ขอให้รอ วันรุ่งของพรุ่งนี้ ฟ้าคงมี พรชัยให้กับเรา (พ.ท. ณรงค์เดช นันทโพธิเดช)
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
สันดาน เจ้าของร้าน


รู้สึกอากาศสบายๆ หลังจากที่ฝนตกมาเมื่อตอนกลางวัน ทำให้อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวในตอนเย็นของฤดูร้อนในเดือนมกราคม ที่ร้อนจัดมากในบริสเบน รู้สึกสบายขึ้นมาอย่าง เห็นได้ชัด กลิ่นของฝนที่ระเหยขึ้นมาจากพื้น หอบเอาไอดินขึ้นมาด้วย ทำให้บริเวณระเบียงหลังบ้าน ที่เราใช้นั่งกินข้าวกัน ได้รับรู้ถึงบรรยากาศที่มีทั้งความอบอุ่น เหมือนตอนที่ผมยังเด็ก ผมเคย สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ ตอนที่ผมอยู่บ้านสวนที่จังหวัดนนท์ ที่เวลาฝนมา ลมมาจะหอบเอาไอน้ำ ใบไม้ และละอองเกสรของดอกไม้ปลิวมาตามลม ย่านนิวฟาร์ม บริสเบน ในฤดูร้อนก็เช่นกันมองไปทางไหนก็เห็นแต่ดอกJacaranda หรือ ดอกศรีตรัง สีม่วงบานสะพรั่งเป็นแถวเป็นแนวเต็มไปหมด ดอกที่บานแล้วร่วงหล่นลงพื้นดินไม่ ขาดระยะ ดอกใหม่ก็บานขึ้นมาแทนที่ เหมือนกับมีตัวตายตัวแทน กลิ่นดินกลิ่นฝนก็ไม่ได้แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเมืองไทยหรือออสเตรเลีย ธรรมชาติไม่เคยแบ่งแยกว่าเป็นที่ไหน คนต่างหากที่แบ่งแยกว่าที่นี่ ที่โน้นเพราะในความจริงก็เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นบนโลกใบเดียวกัน เสียงเจ้าของบ้านทำอาหารอยู่ในห้องครัวซึ่งติดอยู่กับระเบียงหลังบ้าน ผมนอนอยู่ใน เปลญวน ซึ่งผูกไว้ใกล้กับโต๊ะนั่งเล่น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง เด็กสาวชาวญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรับ สักครู่ก็พูดขึ้นว่า “James...someone needs talking to you.” ผมรู้สึกแปลกใจว่าใครกัน พอไปรับ จึงรู้ว่า พี่นันท์เจ้าของร้านที่ไปสมัครทำงานในร้านอาหารไว้เมื่อวาน ต้องการให้ผมไปลองทำงานในวันนี้ สิบนาที ต่อมา พี่นันท์ก็มาจอดรถหน้าบ้านเพื่อรับไปทำงาน

ในใจนั้นตื่นเต้นบอกไม่ถูกเพราะนึกไม่ออกว่าในครัวของร้านอาหารนั้นเป็น อย่างไร แต่ก็สะกดใจไม่ให้มีความรู้อะไรมากเพราะอย่างไรเดี๋ยวก็ได้เห็น ก็อย่างว่าแหละครับ ผมต้องมาต่อสู้ดิ้นรน ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมได้เตรียมตัวเตรียม ใจไว้แล้ว แต่โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไม่มีอุปสรรคอันใดมาขัดขวางให้เป็นที่เบื่อหน่ายและ หายตื่นเต้น ผมเริ่มดำเนินงานตามแผนที่ได้วางไว้ก่อนมาว่า จะต้องหางานทำ และงานที่นัก เรียน ไทยในต่างแดนนิยมชมชอบ ก็คงไม่พ้นงานในร้านอาหารไทย โชคดีที่หาวันแรกก็ได้เลย ที่ ร้านอาหารชื่อร้านเกาะสมุย พี่นันท์เป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี
หลังจากเจ้าของแนะนำพนักงานใหม่คือผมให้คนในครัวรู้และให้สอนงานให้ด้วย พนักงานส่วนใหญ่ก็เป็นนักเรียน จะมีสองคนที่ไม่ใช่นักเรียน คือ แอน ภรรยาเจ้าของร้าน และ อ๋อง เป็นน้องของแอนอีกที อีกสามสี่คนเป็นนักเรียน มี คราม ครีม เป็นพี่น้องกัน เก๋ และที่เหลือมีพนักงานทำด้านหน้าร้าน อีกสาม สี่คน
เสียงแอนเรียก....... มาทางนี้มาจะบอกให้ต้องทำอะไรบ้าง
ผมเดินไปใกล้ๆคนที่เรียก เธอก็สาธยายต่ออีกว่า...... นี่เลย หม้อหุงข้าว เข้าร้านมาอับดับแรกหุงข้าวก่อน แล้วแอนก็สอนว่าต้องหุงข้าวกี่กระป๋อง ใส่น้ำแค่ไหน พอหุงข้าวเสร็จ สอนโน่นสอนนี่ นำเสนอมากมาย มาจบตรงที่บอกว่า พี่มีหน้าทำแกง แต่เรามาเข้าใจตอนหลังคือทำทุกอย่างไม่ให้ว่าง แต่งานหลักคือเป็นคนทำแกง การทำแกงก็แค่เอาหม้อเล็กๆที่มีด้ามจับ ตักน้ำแกงที่มีคนเตรียมไว้ให้ใส่ในหม้อ และหยิบ หมู เนื้อ ไก่ ตามแต่ลูกค้าสั่ง และก็ใส่ผักตามที่ทางร้านออกแบบหน้าตาของแกงไว้ ขึ้นตั้งไฟให้สุก แล้วก็เทใส่จานส่งให้พนักงานยกอาหาร ยกออกไปเสิร์ฟ ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพียงแค่จำให้ได้ว่าแกงอะไรใส่อะไร แค่นั้นเอง ทำงานวันแรกได้ค่าแรงวันละสามสิบห้าเหรียญ ทำทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่หั่น ผัก หันเนื้อ ขูดเนื้อปลาทำทอดมัน ทำแกง หุงข้าว ไปจนถึงล้างจาน กวาดพื้น พี่เจ้าของร้านเป็นคนใจดีถึงแม้ว่าจะดูแปลกๆสักหน่อย คือพี่แกชอบเล่นชอบคุยกับเด็กบางคนเป็นพิเศษ ถ้าได้รู้ว่าพื้นฐานทางบ้านของเด็กเหล่านั้นเป็นคนรวย พ่อแม่เป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ พี่นันท์และแอน จะให้ความสนิทสนมเป็นกันเองพิเศษ แต่สิ่งนี้ผมก็มาเข้าใจตอนหลังเมื่ออยู่ไปหลายๆปี ทำงานมาหลายร้าน ว่าไม่ได้เฉพาะพี่นันท์และแอน ที่เป็นอย่างนั้น เกือบทุกร้านเจ้าของร้านก็จะเป็นแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะเป็นการผูกสัมพันธ์กับเด็กเพื่อวันข้างหน้า หรืออาจจะหวังพึ่งพาอาศัยกันในวันข้างหน้า ส่วนผมเป็นไพร่แต่ขยันทำงาน และเรียนรู้เร็วโดยเฉพาะงานใช้แรงงานและไม่เกี่ยงงาน ทุกวันนี้ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เข้าไปทำงานในร้านนี้ เพราะเพื่อนร่วมงานขั้นต่ำเป็นลูกเจ้าของร้านทอง ไอ้เด็กเวร พวกนี้ไม่ต้องพูดถึง ทุกคนทำงานเป็นแฟชั่น เพื่อเอาไว้คุยกันเวลากลับเมืองไทยว่า อยู่ เมืองนอกนะ ฉันต้องทำงานอย่างนั้นทำงานอย่างนี้ ลำบากอย่างนั้นลำบากอย่างนี้ ไม่ได้จริงจัง กับการงาน หรือไม่ก็ทำเพื่อเป็นข้อต่อรองให้โคตรเหง้ามะขามเฒ่าของมันเห็นใจว่า ลูกบังเกิด เกล้าเป็นเด็กดี ลำบากตรากตรำขนาดไหน เพราะฉะนั้นต้องรีบส่งเงินเพิ่มมาอีกแต่โดยดี อย่าให้ ต้องมีน้ำโห ไม่อย่างนั้นไม่พอค่าแต่งตัว ค่าไปเที่ยว บางคนทำเพราะว่ามีแฟนมาทำด้วย ว่าไปแล้วก็เหมือนติดกัน ไม่อยากให้คลาดสายตา

ผมเห็นด้วยกับบางคนที่พูดว่า รู้สึกเสียดายเวลาขณะที่มาศึกษาในต่างประเทศแล้วมัวไปทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไป กับการทำงานในร้านอาหารไทย ทั้งที่ไม่เดือดร้อนอะไรสักหน่อย แทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้นมาอ่านหนังสือหรือดูข่าวเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัว เอง และฝึกฝนตัวเองในวิชาที่เรียนหรือเรียนรู้สิ่งที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ทำงานจนดึก กลับไปที่พักล้มตัวลงก็นอนหลับเป็นตาย เช้าไม่อยากตื่นอีก แต่ผมนั้นเอาไปเทียบกับคนเหล่านั้นไม่ได้ ถึงแม้จะเห็นด้วย เพราะตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ทั้งที่ตัวผมเองขี้เกียจตัวเป็นขน ถ้าเลือกได้จะตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กๆ จะได้ไม่ต้องมาดิ้นรนเพื่อดับกิเลสในใจ ที่มีความอยากเป็นตัวพาหะนำไป ความอยากที่ว่านั้นก็คือ อยากมาเรียนในต่างประเทศ อยากมีงานดีๆทำ มีเงินเยอะๆ ก็อย่างที่บอกล่ะครับ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ได้มาทำงานในร้านนี้ การที่หางานทำได้ก็นับว่าโชคดี แต่การที่ได้ร่วมงานกับไอ้พวกลูกผู้มีอันจะกินทั้งหลาย ไม่ต้องห่วง ไอ้เด็กเวรพวก นี้ ไม่รู้ว่ามันเต็มใจมาเกิดหรือไม่ เพราะมันช่างไม่มีสามัญสำนึกเอาซะเลย เอาเปรียบคนอื่นได้ หน้าตาเฉย เอาเปรียบสารพัด เห็นคนอื่นเขาทำงาน แทนที่มันจะช่วย เปล่าเลย มันทำเป็นมองไม่เห็น ความรู้สึกนี้ผมเคยเห็นมามาก เวลาขึ้นรถเมล์ที่กรุงเทพ บางครั้งมีคนแก่ ผู้หญิงท้องขึ้นมา แทนที่ ผู้ชายจะลุกให้นั่ง กลับทำเป็นไม่เห็น บางครั้งแกล้งทำเป็นหลับยังมีเลย อย่างไอ้เด็กนรกคนหนึ่ง พนักงานทุกคนช่วยกันเก็บครัว บางคนต้องล้างจาน บางคนต้องกวาดพื้น เก็บโน่นกวาดนี้ พนักงานคนอื่นต่างก็ช่วยกันเก็บร้าน แต่มันนั่งกินข้าวหน้าตาเฉย ไม่รู้ว่ามันจะกินเป็นมื้อสุดท้ายในชีวิตของมันหรืออย่างไร หรือว่ามันไม่เคยอยู่ร่วมกับคนมาหรืออย่างไร มันถึงไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไร หรือเวลามันอยู่บ้าน ญาติผู้ใหญ่ของมันอันได้แก่พ่อแม่มันเป็นต้น มัวไปตายอยู่ที่ไหนไม่ทราบถึงไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนให้บุตรหลานของท่าน ให้มีสามัญสำนึกสักนิดว่า การทำงานร่วมกับคนอื่น ต้องช่วยเหลือกัน ไม่อย่างนั้นงานก็ไม่เสร็จ การเอาเปรียบคนอื่น จะทำให้เป็นที่รังเกียจกับผู้อื่นที่ทำงานด้วย ที่น่าเจ็บปวดใจตรงที่เจ้าของร้านก็ไม่พูดว่าอะไร ไม่รู้กลัวบิดา มารดามันจะไม่ให้ลงเลือกตั้งหรือตัดสิทธิ์โควต้ารัฐมนตรีหรืออย่างไรไม่ทราบ ได้ทำงานอยู่ในร้านนี้สามเดือนเห็นจะได้ ร้านก็เจ๊ง ไม่รู้เป็นเพราะผมหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่เพราะขายดีมาก แต่ทำไมเจ๊ง ยังงงอยู่เลย เจ้าของร้านบินกลับไทยแล้วไม่เคยเจอกันอีกเลย ปล่อยให้เจ้าหนี้มาปิดร้าน ใครทราบช่วยบอกให้พี่แกจ่ายเงินค่าแรงด้วย ยังไม่ได้จ่ายให้ผมเจ็ดสิบเหรียญ


ถ้าเราจะเปรียบเทียบประเภทของเจ้าของร้านเป็นนักการเมืองเราคงเปรียบได้ ดังนี้
1. เจ้าของร้านแบบอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (นายชวน หลีกภัย) เจ้าของร้านประเภทนี้จะไม่สนใจปัญหาภายในร้าน คือไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้รับรายงาน ส่วนใหญ่ร้านที่เจ้าของเป็นแบบนี้ พนักงานจะรวมตัวกันเป็นแก๊ง ใครไม่เข้าพวกก็จะอยู่ไม่ได้ พนักงานในร้าน จะบีบกันเองจนทนไม่ได้ ก็ออกไปเอง

2. เจ้าของร้านที่เป็นแบบอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย (นายบรรหาร ศิลปอาชา)
เจ้าของร้านประเภทนี้จะดูแลทุกอย่างเป็นคนผัดอาหาร หรือไม่ก็เป็นผู้จัดการร้านเองแก้ปัญหาหมดทุกเรื่อง พวกนี้ใจใหญ่ ทำอาหารเลี้ยงหลังเลิกงานด้วย พนักงานจะรู้สึกอบอุ่นและอยู่ในสายตาเจ้าของร้าน ทำดีทำไม่ดี เจ้าของร้านเห็นหมด

3. เจ้าของร้านที่เป็นแบบอดีตหัวหน้าพรรคประชากรไทย (นาย สมัคร สุนทรเวช) เจ้าของร้านประเภทนี้จู้จี้ ขี้บ่น อะไรไม่ถูกใจโมโหเจ้าอารมณ์ แต่จริงใจ และมีน้ำใจและ ยุติธรรมกับพนักงาน ขับรถส่งพนักงานถึงบ้าน หลังเลิกงาน พูดคำไหนคำนั้น

4. เจ้าของร้านที่เป็นแบบอดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม (พลตรีจำลอง ศรีเมือง)
เจ้าของร้านประเภทนี้พูดจาดี ปากหวาน แต่ไร้น้ำใจ ไม่จริงใจกับพนักงาน
กดค่าแรง ให้ค่าแรงถูก วันไหนไม่มีลูกค้าจะสั่งพนักงานหยุดงานหน้าตาเฉย
ทำอาหาร ให้พนักงาน ก็มีแต่ผัก ไม่มีหมู,เนื้อ,ไก่ (เปลือง) มาสาย ห้านาที สิบนาที หักเงิน แต่มาเร็วไม่เคยให้เพิ่ม

5. เจ้าของร้านที่เป็นอดีตแบบหัวหน้าพรรคไทยรักไทย (ดร.ทักษิณ ชินวัตร)
เจ้าของร้านประเภทนี้ชอบคัดแต่พนักงานที่เป็นงาน คนไหนไม่เป็นงานไม่รับ ยิ่งถ้าคนไหนทำงานดี ซื้อมือถือแจกเลย เพื่อที่จะเรียกใช้งานได้ทุกเวลา (แต่ค่าโทร พนักงานจ่ายเองนะ) จะได้เป็นพนักงาน ซีอีโอ


ถ้าเราเปรียบเทียบพนักงานคงจะเปรียบได้กับดาราคือ
1. พนักงานที่เป็นแบบนักแสดงสมทบ
พนักงานประเภทนี้ขยันมาก ร้านในเรียกไปทำไปหมดไม่เคยเกี่ยงราคาค่าตัว มาก่อนร้านเปิด ก่อนเจ้าของมา งานเข้าห้าโมง สี่โมงถึงร้านแล้ว

2. พนักงานที่เป็นแบบพระเอก และนางเอก
พนักงานประเภทนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นงาน มีการต่อรองค่าตัว และเลือกร้านที่จะทำเหมือนดาราเลือกบทเล่น ต้องขอดูบทก่อน มีแก้ผ้าหรือเปล่า มีเห็นเต้านม แต่ไม่เห็นหัวหรือเห็นหัวนมด้วย มีจูบปากแบบใช้ลิ้นด้วยหรือไม่ โธ่ ..อีหอยหลอด เรื่องมากนัก

3. พนักงานที่เป็นแบบนักเรียนการแสดง พนักงานประเภทนี้ไม่เป็นอะไรเลย แล้วแต่ร้านไหนให้โอกาสหัดให้ทำงาน เหมือนดาราหน้าใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวตลอด และมือไม้อ่อนไหว้หมดทุกคน มาทำงานวันแรก มันยกมือไหว้ตั้งแต่คนส่งเนื้อ ส่งผัก พนักงานเสิร์ฟ แม่ครัว ช่างไฟ บางทีลืมตัวไหว้ พวกเดียวกันเองยังมีเลย

4. พนักงานที่เป็นแบบตลกที่ไม่มีมุขหรือดาราไม่มีบทพูด
พนักงานประเภทนี้ขี้เกียจ ถ้าไม่ใช้ก็ไม่มีสมองคิดทำอะไรเอง ต้องบอกต้องใช้ตลอดถึงจะทำ ยืนอย่างเดียว ไม่มีมุขปล่อย ซังกะตายเหมือนกันไม่มีผิด ทำงานไป ดูนาฬิกาไป ก็มี ไม่รู้เมียมันเจ็บท้องอยู่ที่บ้านหรือไง แล้วไม่รู้มันจะมาทำงานหาดาบ (หอก) อะไร ของมัน ก็อยู่บ้านอ่านหนังสือเรียน เดี๋ยวพ่อแม่ก็ส่งเงินมาให้ เรียนอย่างเดียว จะได้ รีบกลับๆไปซะ

5. พนักงานที่เป็นนางร้าย และ ตัวร้าย
พนักงานประเภทนี้ชอบประจบเจ้าของร้าน แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง และเอาเปรียบเวลาทำงาน พวกนี้มันร้ายจริงๆ เหมือนดาราที่แสดงได้สมบทบาท พนักงานประเภทนี้เล่นได้ร้ายมาก ถึงได้เล่นได้เหมือนมาก ยิ่งถ้าเจ้าของร้านเป็นพวกหูดำด้วย หรือพวกที่แต๋วแตกด้วยแล้ว พนักพวกจะบริหารเสน่ห์ จนคนอื่นๆทำงานเหนื่อยขาลาก

นอกจากนี้ยังมีเจ้าของร้านเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นหญิง และเจ้าของร้านที่เป็นหญิงแต่ใจเป็นชาย เจ้าของร้านประเภทนี้ชอบรับแต่พนักงานหน้าตาดีๆไม่ได้ ป้อจ้องแต่จะเสียบ หรือให้เสียบ หรือจะเล่นแต่ดนตรีไทย แต่ไม่ได้เสียบเพื่อชาติ เจ้าของร้านพวกนี้จะน่ากลัวเพราะ นอกจากจะต้องทำงานแลกกับเงินแล้ว ยังต้องดูว่าวันนี้จะสบอารมณ์พวกคุณเธอที่อารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอด พวกนี้จะใจบุญชอบอุปการะเด็กที่หน้าตาดี หรือเล่นด้วย เจ้าร้านประเภทนี้ชอบพนักงานที่พูดเอาใจ ถ้านักงานคนไหนมีแฟนแล้วมักจะได้วันทำงานน้อย

.....มีนักเรียนคนหนึ่งในเมลเบิร์นเล่าว่า เขาไปทำงานในร้านที่มีเจ้าของสามคน คนหนึ่งเป็นทอม คนหนึ่งเป็นดี้คู่ขาทอมนั่นแหละ แต่ตอนหลังกลับตัวไปมีผัวฝรั่งประชดทอม เพราะไอ้ทอมมันเจ้าชู้ แล้วอีกคนหนึ่งเป็นเกย์ น้องคนนี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี มีประสบการณ์ในร้านอาหารหลายปี ทำได้ทุกอย่าง ไปทำเป็นคนผัด ทดลองงานได้หนึ่งอาทิตย์ทำไม่ได้ บรรยากาศในร้านอึดอัดมาก เพราะเจ้าของร้านแบ่งจองเด็ก และเด็กก็แบ่งกันจองเจ้าของร้าน เลยต้องออกมาด้วยความอึดอัด จะคุยจะถามอะไรกับพนักงานผู้หญิง เจ้าของร้านเป็นทอมก็ไม่พอใจ จะคุยกับเจ้าของร้านพนักงานแม่งก็ไม่พอใจ จะคุยจะถามกับผู้ชายด้วยกัน พวกแม่งก็ไม่ค่อยคุยด้วยเพราะพวกมันกลัวเราจะได้วันเยอะแล้วเจ้าของร้านจะไป ลดวันมัน เห็นแล้วปวดหัวอึดอัด เลยออกแม่งเลย น้องคนนั้นบ่นแบบขำขำให้ฟัง แล้วมันพูดต่ออีก..... ผมนะ ไม่แปลกใจเลยพี่ ที่ร้านแม่งประกาศรับพนักงานอยู่ตลอด ก็บรรยากาศมันไม่ปกติมนุษย์แบบนั้น พนักงานเก่าตั้งเป็นแก๊ง เป็นก๊วน ใครไม่เข้าพวกก็อยู่ไม่ได้ อึดอัด ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าถ้าผมไปตั้งหน้าตั้งตาจีบหญิงในร้านมัน ไม่รู้เจ้าของร้านที่เป็นทอมจะไล่เอาปังฟันคอผมขาดหรือเปล่าไม่รู้............... พอพูดจบมันโปรยยิ้มให้ผมอย่างโล่งอกที่ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศแบบอึดอัด ผมก็ได้แต่ยิ้มรับรู้ เพราะว่ามันคงไม่ได้ต้องการให้เราแสดงความคิดเห็นอะไร แค่มันอยากจะเล่าให้ฟังเฉยๆ

นอกจากนี้ยังมีอีกมากมายหลายประเภท สุดที่จะจำแนกแยกแยะ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านหรือพนักงานที่เป็นแบบซ้อเจ็ด และแป๊ะลิ้ม คือใครจะทำอะไรกันที่ไหน แม่งรู้หมด อย่างกับว่ามันอยู่ในเหตุการณ์และเห็นเขาทำกัน ถึงเวลาจะต้องเล่าต้องนินทากันในร้าน ความชั่วความเลวคนอื่นรู้หมด แต่ตัวเองศีลห้าข้อไม่มีสักข้อ ไม่เคยมอง

เจ้าของร้านบางคนแอบถ่ายคลิปพนักงานเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ยังมี ปกปิดกันให้แซดในเมลเบิร์น มันน่าเจ็บปวดตรงที่ แทนคนไทยด้วยกัน มันน่าจะเข้าข้างเด็กเพราะเด็กเป็นฝ่ายเสียหาย แต่ผู้มีหน้ามีตาในสังคมที่นี่ และพวกบรรดาขาใหญ่ทั้งหลาย เขาเลือกที่จะไกล่เกลี่ยที่เด็ก ไม่ให้เด็กเอาเรื่อง ปล่อยให้คนโรคจิตลอยนวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอปีสองปี นักเรียนก็ลืม เพราะว่านักเรียน เรียนจบก็กลับบ้าน คนใหม่ก็มา ก็ไม่รู้ไอ้พวกสมาคม ที่ตั้งกันเป็นว่าเล่น มีบทบาทอะไรบ้าง มีแต่รับบริจาค ไม่เคยเห็นเรียกร้องสิทธิอะไรให้คนเดือดร้อน


ร้านอาหารแต่ละร้านก็เป็นแหล่งรวมของผู้คนมากหน้าหลายตา หลายที่มา ทุกคนต่างก็ดิ้นรนกันไป โดยมีเป้าหมายไปคนละอย่าง ทุกคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับเป็นการศีกษานอกหลักสูตร ที่นักเรียนส่วนใหญ่ต้อง ผ่านหลักสูตรนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรจะตระหนักก็คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราควรจะทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่ทำเพราะอยากได้เงินเพียงอย่างเดียว เราต้องเตรียมความพร้อมของจิตใจที่จะรับกับสภาวการณ์ต่างๆ ต้องมีทั้งความอดทนและอดกลั้น อย่าเป็นคนเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเพราะคงไม่มีสังคมไหนยอมรับได้ หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวเราเองก็ตาม ก็คงจะไม่มีใครยอมรับได้เช่นกัน ถ้าหากมีคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเป็นคนเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว

บางครั้งเราอาจจะรู้สึกเหนื่อยท้อแท้ หมดกำลังจะต่อสู้ดิ้นรน บางครั้งรู้สึกเหงา เหมือนอยู่คนเดียวในโลกนี้ ก็ต้องลองนึกย้อนกลับไปมองคนอื่น ที่เขาลำบากกว่าเรา ก็จะทำให้เรารู้สึกดี เพราะอย่างน้อยก็ทำให้มีกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป และ ไขว่คว้าหาสิ่งที่สุขสม คงมีสักวันที่ไปถึงสิ่งที่ต้องการ เพราะการที่เราเศร้าโศก หมดกำลังใจ ท้อแท้ นอกจากจะไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นแล้ว ใจก็ไม่สงบ มีแต่จะเกิดทุกข์มากยิ่งขึ้น ร่างกายก็จะ พลอยทรุดโทรมตามไปด้วย ผู้ที่คิดจะแสวงหาความสุขในชีวิต ควรจะรู้จักระงับความเศร้าโศก เสียใจและท้อแท้ ไม่ควรจมอยู่กับอดีต เพราะอดีตก็เหมือนเงาจันทร์ในน้ำ ที่เรามองเห็นแต่เราไม่สามารถที่จะจับต้องมันได้ ควรทำใจให้สงบและเดินหน้าต่อไปอย่างมีสติ ในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น ย่อมมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างแน่นอน หมายถึงถ้าเราทำอะไรในอดีตก็ต้องส่งผลถึงปัจจุบันและอนาคต ถ้าชีวิตคือการแสวงหา ก็ขอให้หาให้พบเร็วๆ และอย่าแสวงหาอย่าง ไม่มีสิ้นสุด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราคงต้องแสวงหาไปจนตาย

พินิจนันท์ เจมส์
28 May 1999



Create Date : 19 กรกฎาคม 2553
Last Update : 19 กรกฎาคม 2553 12:02:41 น. 3 comments
Counter : 793 Pageviews.

 
I heart your opinions. You can definitely be a writer.

Everything is totally true...haha.


Crisp and fun!


โดย: Wicked Old Tomato IP: 69.181.56.191 วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:11:41:53 น.  

 
แบบว่าเห็นด้วยกับ คม.ที่ หนึ่งนะ

เราก็เคยไปสมัครทำงานร้านอาหารไทย แต่ไปเจอบรรยากาศมาคุ มาคุ ซ้ำค่าแรงกดสุด ขนาดเรามีใบอนุญาตให้ทำงานนะ เลยถอยดีก้า


โดย: BeAcH ClUb วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:09:10 น.  

 
Definitely something need to be done ..
If I were you I 'd try to contact TIWA(Thai information and Welfare association) 1300 898 514 and report the incident ..especially the case of the employer secretly filming female employees..soooooo wrong


โดย: ohm IP: 220.253.233.12 วันที่: 20 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:02:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พินิจนันท์ เจมส์
Location :
โน้ส อุดม Ayaka Oishi Hiroko Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




รวมเรื่องสั้นจากต่างแดน ชุด หนูอยากเป็นโสเภณีนี้
ผู้เขียนตั้งใจเขียนเพื่อให้เป็นความรู้ และตีแผ่สังคมที่ได้พบได้เจอมา ต้องการให้เป็นเรื่องสั้นที่มีครบทุกอรรถรสหลากหลาย อารมณ์ตลก ชีวิต เสียดสีสังคม และแฝงไปด้วยคติเตือนใจ แต่ละเรื่องผู้เขียนหวังแค่ปลุกจิตให้กับผู้อ่าน ได้รู้ได้สัมผัสกับแง่มุมบางแง่ ที่คนอาจมองข้ามไป และต้องการแสดงให้ เห็นว่าทุกสังคมนั้น ย่อมมีการแก่งแย่งแข่งขัน ดิ้นรน โอ้อวด เหยียดหยามกัน มีทั้งคนดี และคนไม่ดี สิ่งเหล่านี้ในสังคมเดียวกัน แต่คนอาจจะพบอาจเจอไม่เหมือนกัน และสังคม ของคน ก็เหมือนสังคมของสัตว์ผู้ที่เก่งผู้ที่มีกำลังมาก ผู้ที่รู้จักปรับตัว ก็ย่อมอยู่ได้ในสังคม นั้น ผู้ที่อ่อนแอและไม่ปรับตัว ก็ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับคนในสังคมนั้น เพราะทุกคนมี ที่มาต่างกันและมีจุดมุ่งหมายต่างกัน แต่ในเมื่อมาอยู่ร่วมกันในที่ที่เดียวกัน ก็ย่อมที่จะมี ปัญหา เพราะทุกคนเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ต่างคน ต่างต้องต่อสู้ดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด

เรื่องสั้นส่วนใหญ่ เคยโพสต์ลงในเวปเอ็มไทย ได้รับคำวิจารณ์และคำติชมจากผู้อ่านพอสมควร ผู้เขียนต้องการเพียงแค่ เสนอแนะให้เป็นข้อคิดกับคนรุ่นต่อไป หรือคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมของคนในต่างแดนว่า เราควรจะเตรียมตัวอย่างไร ถึงจะอยู่รอดได้ ผู้เขียนไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย ที่จะนำชีวิตผู้หนึ่งผู้ใดมาประจานให้ได้รับ ความเสียหาย เพราะทุกเรื่องตัวละครทุกตัวก็เป็นเรื่องสมมุติ ถึงแม้จะอิงหรืออ้างถึงสถานที่ จริง ก็เพื่อให้เกิดความสมจริงขึ้นกับเนื้อเรื่องเท่านั้น

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้ จะบรรจุเรื่องราวต่างๆที่เป็นประโยชน์ ความสนุก สนาน สำหรับผู้อ่านอย่างครบถ้วน

ด้วยความปรารถนาดี

เจมส์

มกราคม 2543
New Comments
Friends' blogs
[Add พินิจนันท์ เจมส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.