Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
1 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ (2)

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ (2)
06-09-2010, 10:09 PM เถรี
ผู้ดูแลเว็บ
//www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26

ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ จู่ ๆ พระอาจารย์ท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า "การจะนั่งอยู่ให้ได้ด้วยดีก็เป็นการฝึกที่เข้มงวดอย่างหนึ่ง บางคนนั่งอยู่ตรงนี้แต่ใจฟุ้งซ่านไปไหนก็ไม่รู้..!"
__________________
ถาม : การบนบานศาลกล่าว ถือว่าเป็นความผิดหรือเปล่าครับ ? เพราะว่าการบนเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ตอบ : การบนไม่ดีตรงไหน ?

ถาม : เป็นการติดสินบน
ตอบ : ติดได้..!จำไว้ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุถึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอ บนให้ตายผลก็ไม่เกิด บุคคลที่บนแล้วได้ผลก็คือ ผู้ที่สร้างเหตุมาพอ ผลถึงจะเกิด

ถ้ามีคนสองคนไปบนด้วยกัน คนหนึ่งบนแล้วได้ผล อีกคนหนึ่งไม่ได้ผล คนที่บนได้ผลเพราะเขาสร้างบุญ อาจจะเป็นทาน ศีล ภาวนา มาเพียงพอแล้ว ขาดอีกนิดหน่อยเท่านั้น พอไปบนว่าถ้าเรื่องนั้นสำเร็จ จะทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งตอบแทน พิจารณาดูแล้ว กระแสบุญที่เขาสร้างเพิ่มเติมเหมาะสมแล้ว เป็นเหตุที่จะเกิดผลได้แล้ว การบนก็จะสำเร็จ

อย่าลืมว่าการบนไม่ใช่ร้องขอเฉย ๆ แต่จะมีการทำอะไรบางอย่างตอบแทนไปด้วย อย่างเช่น เอาละครชาตรีไปแก้บน หรืออาจจะต้องรักษาศีลห้า ศีลแปด พร้อมกับเจริญกรรมฐานสัก ๗ วัน

ความดีที่เราทำจะมากจะน้อย ถ้าเหมาะสมกับส่วนที่เราขาด เหมือนกับน้ำขาดอยู่ไม่มาก ถ้าเราเติมอีกหน่อยเดี๋ยวก็เต็ม แต่ถ้าหากมีน้ำอยู่แค่ก้นขวด เติมน้ำไปครึ่งขวดก็ยังไม่เต็ม ถ้าอย่างนั้นคุณบนให้ตายก็ไม่ได้ผล

อย่าลืมว่าทุกอย่างมีเหตุจึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุดีแล้วก็บนไปเถอะ แต่ถ้าสร้างเหตุยังไม่ดีพอ บนให้ปากฉีกถึงหูไปก็เท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ที่วัดท่าขนุนมีพระมาบวช เกิดจากเพื่อนเขาบนว่า ถ้าเรื่องนี้สำเร็จจะให้เพื่อนคนนี้บวช แทนที่จะบนให้ตัวเองบวช มีอย่างที่ไหนดันบนให้คนอื่นบวช..!
__________________
ถาม : ขอสอบถามการใช้คาถาสะหัสสะเนตโตและวิธีนั่งภาวนา ที่ไม่ใช้ตาเนื้อ เวลานั่งภาวนาชอบไปจับที่ลูกตา
ตอบ : รู้แล้วก็แก้ไขสิ

ถาม : ควรตั้งจิตไว้ตรงไหน ?
ตอบ : เขาใช้นึกเอา จะนึกไว้ตรงไหนก็ได้ ส่วนใหญ่กำหนดใจเอาไว้ ว่าง ๆ สบาย ๆ อยู่ในหัวกะโหลกของเราเอง เหมือนกับว่าเราจะนึกถึงใครสักคน ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรามองขึ้นไปบนหัวของเรา แล้วโค้งกลับเข้ามาในท้องของเราก็ได้ เอาไว้ตรงไหนก็ได้

แรก ๆ อดไม่ได้หรอก เราเคยชินกับการใช้สายตามานาน ก็ไปเผลอนึกถึงตาอยู่เรื่อย ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้แล้ว นึกถึงตาเมื่อไรภาพก็หายวับ

เนื่องจากการนึกถึงตาคือการนึกถึงตัว เป็นการดึงจิตกลับมาที่ตัว เราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราจึงจะเห็นได้ ในเมื่อเราดึงจิตกลับ ก็จะไม่เห็นอะไร

ส่วนคาถาสะหัสสะเนตโตนั้น ให้ภาวนาเป็นปกติไปเลย เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมงก็ได้ ไม่ใช่นึกจะใช้เมื่อไรแล้วค่อยมาภาวนา แบบนี้ไม่ทันกิน ถ้าเป็นมีดหรือดาบก็สนิมเขรอะ ต้องซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ลับมีดลับดาบไว้บ่อย ๆ
__________________
คาถาสะหัสสะเนตโต เวลาเราใช้อย่าลืมขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ให้ช่วยสงเคราะห์ให้เราทำข้อสอบได้ถูกต้อง และถูกใจคนตรวจด้วย

ถ้าอ่านหนังสือมาจะทำได้คล่องมาก เพราะจะนึกออกหมด แต่ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือมา จะต้องมีความคล่องตัวจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเกิดได้คำตอบขึ้นมา แล้วเราไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน เราก็จะไม่รู้ว่าคำตอบนี้ถูกหรือเปล่า ฉะนั้น..ถ้าให้เป็นไปได้ ควรจะอ่านหนังสือสัก ๒ - ๓ รอบ ถึงเวลาใช้คาถาความคล่องตัวจะได้มี

อาตมาเองขนาดคล่องตัวแล้ว ตอนสอบนักธรรมเอกยังโดนตัดคะแนนเลย เพราะได้ยินเสียงบาลี ดังชัด ๆ อยู่ในหู แต่เราเคยได้ยินอีกประโยคหนึ่งที่คล้าย ๆ กัน ก็เลยไปคิดว่าน่าจะเป็นประโยคนั้น เขียนไปก็เลยผิด โดนหักไป ๕ คะแนน..!

จะใช้คาถาทุกอย่างให้ได้ผล จำเป็นต้องทำสมาธิให้ทรงตัว สมาธิทรงตัวตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป คาถาก็เริ่มได้ผลแล้ว ยิ่งสมาธิสูงเท่าไรผลของคาถาจะมีมากเท่านั้น

คนจะทำคาถาต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ถ้าไม่จริงจัง ไม่สม่ำเสมอ ทำแล้วจะไม่เกิดผล เพราะว่าคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา ทำคาถาขึ้นก็เล่นอภิญญาได้ คนจะเล่นอภิญญาได้จะต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ทุ่มเทชนิดตายเป็นตาย ไม่ใช่เบื่อ ๆ อยาก ๆ ไฟไหม้ฟางเป็นพัก ๆ ถ้าวิสัยอย่างนั้นอย่าเสียเวลาไปเล่นเลย..!
__________________
คาถาจริง ๆ มาจากภาษาบาลี บาลีเขาใช้ว่า กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว เพราะฉะนั้น คำพูดทุกอย่างก็คือคาถา

แต่ว่าคาถาในความรู้สึกนึกคิดของเรา คือ ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ ที่จะให้ผลตามแต่ที่เขากำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ผู้ใดภาวนาคาถานั้นก็จะได้รับผลตามที่เขาว่าเอาไว้

ความจริงแล้วคาถาใช้บทเดียวก็ได้ เพราะคาถาเป็นการโยงใจให้เป็นสมาธิ ส่วนที่เหลือเมื่อกำลังใจเป็นสมาธิแล้ว ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ อธิษฐานให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น..แรก ๆ อาจจะต้องใช้คาถาหลาย ๆ บท เพราะเรายังไปแยกว่าบทนั้นใช้อย่างนั้น บทนี้ใช้อย่างนี้ แต่ถ้าคนที่คล่องตัวจริง ๆ ส่วนใหญ่จะเหลือแค่บทเดียว แถมบทยาว ๆ ก็ไม่เอาอีกด้วย เอาบทสั้น ๆ ดีกว่า
__________________
ถาม : มีคนเขาจะขายบ้านไม้ ปลูกมาแล้วแปดปี ราคาแสนห้า หนูควรจะซื้อไหม ?
ตอบ : ซื้อเลยจ้ะ เพราะเดี๋ยวนี้บ้านไม้หายาก ราคาแพงขึ้นทุกวัน

ถาม : เขาขายราคาแสนห้า หนูก็ว่าราคาถูก พรุ่งนี้หนูจะไปดูสภาพบ้านจริง
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เขาก่อน บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือท่านทั้งหลายที่อาศัยในบ้านนี้ว่า เราจะซื้อบ้านหลังนี้ ขอให้ไปอยู่ด้วยกัน เราทำบุญอะไรขอให้เขาโมทนา เมื่อไปอยู่ด้วยก็ช่วยสร้างความสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัวของเราด้วย

เมื่อหลายปีก่อน มีบ้านหลังหนึ่งขนาดใหญ่พอ ๆ กับศาลา และพื้นที่ของเขาก็กว้างขวาง นอกจากบ้านหลังใหญ่แล้ว ในบริเวณไร่ยังมีกระต๊อบเล็ก ๆ เป็นระยะ ๆ สำหรับคนดูแลไร่ ตอนนั้นทิดตู่ยังบวชอยู่

พอพวกเราไปถึงที่ตรงนั้นแล้ว จึงแบ่ง ๆ กันอยู่ แยกกันไปคนละหลัง กลางคืนก็ต่างคนต่างภาวนากัน ยังไม่ทันจะสามทุ่มเลย ผี็ก็แห่กันมา ประเภทที่เขาเรียกว่า ป่าช้าแตก..!

ทิดจิตร (ตอนนั้นสึกแล้ว) กางกลดอยู่ใต้ถุนบ้านหลังใหญ่ เขามาสารภาพทีหลังว่า "ผมจะเปิดกลดวิ่งอยู่แล้ว แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพ้นจากที่นี่ไปแล้วอาจจะโดนหนักกว่าอีก ก็เลยกัดฟันนั่งสั่นอยู่ในกลด"

อาตมาถามผีว่า "ทำไมจึงต้องมาหลอกมาหลอนกันด้วย ?" เขาส่งตัวแทนออกมาหนึ่งราย เป็นผีผู้ชายค่อนข้างจะมีอายุ บอกว่าที่เขามา เขาไม่ได้มาหลอก เขาตั้งใจมาบอกว่าเขาเดือดร้อน เขาอยากขอความช่วยเหลือ แต่คนหนีเขาหมด..!
__________________
เขาทำภาพให้ดูว่า บ้านหลังนี้ปลูกทับป่าช้าเก่าอยู่ เขาบอกว่า "ตอนที่เจ้าของบ้านปลูกบ้าน ขุดได้กระดูกพวกผมมาเป็นโอ่งเลย เขาสร้างศาลให้อยู่ ไม่เชื่อพรุ่งนี้ไปดูได้" อาตมาเลยบอกพวกเขาให้โมทนาบุญ

พอพวกเราอยู่ได้สองคืน วันที่สามตอนใกล้ ๆ เพล ปรากฏว่าเจ้าของบ้านมา เขาคงได้ข่าวว่ามีพระเณรมาอยู่ที่นี่แล้วอยู่ได้ รู้ไหม..เจ้าของบ้านเขามาลักษณะอย่างไร ? เจ้าของบ้านเดินนำหน้า ลูกน้องอีก ๕ - ๖ คน เกาะเอวกันมาเป็นแถว ไม่กล้าเดินห่างแม้แต่ก้าวเดียว แสดงว่าโดนจนเข็ด..!

เจ้าของบ้านมาสอบถาม อาตมาก็อธิบายให้เขาฟังว่า"โดนหลอกเหมือนกัน แต่อาตมาไม่หนีเท่านั้นเอง..! ถ้าจะให้ดีคุณควรจะทำบุญ จัดทำบุญเลี้ยงพระแบบขึ้นบ้านใหม่ อุทิศส่วนกุศลให้เขาสักหน่อย" เขาก็ตกลง

รุ่งขึ้นอีกวัน เขาก็เอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระ อาตมาลืมสั่งผีเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งไป เพราะปกติถ้าผีได้ส่วนกุศลแล้วเขาก็ไป เจ้าของพอเห็นผีไม่หลอกแล้วเขาก็เลยรื้อบ้านขาย

ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด พาทิดตู่กับทิดป๊อบเข้าไปที่บึงลับแล แล้วอากาศในนั้นร้อน ถ้าเป็นหน้าร้อนแล้วที่บึงลับแลลมจะไม่พัด อากาศจึงร้อนอบอ้าวมาก จึงบอกทิดตู่กับทิดป๊อบว่า ไปบ้านผีสิงที่เกริงกราเวียดีกว่า พอไปถึงเขากำลังล้มเสาต้นสุดท้ายอยู่พอดี รื้อจนเกลี้ยงเลย นี่ถ้าตกลงกับผีไว้ก่อนว่า อุทิศส่วนกุศลให้แล้วช่วยอยู่หลอกไปอีกสักพัก เราอาจจะซื้อบ้านหลังนี้ได้ในราคาถูก ๆ ก็เป็นได้
__________________
________________________________________
นอกจากผีที่โดนฝังอยู่แถวนั้นแล้ว แม้กระทั่งนางไม้ก็ยังกวนพอ ๆ กัน มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเย็นรวมกันบนบ้านหลังใหญ่แล้ว แยกย้ายกันไปตามแต่กุฏิใครกุฏิมัน จะมีการหมุนเวียนกันไปแต่ละที่ จะไม่ให้อยู่ซ้ำที่ เพราะถ้าอยู่ซ้ำที่เดี๋ยวจะคุ้นเคย

อาตมาลงจากบ้านหลังใหญ่เดินลัดไปทางด้านชายห้วย จะมีกระต๊อบอยู่ใต้ต้นไทร พอเดินเลยต้นยางใหญ่ไปเท่านั้น มองเห็นผีผู้หญิงออกมาจากต้นยาง มีผ้าขาว ๆ คลุมรุงรัง วิ่งกางแขนเข้ามา อาตมาก็เลยหันไปถามว่า "ทำอะไร?" ผีเขาถามว่า "ไม่กลัวหรือ?" อาตมาก็บอกว่า "มีอะไรน่ากลัว?" ผีเขาตอบว่า "ไม่รู้สิ..เห็นในโทรทัศน์ทำอย่างนี้แล้วคนเขากลัวกัน..!" โธ่..ไอ้ผีทันสมัย ดูโทรทัศน์กับเขาด้วย..!

อาตมาถามว่า "มานี่ต้องการอะไร ?" เขาบอกว่า "อยากจะให้ท่านอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง เพราะวันก่อนที่ให้ไป ท่านไปเจาะจงให้พวกที่เขามา ไม่ได้ให้ทั่วไป เขาเลยรับไม่ได้" จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว

แต่เขาไม่ยอมไปไหน ตามเราไปที่กระต๊อบด้วย พอเรานอนเขาก็มานั่งอยู่ปลายเท้า อาตมาบอกว่า "ไปห่าง ๆ ได้ไหม ถ้าใครเขามาเห็นเข้าน่าเกลียดตายห่..! พระนอนแล้วมีผู้หญิงนั่งเฝ้าอยู่" เขาก็ยืนยันว่าเขาจะนั่งเฝ้าเพื่อป้องกันอันตรายให้ รับรองว่าคนอื่นไม่เห็น อาตมาก็เลยนอนฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน เพราะแม่เจ้าประคุณสวยเช้งวับเลย..!
__________________
จากจุดนี้เลยเข้าใจว่า ที่ผีเขามาหา ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนกันทั้งนั้น ความเดือดร้อนของผี ก็คือ กุศลบารมีเขาน้อย ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกสบาย ในเมื่อคนที่บุญน้อยก็เหมือนกับคนจน แต่งตัวสวยขนาดที่เราเห็นแล้ววิ่ง..! ที่ไม่สามารถจะสวยเกินกว่านั้นได้ เพราะบุญเขาน้อย

เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะบอกพวกเราว่า ถ้าเจอผีวิธีที่ดีที่สุด คือรีบอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอก ถ้าเจอผีแปลว่าบุญเก่าที่ทำไว้มีเหลือเฟือแล้ว

ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใดที่เราได้สร้างตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับอย่างนั้นด้วย แค่นั้นแหละเขาก็ได้แล้ว

ถาม : แสดงว่าผีมา เขามาขอส่วนบุญทุกครั้ง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน มักต้องการความช่วยเหลือ

ถาม : ไม่ใช่ว่ามาหลอกเฉย ๆ ?
ตอบ : ลำบากและเดือดร้อนขนาดนั้น เขาไม่มีอารมณ์มาหลอกเฉย ๆ หรอก
__________________
ในเรื่องของผีที่เขามาในสภาพน่าเกลียดน่ากลัว ก็ยังถือว่าเขามีความสามารถที่อยู่ในระดับที่ใช้ได้ ถ้าท่านที่บุญน้อยกว่านั้น ทำให้ภาพปรากฏก็ไม่ได้ เพราะกำลังเขาน้อย เราอาจจะได้ยินแต่เสียง หรือได้แต่กลิ่น

ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวล คิดว่าบุญทั้งหมดที่เราทำมา ขอให้เจ้าของเสียงนั้นโมทนา ผลบุญที่เราทำมาทั้งหมด ขอให้เจ้าของกลิ่นนั้นโมทนา ก็ใช้ได้เลย

ปัจจุบันนี้ผีมีโอกาสหลอกเราน้อยมาก เพราะมีไฟฟ้า เวลาผีจะปรากฏตัว เขาต้องใช้กำลังของเขาดึงเอาธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่อยู่รอบข้าง ให้มารวมตัวกันเป็นกายหยาบให้คนเห็น แต่กระแสไฟฟ้าที่กระพริบด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้ง/วินาที ไปกระแทกสะเทือนจนอนุภาคของธาตุ ๔ ทั้งหลายเหล่านั้นรวมตัวไม่ได้

เพราะฉะนั้น..เวลากลัวผีแล้วไปเปิดไฟนั่นถูกต้องแล้ว แต่ก็ป้องกันได้เฉพาะผีระดับต่ำ ๆ เท่านั้น ผีระดับสูง ๆ ต่อให้กลางวันเที่ยง ๆ ก็สามารถมาหลอกได้ เสียเวลาเปิดไฟเปล่า ๆ

บางทีเราสงสัยทำไมสมัยก่อนผีเยอะแยะ ทำไมสมัยนี้ผีไม่มี ? ก็ยังมีเหมือนเดิมแหละ เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวของเขายากขึ้น พอจะดึงเอาธาตุสี่ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกัน ก็ถูกไฟฟ้าที่กระพริบแวบ ๆ กระทุ้งจนกระจายหมด ถ้ากำลังเขาไม่พอก็ปรากฏตัวไม่ได้เลย บางคนจึงได้ยินแต่เสียง บางคนจึงได้แค่กลิ่นเท่านั้น
__________________
ถาม : แล้วผีที่มีนิสัยลามก ?
ตอบ : คนเราเวลามีชีวิตอยู่ มีสันดานนิสัยอย่างไร ถึงเป็นเป็นผีแล้วก็มีนิสัยสันดานอย่างนั้น
__________________
อาตมานอนภาวนาอยู่ ผีเขามาถึงเห็นเรานอนหงายภาวนา สองคนแรกก็มาจับเราตะแคงขวาเป็นท่านอนสีหไสยาสน์ แล้วเขาก็ไป อีกสักพักโผล่มาทางปลายเท้าอีกสองคน "นอนท่านี้นานแล้วนี่" แล้วเขาก็จับพลิกซ้ายให้ แล้วเขาก็ไป

เดี๋ยวก็โผล่มาอีกสองคน "อะไรวะ..จะมายุ่งอะไรกับอนาคตตูขนาดนั้น ตูจะภาวนา..!" อาตมาจึงคิดจะลองดีกับผี พอเขาเข้าใกล้ คราวนี้ไม่รอให้เขาจับ ถีบโครมเลย..!

จำไว้ว่าอย่าเสียเวลาไปตีกับผี เพราะเขารู้ความคิดของเรา พอเราถีบโครมเขาก็จับขาไว้ เราก็ต้องรีบตะปบสบง..กลัวโป๊ พอถีบซ้ายเขาก็จับซ้าย ถีบขวาเขาก็จับขวา ชกซ้ายเขาก็จับซ้าย ชกขวาเขาก็จับขวา

ท้ายสุดก็โดนเขาขึงพืด พวกที่หายไป ๕ - ๖ คนย้อนกลับมาใหม่ ช่วยกันนั่งทับตั้งแต่อกยันปลายเท้า กระดิกไม่ได้เลย คนที่อยู่หน้าสุด จับแขนเราแล้วกดไว้กับหน้าอกบอกว่า "ให้บอกว่ากลัวสิ..แล้วจะปล่อย" เรื่องอะไรกูจะกลัวมึง..! อาตมาก็ว่าคาถาเป่าใส่เลย เขาเอียงหน้าหลบนิดเดียวบอกว่า "ไม่ถูก..!" กวนสุด ๆ

ตอนนั้นทำให้เข้าใจเรื่องผีว่า ถ้าเราหลับตาหรือทำไม่สนใจจะเห็นเขาชัดเจนมาก เขากดเราอยู่ น้ำหนักมือหรือความอุ่นเหมือนกับคนทุกอย่างเลย แต่ถ้าเราตั้งใจจะมอง ก็จะมองทะลุเห็นมือตัวเอง หรือจะเห็นเสาหรือของอะไรที่อยู่ข้างหลัง แต่ถ้าทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เขาก็เป็นเงาหนา ๆ เหมือนคนนี่เอง
__________________
อาตมาก็รอจังหวะ ต่างคนต่างคุมเชิงกันอยู่ พอเขาเผลอ อาตมากระชากแขนพรวดหลุดออกมาได้ เราก็คว้าตัวที่อยู่ทางด้านหัว ตั้งใจจะทุ่มเขา ปรากฏว่าไปคว้าเอาผู้หญิงเต็ม ๆ จับเอวเข้าพอดี ยายนั่นก็บ้าจี้ หัวเราะคิกคักยักเอวยักไหล่...

อาตมาเพิ่งจะรู้ว่าเนื้อผีก็คล้าย ๆ กับเนื้อคน ก็ต้องรีบปล่อย กลัวจะโดนอาบัติ เพราะเขาเป็นผู้หญิง ดิ้นหลุดออกมาได้ก็ไล่ชกไล่เตะ ตีกันตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน จนกระทั่งเหนื่อยหอบ พอได้เวลาออกมาทำวัตรเย็น ป้ากิมกีก็ถามว่า "หลวงพี่ย้ายของอะไรทั้งวัน ตึงตังไปหมด ?" เราจะไปย้ายอะไร ผีเขาย้ายเราต่างหาก..!

ไม่น่าเชื่อว่าตีกับผีเป็นปี ๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่มา เขาต้องการจะทดสอบกำลังใจ ถ้าเรายึดเกาะความดีได้ นึกถึงพระนึกถึงนิพพานได้เขาก็เลิก แต่เขาดันมาเจอนักรบเก่า ขอให้พระช่วยก็ไม่ขอ ลุยเองเลย เรื่องจะให้ยอมแพ้หรือบอกว่ากลัว ไม่มีหรอก

จนกระทั่งท้ายสุด ท่านทนความหน้าด้านของเราไม่ไหว ท่านต้องไปเอง เพราะแกล้งหลอกเท่าไรเราก็ไม่กลัวสักที แถมยังไม่คิดถึงความดีอะไรด้วย สู้อย่างเดียว พอมานึกทบทวนย้อนหลัง อาตมานี่ดื้อสะบั้นหั่นแหลก จะนึกถึงพระนึกถึงนิพพานก็ไม่มี เอาแต่สู้อย่างเดียว

มีรุ่นน้องท่านหนึ่ง คือท่านโกวิท น่าจะสึกไปแล้ว บวชทีหลังอาตมาหนึ่งพรรษา ท่านนอนอยู่ตรงป้อมยาม โดนผีบีบคอเสียจนลมหายใจจะหมดแล้ว ท่านก็ตัดสินใจว่า "เอาละวะ..ตายเป็นตาย ตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน"

พอคิดอย่างนั้นเขาก็ปล่อย คือ ถ้าเกาะความดีส่วนใดส่วนหนึ่งได้เขาก็ปล่อย เขาถือว่าการทดสอบของเขาประสบผลแล้ว แต่ก่อนจะไปเขาก็บอกว่า "ไอ้หน้าอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน..!" แหม..ดูถูกกันมาก ถ้าเป็นอาตมานี่ไอ้ผีตัวนั้นโดนแน่..!
__________________
มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปโดนผีหลอกที่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ อาตมาไปพักอยู่กลางป่า เทวดาบอกไม่ทัน อาตมาเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น ขยับลุกขึ้นมา นั่งไม่ทันเต็มตัวเลย เสียงเจ้าที่ตะโกนว่า "ระวังผี..!" ปรากฏว่าไม่ทัน มือเย็นเจี๊ยบมาถึงคอแล้ว..!

อาตมาภาวนาพุทโธ ๆ เขาก็ชะงัก พอคิดจะหยุดภาวนาไปล้างหน้า เขาก็รวบมือเข้ามา พอภาวนาเขาก็คลายออกให้หน่อยหนึ่ง เล่นได้กวนมากเลย

ก็ต้องยันกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง จึงบอกกับเขาว่า "พอเถอะ..ตะวันขึ้นแล้ว ต่างคนต่างไป ถ้าจะหลอกเดี๋ยววันหน้าค่อยมาใหม่" เขาเองก็ว่าง่ายเหมือนกัน ไปเอาง่าย ๆ เราจึงลุกไปล้างหน้าแปรงฟันได้ ตกลงว่าปกติที่เคยภาวนาพิจารณาทุกวันก็ไม่ต้องแล้ว วันนั้นเหลือแต่พุทโธอย่างเดียว
__________________
ถาม : สงสัยว่าผีในป่าช้าที่ท่านเล่ามา พวกเขาเดือดร้อนตรงไหน ?
ตอบ : เขาเดือดร้อนเพราะไปไหนไม่ได้ ก็เลยอยากได้ส่วนกุศล ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขามีกำลังพอ หรือมีกำลังบุญสูงขึ้น เขาก็จะไปภพภูมิอื่นได้
ไม่อย่างนั้นแล้ว ด้วยความที่จิตยังยึดอยู่ แม้กระทั่งร่างกายที่ตายไปแล้ว ทำให้วนเวียนอยู่แถวนั้น ไปไหนไม่ได้
__________________
ถาม : เวลาพระอริยเจ้าท่านทำให้เข้าถึงอริยผล ท่านทำอย่างไร?
ตอบ : ข้อนี้ต้องไปถามพระอริยเจ้าเอง..! ก็ต้องเข้าหาวิปัสสนาญาณสิ โดยเฉพาะพิจารณาในกายคตาสติ หรือไม่ก็ดูในเรื่องของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น

ถ้ายังเป็นปลาอยู่ในน้ำ อย่าไปถามว่าบนบกเป็นอย่างไร อธิบายไปก็กลุ้มใจตายเปล่า ๆ..!
__________________
ถาม : อยากรู้อานิสงส์การถวายดอกไม้ครับ ?
ตอบ : ต้องถามกลับว่าถวายใคร ? ถวายพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธบูชา ถวายพระสงฆ์ก็เป็นสังฆบูชา หรือเวลาเขาสวดมนต์แล้วไปโปรยก็เป็นธัมมบูชา

ท่านใช้คำว่าอัปปมาโณ หาประมาณไม่ได้ ขอให้บูชาด้วยความเคารพจริง ๆ เท่านั้น อย่างนายสุมนมาลาการมีหน้าที่เอาดอกมะลิไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล วันละ ๘ ทะนาน

วันนั้นเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา นายสุมนมาลาการเกิดความปลื้มใจ คิดว่า "แม้เราจะไม่มีดอกไม้ไปถวายพระราชา ถ้าท่านจะประหารชีวิตเราก็ตามทีเถอะ เราขอสร้างบุญไว้ก่อน" แล้วท่านก็ซัดดอกไม้ขึ้นไป ๒ ทะนาน ปรากฏว่าดอกไม้ขึ้นไปลอยเรียงเป็นเพดานกั้นให้พระพุทธเจ้า ท่านก็เกิดความปลื้มใจ มีปีติมาก ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ดอกไม้ก็ลอยไปกั้นเป็นม่านอยู่เบื้องหลัง ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องขวา ซัดไปอีก ๒ ทะนาน ลอยไปกั้นอยู่เบื้องซ้าย จนหมดเกลี้ยงทั้ง ๘ ทะนาน

พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนก็เหมือนกับอยู่ในห้องดอกไม้ เปิดให้เห็นเฉพาะด้านหน้า ชาวบ้านเห็นก็สาธุการกันเซ็งแซ่ แต่ภรรยาของนายสุมนมาลาการกลับคิดไปอีกอย่าง คิดว่า "ตัวเองต้องแย่แน่ ๆ สามีเอาดอกไม้ไปทำแบบนี้ พระราชาอาจจะสั่งประหารเราไปด้วย" จึงรีบเข้าวังไปแจ้งความประสงค์กับพระราชา ว่าตนเองเป็นภรรยาของนายสุมนมาลาการ ขอหย่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สิ่งต่าง ๆ ที่นายสุมนมาลาการทำ ตนเองไม่ขอเกี่ยวข้อง

พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านอนุญาตให้หย่าได้ แล้วให้ราชบุรุษไปตามตัวนายสุมนมาลาการมา ถามว่าทำไมจึงทำอย่างนั้น ตอนทำคิดอย่างไร นายสุมนมาลาการก็บอกให้รู้ว่า เห็นพระพุทธเจ้าเกิดความปลาบปลื้มปีติมาก อยากจะทำบุญ จึงตัดสินใจว่าถ้าโดนพระราชาสั่งประหารชีวิตก็ยอม ขอทำบุญก็แล้วกัน

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงโมทนา แล้วมอบสิ่งของพระราชทาน โดยให้วัวไป ๘ ตัว ม้า ๘ ตัว ช้าง ๘ เชือก หมู่บ้านไปปกครองอีก ๘ ตำบล แล้วก็เมียอีก ๘ คน ส่วนภรรยาเก่าของนายมาลาการดันทะลึ่งไปขอหย่า จึงไม่ได้อะไรเลยสักบาท..!
__________________
ที่เล่ามานี่เราเห็นอะไรบ้าง ? อันดับแรกก็คือ กำลังใจของนายสุมนมาลาการ ถ้าได้ทำความดีแม้ตัวตายก็ยอม ประการที่สอง พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นไม่ได้หาตัวยาก เข้าพบเมื่อไรก็ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งขอเข้าไปพบพระราชา ไม่น่าจะได้พบง่าย ๆ

ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าอานิสงส์การถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชาอย่างนายสุมนมาลาการ กลายเป็นคนรวยทันตา แต่ถ้าอย่างชูชกก็ได้นางอมิตตดามาเป็นเมีย ชูชกอายุ ๘๐ นางอมิตตดาอายุ ๑๖ รุ่นเหลนเลยนะ

อรรถกถาเขาบอกว่า ชูชกถวายดอกไม้ตูมเอาไว้ในชาติก่อน ก็เลยได้ภรรยาสาวพริ้ง แต่เขาไม่ได้บอกว่านางอมิตตดาเคยถวายดอกไม้เหี่ยวเอาไว้ก่อน เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันนะ
__________________
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยที่พระองค์ที่ ๑๐ มาวัดท่าซุง เสียดายแทนโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นขอดอกบัวจากพระองค์ที่ ๑๐ บอกว่าแม่ไม่สบาย ขอดอกบัวไปต้มเป็นยาให้แม่กินเพื่อรักษาโรค

พระองค์ที่ ๑๐ ท่านบอกว่า "ถ้าให้เธอคนหนึ่ง คนอื่นก็อยากได้ด้วย เอาอย่างนี้สิ..ให้เธอเอาน้ำใส่หม้อแล้วตั้งใจนึกถึงฉัน ขอให้น้ำนี้เป็นยารักษาโรคได้" ปรากฏว่าโยมเขาทำท่าผิดหวัง และอาตมามั่นใจด้วยว่าเขาไม่ได้ทำ ถ้าเป็นอาตมาจะต้มน้ำเปล่ารักษาโรคให้ทั่วประเทศเลย ก็ท่านให้พรขนาดนั้นแล้ว"

ถาม : ท่านให้พรแค่คนเดียวหรือคะ ?
ตอบ : ท่านให้พรใครก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น แต่เขาไม่เอา อาตมาดูหน้าแล้วรู้เลยว่าเขาไม่ทำ เขาจะเอาดอกบัวให้ได้อย่างเดียว อาตมาเองตอนนั้นก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักอย่างตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะขอทำเสียเอง
__________________
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติให้ฟังว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรมให้ระมัดระวังไว้อย่างหนึ่ง เรื่องของภาพหลอกภาพหลอน การทดสอบกำลังใจต่าง ๆ

บางรายรู้สึกว่าหลวงพ่อมาสั่ง พระมาสั่งให้ทำนั่นทำนี่ เสร็จแล้วก็มาปรึกษาอาตมาว่า ควรจะทำอย่างไร ? ปฏิบัติตามดีไหม ? ก็บอกวิธีพิจารณาแบบง่าย ๆ ว่า ถ้าหากไม่เกินวิสัยหรือความสามารถของเรา ไม่ต้องทำให้เราลำบากมากนักก็ทำไป แต่ถ้าอันไหนถึงขนาดให้เราลำบากมากก็ไม่ต้องทำ รับทราบไว้ด้วยความเคารพและก็ตั้งบูชาไว้บนหิ้งตรงนั้นแหละ

อย่างเช่น เราเป็นฆราวาสแล้วท่านบอกให้สร้างโบสถ์สักหลังหนึ่ง เราพิจารณาแล้วว่าเกินกำลัง ก็รับไว้ด้วยความเคารพแล้วขึ้นหิ้งไว้ ถึงวาระอันควรแล้วค่อยว่ากัน

อาตมาเองไปสร้างเกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ท่านมาสั่งให้ทำอาคารตรงนั้นตรงนี้ รวม ๆ แล้ว ๑๓ หลังด้วยกัน มีกระทั่งอาคารใช้แทนโบสถ์ ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลมาก จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "จะให้ผมทำก็ได้ แต่นิสัยผมไม่ชอบขอเงินใคร ถ้าต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวผมจะไม่ทำเลย"
หลวงพ่อท่านก็หัวเราะว่า "แกจะเอาอย่างนั้นแน่หรือ ?"
"แน่ครับ"
"เออ..ถ้าอย่างนั้นก็ได้"

อาตมาก็รอดูว่าท่านจะทำอย่างไร หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ มีเพื่อนของหัวหน้าป่าไม้เขาขึ้นไป หลังจากที่เขาพาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ ท่านหัวหน้าก็บอกเพื่อนว่า มีพระมาอยู่ใกล้ ๆ หน่วย เลยพากันเข้ามาหา

เขาเดินดูรอบเกาะพระฤๅษีแล้ว จึงได้มากราบชวนคุยว่า "ที่สวยดีนะครับ"
"เออ..สวย"
"แล้วจะไม่สร้างอะไรบ้างหรือครับ ?"
"อยากจะสร้าง แต่เงินไม่มีว่ะ..!"
"จะสร้างอะไรบ้างครับ ?"
"อยากได้ศาลาสักหลัง"
__________________
"เขาหายไปประมาณสองชั่วโมง เดินกลับมาพร้อมกับแปลนศาลา ที่แท้เขาไปนั่งเขียนแปลน จริง ๆ แล้วเขาเป็นนายช่างรับเหมาก่อสร้าง "หลังขนาดนี้ดีไหมครับ ?"
"ดี..แต่เงินไม่มีว่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมทำให้ก่อน"

ว่าแล้วเขาก็ขนช่าง ขนของ มาตั้งหน้าตั้งตาทำเอง คราวนี้เดือดร้อนพวกเราสิ..คนนั้นไปเห็น "อ้าว..ท่านก่อสร้างนี่" คนนี้ไปก็เห็น "อ้าว..หลวงพี่ก่อสร้างทำไมไม่บอกกันบ้าง ?" ต่างคนต่างควักเงินให้ ปรากฏว่าจำนวนเงินพอให้เขา จึงได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านทำได้จริง ๆ ไม่ต้องขอใครแม้แต่บาทเดียวก็ได้ ท่านหาของท่านมาเอง

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ รู้อะไรอย่าไปเชื่อเสียทุกเรื่อง เพราะจะมีการหลอก มีการทดสอบกำลังใจกันได้ ถ้าเชื่อไปเสียทุกเรื่องเดี๋ยวจะเป๋ โดยเฉพาะพวกเราขาดวิจารณญาณมาก โอกาสโดนต้มมีสูง

เรื่องที่หนึ่งรู้มาอย่างถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สองจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สามจะถูก เรื่องที่หนึ่งที่สองที่สามถูกต้อง ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเรื่องที่สี่จะถูก ให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ายังไม่เชื่อ จนกว่าจะเป็นไปตามนั้นก่อน"
__________________
"ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือท่านชาติชาย พระรุ่นน้องของอาตมา บวชที่วัดท่าซุงเหมือนกัน ออกจากวัดมาอยู่กับอาตมาที่เกาะพระฤๅษี ท่านเองเดินจงกรมภาวนา ไม่กินไม่นอนอยู่สองเดือนเต็ม ๆ อยู่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ถ้าไม่ได้มีกำลังสมาธิหนุนเอาไว้ก็คงตายไปแล้ว..!

ภายหลังร่างกายไม่ไหวก็เกิดอาการกรรมฐานแตก ที่เขาเรียกว่า สติแตก อาตมาต้องเอาตัวเข้าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ตอนที่ไปเก็บข้าวของให้พี่น้องของท่านเอาไป ไปเจอสมุดบันทึกของท่าน พออ่านดูจึงรู้ว่า เวลามารเขาหลอก เขาจะบอกความจริงเราประมาณ ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็หลอกไว้นิดหนึ่ง ถ้าวิจารณญาณไม่ดีจะเชื่อเขาหมดเลย

อย่างเช่นในการปฏิบัติ มีวันหนึ่งท่านบันทึกว่า "วันนี้พระมาบอกว่า ช่วงเวลาแห่งมรรคผลมาถึงแล้ว นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งทุ่มเทมากเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น"

มีตรงไหนผิดบ้างไหม ? ไม่มีเลยใช่ไหม ? แต่ผิด..! "นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย พูดน้อย นอนน้อย ปฏิบัติให้มาก" ชัดเลย นี่เป็นพระพุทธวจนะ แต่ "ยิ่งทุ่มเทเท่าไรยิ่งมีผลเร็วเท่านั้น" ตรงนี้ไม่ใช่

เพราะการปฏิบัติจะมีวาระมีเวลาของเขา ถ้าเราทำไม่ถึง ทำไม่พอ อย่าหวังเลยว่าผลจะเกิด ทีนี้ท่านอยากได้ ก็ไปทุ่มเทเดินจงกรมภาวนา ต่อเนื่องกันทั้งวันทั้งคืน สองเดือนเต็ม ๆ ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร ? พอร่างกายไม่ไหวก็เรียบร้อย..!"
__________________
"เพราะฉะนั้น..เราเองวิจารณญาณยังไม่พอ ปัญญายังไม่พอ ไม่รู้ว่าเขาหลอกเราตรงจุดไหน ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก เสียดายท่านที่ปฏิบัติดี มีการรู้เห็นที่ชัดเจน และเสียหายไป

อย่างวัด...ช่วงระยะที่ท่านดังขึ้นมา มีคนเอาหนังสือของท่านมาให้อาตมาแจกคนเยอะมาก ปกติเวลาเอาหนังสือใครมา อาตมาแจกหมด แต่หนังสือของท่านมาถึง อาตมาเก็บเรียบ เพราะรู้ว่าคำสอนท่านไม่ถูกต้อง

ท่านพูดตามที่ท่านรู้ แต่ว่าไม่ใช่ของจริง ระยะนั้นก็มีโยมมาถามมาก อย่างเช่นถามว่า ท่านสอนว่าไม่ให้เอาวัตถุมงคลไว้ในบ้าน เพราะจะทำให้บรรดาผีบ้านผีเรือนเดือดร้อน ไม่ให้พรมน้ำมนต์เพราะจะไปทำร้ายเขา

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปตามที่ท่านเห็น แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น อาตมาเองขี้เกียจตอบ ก็เลยถามโยมกลับไปว่า "ถ้าโยมเปิดร้านทอง แล้วโจรมาบอกว่า อย่าเอาตำรวจมาเฝ้าร้านเลย เพราะทำให้โจรเดือดร้อน โจรจะเข้าปล้นไม่ได้ ถ้าอย่างนี้เป็นโยมจะเชื่อไหม ?"

ของบางอย่างต้องใช้ปัญญาพิจารณาด้วย เวลามารเขาหลอก เขาไม่ได้หลอกชั้นเดียว เขาหลอกเป็นสิบ ๆ ชั้น เพราะเวลาท่านเชื่อแล้วสอนไป เป็นการสอนผิดไปจากพระพุทธวจนะ โอกาสที่ตัวเองจะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี บุคคลที่หลงเชื่อและปฏิบัติตาม โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี ยิ่งถ้าท่านไปทำลายพระพุทธรูปด้วย ยิ่งสาหัสเลย ชาตินี้ไม่พ้นอเวจีอย่างแน่นอน..!

คราวนี้ท่านที่มีสติสัมปชัญญะแต่ปัญญาไม่พอ ไปกล่าวตำหนิว่าท่าน ก็ซวยอีก เพราะอย่าลืมว่าท่านเป็นพระ ถึงหลักการปฏิบัติผิด แต่ศีลของท่านไม่ได้ผิด ความเป็นพระในสมมติสงฆ์ของท่านยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เท่ากับเราไปด่าพระเต็ม ๆ ก็ลงอเวจีไปด้วย..!"
__________________
"พอเราไปด่าท่าน บุคคลที่เลื่อมใสพระท่านนั้นอยู่ก็ "ไอ้นี่ด่าอาจารย์กูนี่หว่า.." เขาก็ด่าคืนมา กลายเป็นเกิดความแตกแยกในพระพุทธศาสนา

เราเห็นหรือยังว่าโทษเกิดหลายชั้น ท้ายที่สุดถ้าไปถึงเจ้าคณะปกครอง หรือไปถึงในหมู่สงฆ์ด้วยกัน ก็จะต้องแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ท่านนี้ว่าถูก ท่านนี้ว่าไม่ถูก ตามแต่กำลังใจของตนเองจะพิจารณาไป ก็ทำให้ศาสนาของเราสั่นสะเทือนไปด้วย ถ้าออกไปกว้างใหญ่พอ จำนวนคนมากพอ จำนวนพระมากพอ อาจจะถึงกับมีการแยกนิกาย แล้วทำให้ศาสนาล่มสลายได้

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของมารเขาไม่เคยหลอกชั้นเดียว เขาหลอกหลายชั้นมาก ในการปฏิบัติให้ระมัดระวังไว้ อาตมาอยากจะบอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นได้ปลอดภัยที่สุด คนหูหนวกตาบอด เขาไม่รู้จะไปหลอกอย่างไร แต่ถ้ารู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งโดนหลอกง่ายเท่านั้น

จึงเป็นเรื่องที่พึงสังวรเอาไว้ นิมิตเกิดขึ้น รู้แล้ววาง น้อมรับไว้ด้วยความเคารพ ขอบคุณที่มาบอก แต่กองไว้ตรงนั้นแหละครับ ยกเว้นว่ามาย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต้องทำนะ

ถ้าไม่เกินวิสัยและไม่ทำให้เราเดือดร้อนก็ทำ แต่ให้ยึดคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก หรือคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก มีอะไรให้ยกขึ้นมาเปรียบเทียบกัน ถ้าไม่ผิดไปจากสองส่วนนี้ เราปฏิบัติตามก็เชื่อได้ว่าน่าจะถูก"
__________________
เราต้องเข้าใจว่า ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นได้เปรียบ เพราะเรารู้ว่าอารมณ์พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร มีกติกาเท่าไร เราปฏิบัติได้เลย แต่ว่าสายอื่นเขาไม่รู้ ในเมื่อเขาไม่รู้ ก็เปะปะไปเรื่อย ถ้าหากว่าตรงทางก็ดีไป แต่ถ้าหากหลงทางก็ต้องเกิดมาทนทุกข์อีกหลายชาติ..!"
__________________

"อะไรที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ จะไปไม่มั่นใจไม่ได้ แม้ว่าผ่านการทดสอบไปแล้วก็อย่าเพิ่งมั่นใจ เพราะเราอาจจะรอดแค่ครั้งนั้น
ถาม : นิพพิทาญาณ เราจะแก้ตรงจุดนี้อย่างไร ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นของดี ถ้าอยู่กับเรานานเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ ของโลกนี้ เนื่องจากเราไปคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี เพราะเราไม่ชอบ ก็เลยทำให้เราดิ้นรน อยากจะพ้นไป ทำให้เรายิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ มีทุกข์เพิ่มเข้าไปใหญ่

ให้ทำใจสบาย ๆ คิดว่าธรรมดาของร่างกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมดาของโลกเราก็เป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์จะมีสำหรับเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น พ้นจากตรงนี้ไป เราก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะไปนิพพาน

ถ้าคิดว่าชาตินี้ยังมากเกินไป ก็คิดแค่วันนี้ พ้นจากวันนี้เราก็ไม่ต้องมาเกิดลำบากอย่างนี้อีกแล้ว หรือถ้ายังไกลเกินไป ก็เอาแค่หมดลมหายใจนี้ เราก็ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายนี้อีกแล้ว ในเมื่อเรามีเวลาอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ชั่ววันเดียว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ไม่ได้

ในเมื่อเราวางกำลังใจอย่างนี้ จิตก็จะคลายออกมา ถ้าเห็นเป็นธรรมดาได้เมื่อไร ก็จะก้าวเป็นสังขารุเปกขาญาณแบบปล่อยวางได้เอง แต่ถ้ายังวางไม่ได้ ก็จะเบื่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ให้รู้เลยว่าความเบื่อเป็นของดี เพราะถ้ายังไม่เบื่อเราก็ยังอยากจะเกิดอีก
__________________

ตอนออกจากวัดท่าซุงมา มีโยมหลายคนที่เขารู้ เขามายืนส่ง น้ำตาไหล น้ำตาร่วง อาตมาก็คิดว่า เกิดมาชาติหนึ่ง อยู่แล้วเขาเกรงใจ ไปแล้วเขาคิดถึงก็พอ ไม่เอาอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว

สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องทำก็คือ ชำระใจของเราให้ผ่องใส เพื่อจะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที ถ้าหากมัวแต่ไปให้คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา และมาดึงให้เราติดอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้อง
ถาม : เวลาภาวนา นะมะพะธะ ทำไมรู้สึกว่าขัดอยู่ในอก ไม่เหมือนตอนภาวนาพุทโธ
ตอบ : คำภาวนามีหลายคำเกินไป แล้วเรายังไปบังคับให้ตรงกับลมหายใจ จึงเป็นอย่างนั้น
ให้หายใจยาวไปเลยโดยที่ไม่ต้องไปบังคับตามจังหวะคำภาวนา ให้สนใจลมหายใจมากกว่าคำภาวนา

ถาม : ใช้มโนมยิทธิแล้วกราบพระ เห็นพระไม่ชัดเจน
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัด ให้รู้สึกว่ามีก็ใช้ได้แล้ว

ถาม : ถ้ามโนมยิทธิเรายังไม่แจ่มใส แปลว่าจิตยังไม่ดีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิจะแจ่มใสได้ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ ของเราเป็นหรือยัง..!
__________________
ถาม : พอไปทำอะไรมา ไม่ได้อธิษฐานเพื่อส่วนตัวค่ะ
ตอบ : วิสัยเดิมที่เคยตามสายหลวงพ่อที่เป็นพุทธภูมิมา อะไร ๆ ก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้นแหละ เรียกว่าเป็นพุทธภูมิแบบตกกะไดพลอยโจน ไม่ได้ตั้งใจจะเป็น แต่ทีนี้หัวแถวเป็น ลูกแถวตามมา จึงคล้าย ๆ กัน

ถาม : สมมติภพชาตินี้หมดไปแล้ว ภพชาติหน้าต่อไปก็มีต่อเนื่องแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่แล้ว..ของเก่าทำมา ทิ้งวิสัยเดิมไม่ได้หรอก พอถึงเวลาเราต้องการก็ปรากฏ พยายามเบนเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าให้ได้

ถาม : ทางคณะจะลงใต้ไปที่วัดชัยชนะสงคราม ที่หาดใหญ่
ตอบ : ไปแล้วต้องฝึกกรรมฐานด้วยนะ อย่าทิ้งโอกาสไปเปล่า ๆ

ถาม : ให้พวกเราไปฝึกด้วยหรือคะ เห็นว่าเป็นสายของหลวงปู่สดเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่หลวงป๋าวิวัฒน์ท่านสอนมโนมยิทธิ แบบมโนมยิทธิปนกับธรรมกาย สองอย่างลงท้ายคล้ายคลึงกัน จึงไปด้วยกันได้
__________________
พระอาจารย์กล่าวว่า "นักปฏิบัติที่เอาดีได้ยากในปัจจุบัน เพราะว่าไปปล่อยกำลังให้รั่วไหลหมด การที่เราฝึกปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ใจของเรา เพื่อสร้างให้จิตมีกำลัง แล้วนำกำลังนั้นไปใช้ในการตัดกิเลส แต่เรามักจะปล่อยให้รั่วไหลอยู่ตลอดเวลา

ตาเห็นรูป..ชอบใจก็ไหลไปแล้ว หูได้ยินเสียง..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว จมูกได้กลิ่น..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว ลิ้นได้รสชอบใจ..ก็ไหลไปอีก กายสัมผัส..ชอบใจไหลไปอีก ใจครุ่นคิด..เกิดความพอใจไม่พอใจ ดีใจเสียใจไหลไปอีกแล้ว จึงทำให้กำลังของเรา รวบรวมเท่าไรก็ไม่พอสำหรับเอามาใช้ในการตัดกิเลส เพราะว่ารั่วไหลอยู่ตลอด

ถ้าใครสามารถสะสมกำลังเอาไว้ได้ โดยที่ไม่รั่วไหลเลย ขอบอกว่ากำลังนั้นมหาศาลขนาดเปลี่ยนฟ้าแปลงดินได้..!"
__________________
พวกเราต้องทบทวนตัวเราเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ? ในเมื่อเราเองตั้งใจปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคยทุ่มเทชนิดตายเป็นตายบ้างหรือไม่ ?

ส่วนใหญ่นอกจากจะไม่ทุ่มเทแล้ว เรายังไปปล่อยให้กำลังของเรารั่วไหลอีกต่างหาก เราจึงสู้กิเลสไม่ได้เสียที ลองดูสักครั้งสิ..ดูว่า..ตายเป็นตายเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่พอจะใกล้ตายหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมแพ้ดีกว่า เดี๋ยวกิเลสตายเราจะเศร้าหมอง..!"
__________________

ถาม : ในกรณีที่เราเคยลบหลู่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่อดีตชาติ ด้วยความคิดว่าเราเก่ง
ตอบ : ให้ขอขมา

ถาม : ในปัจจุบันเราไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราเคยลบหลู่มาก่อน ?
ตอบ : ตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านใดที่เราเคยล่วงเกินมา เราก็ขอขมา

ถาม : อธิษฐานขอขมาต่อหน้าพระได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้
__________________
ถาม : นั่งภาวนาไป สักพักหนึ่ง เผลอตัวคิดเรื่องอื่นครับ อยากทราบวิธีแก้ครับ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด แล้วกลับมาภาวนาใหม่ แรก ๆ ก็ชักคะเย่อกันอย่างนี้แหละ จนกว่าอารมณ์ใจของเราจะทรงตัวจริง ๆ จึงจะอยู่กับการภาวนาตลอด
หัดปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ รู้ตัวก็รีบดึงกลับเข้ามาอยู่กับการภาวนา ฟัดกันสักสามปีห้าปีเดี๋ยวก็ดีไปเอง

ถาม : การที่เราภาวนาแล้วรู้สึกเหนื่อย เป็นเพราะเราภาวนาหรือเพราะว่าอะไร ?
ตอบ : เกิดจากหลายสาเหตุ ๑. เป็นเพราะเราตั้งใจเกินไป ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ

๒. ไปบังคับลมหายใจ เขาให้กำหนดรู้ลมหายใจไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับลม ต้องปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติ เราแค่เอาสติรู้ตามไปเท่านั้น

๓.กำลังใจรวมตัวจะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าแบบนี้หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นไปด้วย เหมือนคนที่ออกกำลังมาอย่างหนัก จึงรู้สึกเหนื่อย แบบนี้ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้าไม่กลัวตายจริง ๆ ก็จะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง
__________________
ถาม : เวลาภาวนา เราสามารถนั่งภาวนาได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ต้องภาวนาได้ ถ้ามัวแต่ไปรอนั่งภาวนา ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้หรอก..!

ถาม : พอนั่งสมาธิ ได้ยินเสียงจะตกใจง่าย
ตอบ : แสดงว่าสติยังไม่มั่นคง ยังส่งจิตออกนอกไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่

ถาม : วิธีแก้คือทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัวมากขึ้นเดี๋ยวก็หายไปเอง

ถาม : ถ้าเราตกใจ
ตอบ : ถ้าตกใจแสดงว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไปคิดเรื่องอื่นอยู่ เวลาจิตกลับมาเร็วเกินไปก็จะเป็นอาการที่เราเรียกว่าตกใจ ตรงนี้เราทำผิดเอง

ถาม : เวลาเราดูแผ่นกสิณสีขาว แล้วไฟเป็นสีอื่น จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจแค่สีขาวเท่านั้น

ถาม : ถึงแม้ว่าตัวแผ่นกสิณจะเปลี่ยนไปตามสีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ให้สนใจเรื่องเดียว ไปสนใจหลายเรื่องแล้วเมื่อไรจะได้อะไรสักที เหมือนกับพวกหลายใจ ทำอะไรก็ทำให้ได้ไปอย่างหนึ่งเลย ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยชาตินี้ก็ทำไม่สำเร็จหรอก..!
__________________
ถาม : สงสัยว่าอสุรกาย หน้าตาเหมือนผีทั่วไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาแสดงให้เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ของจริงมักจะผอม ๆ ดำ ๆ จะมีก็พวกที่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ มีเครื่องเซ่นมากก็อ้วนหน่อย

ถาม : สงสัยว่าเขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตามต้นไม้หรือเปล่า ?
ตอบ : เขาอยู่ได้หลายที่ แต่ชอบที่ซึ่งหลบซ่อนได้ง่าย เราอาจจะเจอมาหลายทีแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้จักเขาเอง..!
__________________

ถาม : เรื่องการรักษาศีลแปดมีผลต่อสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลแปดได้ ก็จะปฏิบัติได้ดีกว่า

ถาม :แล้วข้อที่เขาบอกว่าห้ามฟังเพลง เขาห้ามเพลงทุกชนิดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ทุกชนิด

ถาม : ถ้าเราฟังแล้วเราไม่ได้คิดอะไร ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ได้คิดแล้วจะฟังทำซากอะไร..!

ถาม : เปิดเฉย ๆ ครับ
ตอบ : หาเรื่องเดือดร้อน..! พอเสียงมาเข้าหู กำลังของเราก็รั่วไหล เราต้องสะสมกำลังจิตของเราให้มากพอ จึงจะสามารถปราบกิเลสได้ แต่มักจะรั่วออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นทาสกิเลสไปตลอดปีตลอดชาติ..!

ถาม : แล้วปกติเวลาเขาบวช เขาใช้สบู่อะไรกันครับ ?
ตอบ : มีอะไรก็ใช้ไป สักแต่ว่าใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ อย่าไปเลือกว่าต้องสบู่หอมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ก็แล้วกัน
__________________

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่อง การถือมงคลตื่นข่าวว่า"พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ว่าอย่าไปถือมงคลตื่นข่าว เมื่อครู่โยมโทรมาบอกว่าป่วย ไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย มีคนแนะนำให้ไปหาร่างทรง แล้วร่างทรงบอกว่า ต้องรับขันธ์จึงจะหาย เขาก็เลยสงสัยว่าเทวดามีหน้าที่ทำให้คนป่วยหรือ ? เขายังฉลาดที่รู้จักสงสัย แต่ใจก็ไปตั้งครึ่งตัวแล้ว

สำนักทรงต่าง ๆ หาของแท้ยาก คำว่า "ของแท้" ก็คือ เป็นเทวดา เป็นพรหม ที่มาสร้างบารมี หรือเป็นพระมาสงเคราะห์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะถูกจำกัดไว้ด้วยเวลา ไม่ได้มาเปะปะ พวกประเภทที่ไปเมื่อไรทรงได้ทันที ขอให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ปลอม" ไว้ก่อน

ของแท้ท่านมาตามเวลา มีข้อสังเกตง่าย ๆ ว่า ๑.มาตามเวลา ไม่ใช่มาเปะปะทั่วไป บางรายก็มาเฉพาะวันพฤหัสบดีหรือวันเสาร์ บางรายมาเฉพาะวันพระ บางรายมาเดือนละครั้ง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นร่างทรงพระเจ้าตากสิน มาปีละครั้ง

๒.ถ้าหากว่าเป็นของแท้ ส่วนใหญ่แล้วไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและเงินบูชาครูเล็ก ๆ น้อย ๆ สัก ๓ บาท ๙ บาท เพื่อแสดงว่าเราเคารพท่าน เคยเจอมากที่สุดคือ ๑๐๘ บาท แต่มีหลายสำนักเหมือนกัน ที่เราไปตัวเปล่าแล้วเขาจัดให้หมดทุกอย่าง นั่นแปลว่าเขาตั้งใจมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ

๓. สิ่งที่เขารับปากช่วยเรานั้นจะมีผล

ดังนั้น..ถ้าทิพจักขุญาณไม่ดี ก็ให้สังเกตสามข้อนี้ไว้ ข้อแรกคือมาเป็นเวลา ไม่ใช่ทรงได้ทุกเวลา ข้อที่สองคือไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ มาเพื่อสร้างบารมี ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ มีเครื่องบูชาครู เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อสุดท้ายคือ สิ่งที่เขารับปากช่วยจะมีผลตามนั้น"
__________________
"ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะอ้างของสูง เป็นเจ้าพ่อนั้น เป็นเจ้าแม่นี้ ที่ขำที่สุดก็คือ สมัยที่หลวงพ่อฤๅษีท่านยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งท่านปรารภว่า “เล็กเว้ย..ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ๖๐ กว่าสำนักแล้วว่ะ..!”

นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การถือมงคลตื่นข่าวบางทีก็ทำให้เราเดือดร้อน เพราะพวกนี้มักจะใช้หลักจิตวิทยา บอกว่ามีเคราะห์กรรมหนักบ้าง มีองค์มีร่างบ้าง และท้ายสุดก็อาจจะต้องเสียเงินเสียทองไปสะเดาะเคราะห์หรือไปรับขันธ์

และการรับขันธ์เท่ากับยอมรับเขา บางทีเขาก็ใช้ผีบ้าง ใช้ไสยศาสตร์บ้าง คุมเราเอาไว้ ถึงเวลาก็ต้องหาเงินไปให้เขา ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปยุ่งได้ก็จะปลอดภัย อันนี้เป็นการถือมงคลตื่นข่าวเรื่องที่หนึ่ง"
__________________
"เรื่องที่สอง เมื่อครู่โยมเขาเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ เขาตกใจกันใหญ่ บอกว่าอาตมาพูดว่า น้ำจะท่วมบ้าง ภัยพิบัติจะเกิดบ้าง ประเทศไทยคนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน เอามาจากไหน ? ตูยังสงสัยว่าพูดไปตอนไหน ?

เหลือตั้ง ๕-๖ ล้านคน ยังกลัวอีก ก็เราแค่คนเดียว หมดจากเราแล้ว ยังเหลืออีกตั้ง ๔ ล้านกว่า อย่างไรจำนวนแค่หนึ่งคนเราจะแย่งมาไม่ได้เลยหรือ ?

พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ภัยอันตรายใด ๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ดังนั้น..ขอให้เราเคารพมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ไปหวั่นไหว เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีเอง

เคยเจอบ้างไหม ? ประเภทเรือล่มเพราะคนตกใจ คนแห่กันพรวดไปข้างเดียว แล้วเรือก็เอียงกะเท่เร่ ในที่สุดก็ล่มไป ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราไปแตกตื่น ก็จะทำให้สถานการณ์ดี ๆ กลายเป็นเสียไปได้

มีอยู่วันหนึ่ง คนทั้งเมืองกาญจนบุรีพากันแตกตื่น แย่งกันขึ้นยอดเขา เพราะลือว่าเขื่อนแตกแล้ว..! ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดคุณรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด

ชาวบ้านแตกตื่นหนีกันขึ้นยอดเขา ไปจับจองที่กางเต็นท์ หรือไม่ก็ไปหาที่นอนของตัวเอง แย่งที่จนถึงขนาดวางมวยกันก็มี ท่านผู้ว่าฯ ต้องใช้โทรโข่งไปประกาศ บอกว่า "ตรวจสอบข่าวทั้งหมดแล้ว เขื่อนยังไม่แตก ไม่ต้องกลัวหรอก ลงมาเถอะ" ก็ไม่มีใครลง เพราะมีพวกที่บอกว่า ตนมีญาติอยู่ที่นั่นเขาบอกว่าเขื่อนแตกแล้วจริง ๆ พอไล่ไปไล่มา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีแต่ "ฟังเขาเล่าว่า" มาทั้งนั้น"
__________________
ถาม : ผมอยากรู้ว่าการรับแสงทิพย์ รับได้จริง ๆ หรือครับ?
ตอบ : ลองไปรับดู

ถาม : ผมไปดูในเว็บของอภิญญา เขามีบอกการรับแสงทิพย์
ตอบ : ลองไปรับดู แต่อยากจะบอกว่า ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าท่านพาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว

ถาม : แล้วพระที่ให้กำเนิดดวงจิต ดวงวิญญาณแต่ละดวงมีจริงหรือเปล่าครับ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยเจอท่าน ถ้าเจอเดี๋ยวจะถามท่านให้..!

ถาม : แล้วการขอพรกับพระหางหมากเหมือนกับพระคำข้าวหรือเปล่าครับ? ที่ถวายดอกไม้
ตอบ : ได้ยินแต่พระคำข้าว และไม่ได้ยินด้วยตัวเองด้วย เขาเล่ามาอีกที ก็เลยไม่มั่นใจว่ามาจากไหน

ถาม : มีพระกริ่งสมเด็จองค์ปฐมด้วยไหมครับ หรือพระคำข้าวอย่างเดียว?
ตอบ : ถ้าตามที่ได้ยินมา คือ เฉพาะสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว

ถาม : วิชานะหน้าทอง ถ้าทำแล้วเกิดมงคลอะไรครับ?
ตอบ : เป็นเมตตามหานิยม ถ้าของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ท่านเอาทองใส่ไว้ในฝ่ามือ ตบฝ่ามือตัวเอง ทองจะกระเด็นขึ้นไปติดบนเพดาน พอตบอีกที ทองบนเพดานจะลงมาติดที่กระหม่อมของโยม

ถาม : ทำที่ไหนครับ?
ตอบ : ที่ระยอง ตามได้ ท่านมรณภาพไปนานแล้ว..!
__________________






 

Create Date : 01 ตุลาคม 2553
1 comments
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2557 15:03:56 น.
Counter : 6243 Pageviews.

 

อยากทราบว่า พระตามวัดต่างๆที่มาแจกถังสังฆทานบ่อยๆ (เดือนละ 1 ครั้ง โดยประมาณ )เป็นวัดเดิมด้วย แต่ที่แปลกใจคือ ทำไมมาบ่อยมาก (วัดเดิม)ปกติแล้วถังสังฆทานมีเฉพาะงานกฐิน ผ้าป่าหรือเปล่าคะ? แล้วสมควรรับไว้มั้ยคะ? แล้วควรคิดหรือทำกำลังใจอย่างไรเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อเราต้องการไปนิพพาน

 

โดย: วรานันท์ ทองตำลึง IP: 27.55.132.158 10 มิถุนายน 2557 14:14:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.