใด

ข้อเสียของการใช้การ์ดรูดคือ ถ้า ถ้าเรา ไม่ยับยั้งชั่งใจ ใจไม่แข็ง ไม่มีเพดานการใช้เงินในทริปนั้น ความทุกข์จะบังเกิดเมื่อเห็นใบแจ้งยอดการใช้บัตรเครดิต

หมายเหตุ: