Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2560
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
22 กุมภาพันธ์ 2560
 
All Blogs
 
เทศน์วันมาฆบูชา ปี2555 ณ วัดท่าขนุน ตอนที่2

✨ 💎 เทศน์วันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุน ปี ๒๕๕๕ ( ตอนที่ ๒) 💎 ✨

💖 ในส่วนของการชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลสนั้น จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเป้าหมายของการที่เราเข้ามาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าญาติโยมทั้งหลายสามารถชำระจิตใจให้ผ่องใสได้ในระดับใดเท่านั้น การที่เราจะชำระจิตใจ ให้ผ่องใสจากกิเลสทั้งปวง ซึ่งประกอบไปด้วย

🏝🏝 โลภะ ความโลภอยากได้เกินพอดี
🏝🏝 โทสะ ความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทผู้อื่น
🏝🏝 ราคะ ความผูกพันอยู่ด้วยรูปสวย เสียงเพราะ รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ และ
🏝🏝 โมหะ ความลุ่มหลงมัวเมา คิดอยู่ว่าเราจะไม่ตาย เป็นต้น

🎍 การที่เราจะละเว้นจากโลภะได้ 🎍 ก็คือ การที่เราประกอบกองบุญการกุศล นั่นคือ การให้ทานในวาระต่าง ๆ นั่นเอง อย่างเช่นว่า วันนี้ ญาติโยมทั้งหลายเดินทางมายังวัดท่าขนุนแห่งนี้ ท่านทั้งหลายก็ได้นำเอาข้าวปลาอาหาร ตลอดจนเครื่องสังฆทานมา เพื่อถวายให้แก่พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ กว่าญาติโยมจะหามาได้ ก็ต้องสละเงินทองที่ตนเองหามาด้วยความเหนื่อยยาก ไปซื้อ ไปหา ไปปรุงขึ้นมา แล้วก็นำมาถวายต่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา 🙏🏻

🔮 สิ่งที่เราหามาโดยยาก เรายังสละออกได้ ก็แปลว่า เราสามารถตัดความโลภในใจไปได้ส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่า เราทำบ่อย ๆ ทำเป็นประจำ ทำจนเคยชิน การที่จะตัดความโลภด้วยทาน สำหรับเราก็เป็นเรื่องง่าย ถ้าหากว่า ท่านที่ไม่สามารถที่จะกระทำได้ เพราะว่าไม่เคยชินกับการกระทำทั้งหลายเหล่านี้ ญาติโยมก็จะเห็นว่า เขาทั้งหลายเหล่านั้น แม้แต่จะใส่บาตรก็คิดแล้วคิดอีก จะสละปัจจัยไทยธรรมสักเล็กน้อย เพื่อประกอบกองบุญการกุศลใด ๆ ตาม ที่เราเคยไปเรี่ยไร ไปบอกบุญ ก็คิดแล้วคิดอีก ว่าจะทำหรือไม่ทำ เพราะว่า จิตใจประกอบไปด้วยมัจฉริยะ คือ ความตระหนี่ถี่เหนียว สละออกได้ยาก 🍃

🥇 ก็แปลว่าท่านทั้งหลายที่กระทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย เพราะว่าเราทำจนเคยชิน คำว่าเคยชินในทางพระพุทธศาสนานั้น ก็คืออารมณ์ใจของเราทรงตัวอยู่ในการให้ทานจนเป็นปกติ ก็แปลว่า ความโลภจะอยู่ในใจของเราได้น้อยมาก เราก็ได้กระทำการตัดความโลภ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนเอาไว้ 😇

🎍 การที่เราจะตัดราคะ 🎍 คือ ความผูกพันอยู่ในรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสระหว่างเพศนั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเอาไว้ว่า ราคะนั้นเราจะตัดด้วยกองกรรมฐานหลายกองด้วยกัน ได้แก่ ✨ กายคตานุสติ ✨ การที่เราระลึกถึงความเป็นจริงของร่างกายนี้ ว่าไม่ได้สวยงามอย่างแท้จริง เป็นเพียงผิวหนังหลอกตาอยู่ชั้นหนึ่งเท่านั้น 🍄

🍂 แค่ใต้หนังของเราลงไป ก็ประกอบไปด้วยเลือด ประกอบไปด้วยน้ำเหลือง ประกอบไปด้วยไขมัน มีเส้นเอ็น มีกระดูก ถ้าหากว่า ยกมาเป็นส่วน ๆ เราเห็นก็เกิดความรังเกียจมาก แม้กระทั่งเลือดของเราเองที่ออกมาจากร่างกาย เราก็ต้องรีบเช็ดรีบล้าง เพราะว่าเรารังเกียจ 🥀

🍄 ดังนั้น..ไม่ตัวเราหรือว่าตัวของคนอื่น ก็ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน ภายนอก ใหญ่น้อยทั้งปวง มีสภาพน่าเกลียดเป็นปกติ แต่เอาหนังชั้นหนึ่งมาห่อมาหุ้มลงไป เราก็ไปหลงติดอยู่แค่เปลือกด้านนอก แล้วเข้าใจว่าสวยงาม เป็นต้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ✨ ต้องใช้ปัญญาเข้ามาช่วย ✨ จึงจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน 🌿

🍄 ลำดับต่อไป ท่านให้ใช้ ✨ อสุภกรรมฐาน ✨ คือ การพิจารณาซากศพที่ตายไปแล้ว วันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง เจ็ดวันบ้าง หรือว่าซากศพทั้งหลายที่โดนหั่น โดนสับ โดนฟัน เป็นชิ้น เป็นท่อน หรือว่าซากศพที่กำลังมีหมู่หนอน มีสัตว์ทั้งหลายกัดกินอยู่ เป็นต้น เราก็จะเห็นว่า สภาพร่างกายนี้ เต็มไปด้วยความโสโครก เน่าเหม็นเป็นปกติ ในเมื่อเราเห็นความเป็นจริง ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ทั้งในร่างกายนี้และร่างกายคนอื่น จิตก็จะถอนออกมา จากความยินดีในกามราคะโดยปริยาย 🍀

🌾 สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ไม่มีป่าช้าผีดิบเหมือนสมัยเก่า ๆ นั้น ท่านทั้งหลายก็สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ ก็คือ ตามท้องตลาดที่มีเขียงขายหมู ขายเนื้ออยู่ สิ่งที่เขาสับ เขาฟัน หั่นเป็นชิ้นเป็นท่อนนั้น ลักษณะก็เหมือนเช่นเดียวกับร่างกายของเรานี้เอง เพียงแต่ว่า นั่นเป็นร่างกายของสัตว์เดรัจฉาน ที่ประกอบไปด้วยเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มีอวัยวะภายใน ภายนอกที่น่าเกลียด เราก็มานึกเปรียบเทียบกับสภาพร่างกายของเราว่า ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ร่างกายของคนอื่นที่เรารักใคร่ยินดีก็เป็นเช่นนั้น 🍂

🎈 สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเพียงสภาพหลอกตาอยู่เบื้องนอก ทำให้เราทั้งหลายไปหลงยึดติดอยู่ และท้ายที่สุด ก็ไปยึดว่าตัวกูของกู คนทุกอย่างรอบข้าง ก็ต้องเป็นของกูไปด้วย การที่เรายึดติดเช่นนี้ สภาพจิตของเราก็มัวหมอง ไม่แจ่มใส แต่ถ้าหากว่า เราพิจารณาบ่อย ๆ สามารถที่จะละ จะวางได้ เราทั้งหลายก็จะชำระจิตใจของตน ให้ผ่องใสจากราคะ ซึ่งเป็นอกุศลมูลใหญ่ตัวนี้ลงได้อีกส่วนหนึ่ง 🎉

🎍 ในด้านของโทสะนั้น 🎍 ท่านบอกว่า ให้ ✨ เจริญเมตตา ✨ เป็นปกติ ก็คือ มีความเห็นว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี ตลอดจนกระทั่งคนเราทั้งหลายก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีใครที่อยากจะทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่การที่เขากระทำสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วทำให้เราไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เกิดความโกรธเขาขึ้นมานั้น เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะกระทำอย่างนั้นเลย 😇

💌 ที่เขากระทำสิ่งเหล่านั้น ก็เพราะ เขาเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นดีเขาถึงได้กระทำ เพราะว่าปัญญาของเขาน้อยจึงเห็นผิดเป็นชอบ กระทำในสิ่งที่ไม่ดี โดยคิดว่าดี ถ้าหากเราเห็นว่า เป็นธรรมดาของบุคคลที่มีจิตใจต่ำ เขาทั้งหลายเหล่านั้นย่อมกระทำในสิ่งที่ไม่ดีเป็นปกติ เห็นคำว่า “ธรรมดา” ได้ เราก็จะรู้สึกว่า โอหนอ... เป็นปกติของเขาเหล่านั้นที่จะกระทำ เขาไม่รู้ว่าการกระทำนั้น สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและคนอื่นมากแค่ไหน 🍃

🌹 เราจะไปโกรธไปเกลียดเขา หรือไม่โกรธไม่เกลียดเขา เขาเองก็สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเองมากพอแล้ว แล้วเราจะไปโกรธไปเกลียดเขา เพื่อเพิ่มทุกข์เพิ่มโทษให้กับตัวเขา ตลอดจนกระทั่ง ทำให้กำลังใจของเราเสียไปทำไม ? ถ้าเรารู้จักใช้ปัญญาพิจารณาตรงนี้เพิ่มเติมขึ้น โทสะของเราก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงจากจิตใจของเรา ก็ทำให้เราทั้งหลายสามารถชำระจิตใจผ่องใสจากโทสะได้อีกส่วนหนึ่ง 🍀

(มีต่อ ... 📚)
...
CreditfbMotanaboon.com11กพ2560 (กราบ)😊
...



Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2560 8:55:44 น. 0 comments
Counter : 513 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.