หิมะจะเกิดที่เมืองไทยปี 2554 ?
เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมานอกจากความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเราจะมีอุณหภูมิร้อนจัดแล้ว อุณหภูมิของอากาศก็ร้อนแล้งจนน้ำในเขื่อน ในอ่างเก็บน้ำต่างๆ แห้งขอดจนน่าหวั่นวิตกว่าจะไม่มีน้ำกินไม่มีน้ำใช้กันทั้งประเทศถ้าฝนไม่ตกลงมามากเพียงพอ
แต่แล้วความหวาดหวั่นเรื่องภัยแล้งก็หมดไป เมื่อฤดูฝนมาเยือน เพราะปีนี้ฝนตกหนักชนิดเทลงมาจนท่วมท้นล้นเอ่อไปทั่ว ภัยแล้งหมดไปแต่ภัยน้ำท่วม ภูเขาถล่มกลับโถมทับเอาผู้คนย่ำแย่กันไปในหลายภูมิภาค พื้นที่ทางการเกษตรเสียหาย ทรัพย์สินมากมายถูกน้ำท่วมบ้านเรือนถูกพายุถล่มกันในหลายพื้นที่จนหลายคนสิ้นเนื้อประดาตัวไปเป็นจำยวนมาก
ภัยจากน้ำท่วมยังไม่ทันหมด กรมอุตุนิยมวิทยาและนักวิชาการบางคนก็ออกมาเตือนว่าหน้าหนาวปีนี้เมืองไทยของเราจะมีอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ลานิญาที่ทำให้เกิดความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศไปในหลายภูมิภาคทั่วโลกทั้งความแห้งแล้งอย่างรุนแรงจนเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในอเมริกา รัสเซีย และออสเตรเลีย หรือปรากฏการณ์ฝนตกหนักน้ำท่วมดินถล่มอย่างหนักในประเทศจีนนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
อิทธิพลของเจ้าลานิญายังทำให้อุณหภูมิของอากาศในประเทศเขตร้อนแถบเส้นศูนย์สูตรเย็นลงกว่าปรกติ 2-3 องศาเซลเซียส ซึ่งนั่นจะเป็นอิทธิพลที่ทำให้อากาศในบ้านเราหนาวเย็นลงกว่าทุกๆปี โดยแนวของอากาศหนาวจะเลื่อนต่ำลงมามากจนทำให้ภาคกลางและภาคใต้ตอนบน หนาวเย็นลงกว่าหน้าหนาวในปีก่อน ๆ เฉลี่ย 2-3 องศาเซลเซียส และแน่นอนว่าภาคเหนือภาคอีสานที่มักจะหนาวกว่าภาคกลาง และจะหนาวจัดบริเวณพื้นที่บนภูเขา ยอดดอย ก็ยิ่งจะเพิ่มความเหน็บหนาวจัดลงไปอีก บางกระแสข่าวบอกว่าจะหนาวที่สุดในรอบ 30 ปี และจะหนาวนานจนถึงเดือนมีนาคมเลยทีเดียว ทำให้บางท่านนึกไปถึงคำพูดของหมอดู หรือนักวิชาการบางคนที่เคยกล่าวไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าอนาคตอาจจะมีปรากฏการณ์หิมะตกบนยอดดอยสูงของเมืองไทยก็เป็นได้
ซึ่งหากเมื่อดูจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศในโลกทุกวันนี้แล้ว อะไรมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะอากาศบนยอดดอยสูงทางภาคเหนือและภาคอีสานของเมืองไทยเรานั้นก็มักจะเกิดปรากฏการณ์เหมยขาบ ปรกฏการณ์แม่ขะนิ้งหรือปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งกันแทบทุกปีในระยะหลังๆ ยิ่งหน้าหนาวปีนี้เมื่อนักวิชาการณ์มีการคาดการณ์ว่าอากาศจะหนาวจัดลงไปอีก ก็จึงทำให้หลายๆคนเริ่มจะเชื่อว่าอาจจะมีเหตุการณ์หิมะตกในเมืองไทยกันขึ้นในหน้าหนาวปีนี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามนักวิชาการก็บอกว่าการเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งที่หลายคนเคยเห็นภาพถ่ายน้ำค้างแข็งขาวโพลนไปทั่ว หรือปรากฏการณ์ลูกเห็บตกมากมายจนดูขาวโพลนไปทั้งดอยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนั้น
กระบวนการของการเกิดเป็นคนละกระบวนการของการเกิดหิมะตก โดยน้ำค้างแข็งนั้นเกิดจากอุณหภูมิบนยอดหญ้าเย็นจัดถึงศูนย์องศาหรือติดลบ ทำให้หยาดน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่ตามใบไม้และยอดหญ้าแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งจนขาวโพลนไปทั่ว ในขณะที่ปรากฏการณ์ลูกเห็บตกนั้น ไอน้ำบนท้องฟ้าจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเป็นเม็ดฝนเสียก่อนที่จะตกลงมาผ่านความแปรปรวนของอากาศที่มีความแตกต่างจนจับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งกลายเป็นลูกเห็บขนาดต่างๆ ตกลงมาสู่พื้น ซึ่งอุณหภูมิบนพื้นดินอาจจะร้อนเช่นในช่วงเมษาหน้าร้อนก็สามมารถจะเกิดพายุลูกเห็บตกลงมาได้
แต่หิมะจะนั้นเกิดจากการเปลี่ยนสถานะจากไอน้ำกลายเป็นเกล็ดละอองหิมะขนาดเล็กเป็นละอองฝอยลอยตกลงมาสู่พื้นดินโดยตรง ซึ่งอุณหภูมิบนพื้นดินจะต้องหนาวเย็นจัดประเภทต่ำกว่าศูนย์องศา เพราะมิฉะนั้นเกล็ดหิมะเล็กๆก็จะละลายเป็นละอองฝนก่อนที่จะตกลงมาถึงพื้นดิน กลายเป็นฝนที่ตกลงมาธรรมดา ๆ
ฉะนั้นการที่ประเทศไทยจะมีหิมะตกลงมาได้นั้น ก็จะต้องมีสภาพอากาศหนาวเย็นจัดชนิดศูนย์องศาหรือติดลบกันเสียก่อน ซึ่งบางคนก็บอกว่า บางปีอุณหภูมิบนยอดดอยก็สูงถึงขั้นติดลบมาแล้ว ปีนี้หนาวจัดมากลงไปอีก ก็อาจจะไม่แน่เหมือนกันเราอาจจะได้เห็นหิมะตกในเมืองไทยก็เป็นได้
ความจริงถ้าเกิดหิมะตกลงมาจริง ถ้าตกลงมาพอให้เห็นเป็นปรากฏการณ์ที่นานทีร้อยปีหนจะเกิดขึ้น และเกิดเป็นช่วงสั้นๆ ไม่หนักหนาอะไร ก็คงไม่เป็นไร แต่หากเกิดตกลงมามากมายขาวโพลนเป็นบริเวณกว้างและเป็นช่วงเวลายาวนานเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วในเมืองร้อนบางประเทศ ก็คงจะเป็นเรื่องของความหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมาเยือน เพราะสรรพชีวิตทั้งพืชพรรณ พืชสวน พืชไร่ พืชพรรณไม้ในธรรมชาติ สัตว์ป่า แมลง ก็จะไม่อาจทานทนได้ จะล้มตายกันมากมายมหาศาล รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงและผู้คนก็จะเดือดร้อนกันไปหมด ซึ่งอย่างไรก็ไม่ควรประมาท หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะลองเตรียมคิดถึงมาตรการบรรเทาทุกข์เอาไว้บ้างเพื่อความไม่ประมาทก็น่าจะเป็นการดี ข่าวแนวโน้มอากาศจะหนาวเย็นจัดนั้นก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีกับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งจะมีการเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างคึกคักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาคเหนือที่การท่องเที่ยวซบเซามานานหลายปีนับตั้งแต่สิ้นสุดการจัดงานราชพฤกษ์หรืองานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติปี 2549-2550 ซึ่งผู้คนมากมายเดินทางหลั่งไหลไปเที่ยวเชียงใหม่และภาคเหนือจนล้นเมือง ฤดูหนาวปีนี้ความคึกคักก็คงจะหวนคืนกลับมาอีกครั้งแม้จะไม่ต้องถึงกับมีปรากฏการณ์หิมะตกให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปสัมผัสหิมะก็ตาม ก็คงจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไปท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศแห่งดอกไม้สายลมหนาวกันมากยิ่งขึ้น บางคนอาจจะค้านว่าคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่หิมะจะตกในเมืองไทย แต่ผมกลับเห็นว่าถ้าจะสรุปปิดตายเช่นนั้นก็คงจะไม่ได้ ก็ลองดูอย่างการท่องเที่ยวดูวาฬบรูด้าในประเทศไทยที่กำลังเป็นกิจกรรมซึ่งนักท่องเที่ยวให้ความสนใจอยู่ในเวลานี้สิครับ ใครจะเคยคาดคิดมาก่อนว่าในทะเลบ้านเราจะมีกิจกรรมล่องเรือออกไปดูวาฬหรือที่บางคนเรียกดูปลาวาฬได้เหมือนอย่างในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นประเทศเขตหนาวเกือบทั้งสิ้น กิจกรรมล่องเรือออกไปดูวาฬบรูด้าที่ชายฝั่งแหลมผักเบี้ย และบางตะบูน จังหวัดเพชรบุรีนั้นก็นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่วาฬบรูด้าขนาดใหญ่ฝูงนี้วนเวียนเข้ามาหากินปลากะตักให้นักท่องเที่ยวดูกันอย่างเป็นจริงเป็นจังและเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๓-๔ เดือนเลยทีเดียว บางทีการล่องเรือออกไปดูวาฬบรูด้า กับการขึ้นดอยไปสัมผัสละอองหิมะ ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ในเมืองไทยอย่างไม่ต่างกันในวันที่สภาวะอากาศของโลกแปรปรวนมากมาย อันเป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อนที่พวกเราทุกคนล้วนมีส่วนร่วมในการเป็นต้นเหตุด้วยกันทุกคน
ที่มา หิมะตกที่เมืองไทย โดย วินิจ รังผึ้ง //www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000150803
Create Date : 26 ตุลาคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 26 ตุลาคม 2553 18:27:28 น. |
Counter : 932 Pageviews. |
|
|
|
แต่ว่าถูกใจตรงมุมบนขวาบล๊อกมากกว่าอ่ะ ทำไงอ่ะ
บอกมั้งจิ....อยากทำมั้ง