Group Blog
 
<<
มกราคม 2561
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
30 มกราคม 2561
 
All Blogs
 
กฏกติกาของการไปพระนิพพาน โดยพระอาจารย์ หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน



***...กติกาของการไปพระนิพพาน...***....โดยพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ...
พระลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษี  วัดท่าซุง
   ...ถาม : อย่างมีเทคนิคหรือว่าเคล็ดลับจริง ๆ นี่ระหว่างทาน ศีล กับภาวนา ตัวไหนคะที่เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ? 
   ตอบ : ๓ อย่างต้องรวมกัน ถ้าหากว่าจะนับจริงๆก็คือตัวภาวนา ภาวนาจะทำให้เข้านิพพานได้  แต่ว่ามันจะต้องมีกำลังของทานกับศีลมาหนุนเสริมอยู่  เขาเปรียบอานิสงส์เอาไว้ว่า ทานนั้นเกิดมาจะรวย ศีลนั้นเกิดมาจะรูปสวย มีจิตใจดีงาม ภาวนาเกิดมาจะมีปัญญาฉลาด คนฉลาดแต่จนมันก็แย่ใช่มั้ย?ส่วนคนรวยไม่มีปัญญา รักษาทรัพย์ไม่อยู่  เพราะฉะนั้นมันต้องทำเหมือนๆกันทำในลักษณะที่ว่าทำให้มันเสมอๆกัน ในเมื่อทำสม่ำเสมอกันต่อไปอานิสงส์ที่มันควรได้มันก็ได้ด้วยกันทั้งหมด ประเภทที่ว่ากันเอาไว้ก่อนเผื่อต้องเกิดใหม่  ก็คือเกิดให้มันสมบูรณ์ไป ถ้ามันไม่ต้องเกิดใหม่อาศัยกำลังตัวนี้ส่งเราเข้านิพพาน 
   ถาม : ถ้ายังไม่สามารถฝึกปฏิบัติให้เห็นพระนิพพานได้แต่ตั้งใจไว้สามารถ...? 
  ตอบ : สามารถไปนิพพานได้เหมือนกัน 
***...กติกาของการไปนิพพานก็คือ...*** 
   ๑.เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  อย่างแน่นแฟ้นจริงจังไม่ปรามาสทั้งต่อหน้าและลับหลัง 
   ๒.รักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อให้บริสุทธิ์ 
   ๓.ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปนิพพาน 
...มีข้อไหนบอกว่าต้องได้ฤทธิ์ได้อภิญญา ต้องเห็นนรกเห็นสวรรค์บ้างมั้ย ?   ไม่มีนะ   สิ่งที่เห็นสำหรับคนขี้สงสัยจะได้แก้สงสัยว่ามีจริงหรือเปล่า ? แล้วถ้าหากว่ามัวแต่แก้สงสัยมัวแต่ไปทำอยู่ ตายตอนนั้นผลประโยชน์ที่ควรจะได้เต็มที่ก็พาลไม่ได้ไปด้วย ก็ได้แค่ตามสมควรเท่านั้น 
...ดังนั้นว่าถ้าหากว่าเรามีความเชื่อถือที่มั่นคงจริงจังแล้วพระพุทธเจ้าสอนถูกตั้งหน้าตั้งตาทำ เมื่อถึงวาระนั้นอารมณ์ของพระนิพพานจะเข้ามาเต็มในใจของเราเอง แล้วเราจะรู้ว่าสภาพของนิพพานแท้จริงเป็นยังไงไม่ต้องเห็นก็ได้ 
...เพราะฉะนั้น ถึงว่าบุคคลที่เป็นสุขวิปัสสโก ทำไมถึงมั่นใจคุณของพระรัตนตรัย ทำไมถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพานทั้งๆที่ท่านไม่เห็น เพราะว่าอารมณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเต็มในใจของท่านเอง เมื่อเข้าถึงแล้วรับรู้ได้แล้วถึงไม่เห็นก็มั่นใจ 
...เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นเป็นแค่ของแถม ถ้าหากว่าเห็นแล้วใช้ผิดอย่างปัจจุบันนี้ ก็ยิ่งน่าเวทนาหนักเข้าไปอีก มโนมยิทธิ...จริง ๆ แล้ว เป็นการตัดกิเลสที่รวบรัดที่สุด เพราะว่ากิเลสโดยเฉพาะ รัก โลภ โกรธ หลง  เป็นสมบัติของร่างกาย  ถ้าใจไม่อยู่คอยปรุงคอยแต่งแล้วมันไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้...มโนมยิทธิเป็นการถอดใจออกไป มันโกรธขึ้นมาอาศัยความชำนาญวิ่งไปอยู่บนพระนิพพาน มันเกิดราคะขึ้นมาอาศัยความชำนาญโดดขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน 
...ในเมื่อไม่มีใครมาปรุงมาแต่งมันก็เหมือนกับอาหาร  ไม่ได้ใส่เกลือ ไม่ได้ใส่น้ำตาล ไม่ได้ใส่น้ำส้มน้ำปลาอะไร รสชาดมันไม่เอาอ่าว  มันจืดชืด   ไม่นานมันก็เลิกของมันไปเอง พอทำบ่อย ๆ การตัดกิเลสอัตโนมัติโดยเฉพาะไปนิพพานได้  รู้จักพระนิพพานจิตมันเกาะอยู่เป็นประจำ  กิเลสมันหมดเข้านิพพานได้ง่ายๆ 
...แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไปใช้ผิด ๆ ตรงที่ว่ายังไง...ไประลึกชาติใช่มั้ย ? คนนั้นก็เป็นญาติเรา คนนั้นเป็นพ่อคนโน้นเป็นแม่ ไอ้นั่นผัว ไอ้นี่เมีย นั่นลูก  ฟื้นความสัมพันธ์ไม่พอ ไปผูกความสัมพันธ์ฟื้นขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่ง แทนที่จะละก็กลายเป็นยึดก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น 
...ถ้าหากว่าตายในขณะที่จิตใจของตนเองผ่องใส พื้นฐานมโนมยิทธิคือ กำลังของฌานก็ได้แค่พรหมเท่านั้นใช่มั้ย ?  
...ถ้าตายตอนจิตใจเศร้าหมอง  ไปดูไอ้ชาตินั้นไม่น่าเลย 
ไปทะเลาะกับเขาอย่างนี้  กำลังใจกำลังขุ่นมัวอยู่ก็เป็นอันว่าลงอบายภูมิไป ขาดทุนย่อยยับ 
...เพราะฉะนั้นว่าการรู้นี่  ไม่แน่เหมือนกันว่าจะดี ถ้ารู้แล้วขาดสติขาดการไตร่ตรองก็ทำให้เราพลาดจากผลประโยชน์ที่ควรได้ มโนมยิทธิของหลวงพ่อราคาเป็นล้านนะ  เราเอามาใช้ไม่ถึงสลึงแล้วยังใช้ผิดอีกต่างหาก จริง ๆ แล้วท่านต้องการให้เราเอากำลังใจเกาะนิพพานเอาไว้ เกาะให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
...ถ้าใครที่อยู่รุ่นเก่า ๆ จะจำได้ว่ามีอยู่สมัยนั้นที่หลวงพ่อกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง ๗ องค์   ที่บรรลุพร้อมกันที่อยู่ทางเหนือ บอกว่ามีอยู่ ๓ องค์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ส่วนอีก ๒ องค์ก็ได้รับเค้าจากอีก ๓ องค์ ของท่าน ท่านบอกท่านไม่ได้ทำอะไรมากหรอก วันๆหนึ่งก็เอาจิตเกาะนิพพานไว้ เกาะนิพพานอยู่ ๆ กิเลสมันหมดเอง นั่นแหละคือจุดที่หลวงพ่อต้องการมากที่สุด มโนมยิทธิในด้านอื่น ๆ เมื่อเรารู้แล้ว รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต รู้ใจคนอื่น 
รู้ว่าสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหนตายแล้วไปไหน ระลึกชาติได้  รู้ว่าทำกรรมดี กรรมชั่วแล้วผลจะเป็นอย่างไรเหล่านี้ ท่านให้รู้เพื่อเราจะได้เข็ดจะได้ละ 
...แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนที่มันไม่ทุกข์มั่ง....มีมั้ย ? มันทุกข์ทุกชาติใช่มั้ย ? ชาตินี้เกิดอยู่ก็ทุกข์อีกนะ เพราะฉะนั้นอดีตทุกชาติ  ทุกข์อยู่แล้ว ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่  อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก  เป็นอันว่า ๓ ข้อเก็บใส่กระเป๋าได้  เชื่อมั่นว่าทุกข์
แน่ ๆ ไม่ต้องใช้แล้ว รู้ใจคนอื่นประโยชน์มันน้อย มันต้องดูใจตัวเองดูว่าความดีมีมั้ย ?  ถ้าไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา  ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป  มันมีความชั่วมั้ย ?  ถ้ามีไล่มันออกไปแล้วระวังไว้อย่าให้มันเข้ามานะ 
...เจโตปริยญาณ ถ้าดูใจตัวเองลักษณะนั้นก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล ถ้าดูผิดมัวแต่ไปดูคนอื่น คนนั้นใจเป็นอย่างนี้คนนี้ใจเป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูที่ตัวแก้ที่ตัวก็เสียประโยชน์ไป 
...ปุพเพนิวาสสานุสติญาณ ระลึกชาติได้นั้น มีชาติไหนบ้างที่ไม่ทุกข์บ้างถามหน่อยเถอะ
...จุตูปปาตญาณ คนเกิดก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า  ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เราทำดีเราย่อมไปสู่สุขคติ ถ้าเราทำชั่วก็ลงอบายภูมิ ถ้างั้นก็เก็บเอาไว้อีกอย่างหนึ่งได้แล้ว 
...ไม่ต้องไปฝึกยถากรรมมุตาญาณ นี่ยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะว่ารู้ว่า กรรมแต่ละอย่างทำให้คนและสัตว์เป็นยังไง   เราเชื่อกรรมดีกรรมชั่วก็เก็บใส่กระเป๋าไปเลย 
...ตกลงว่ามโนมยิทธิไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าหากว่าเรามั่นคงในพระรัตนตรัย  เชื่อถือพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วคนที่มียิ่งชัดก็ยิ่งโดนหลอกง่ายใช่มั้ย ? ประสบการณ์โดนหลอกนี่มันเจ็บปวดจริง ๆ เลย  ส่วนใหญ่แล้วโดนมาทั้งนั้นนะ โดนแบบไม่รู้ตัวด้วย
...ในเมื่อตัวเองเห็นก็มักจะไปเถียงคนอื่น  ก็ตัวเองเห็นแล้วมันจะผิดได้ยังไง หารู้ไม่ว่าเขาหลอก เราเห็นเขาไล่ยิง ไล่ฟัน ไล่แทงมา ตกอกตกใจวิ่งเข้าไปช่วย ปรากฏว่าเขากำลังถ่ายหนังอยู่ โดนเขาตีกะบาลเอาน่ะซิ  เราเห็นจริง ๆ รึเปล่า ?เห็นใช่มั้ย แต่เรื่องนั้นเรื่องจริงรึเปล่า ? ไม่ใช่..เป็นเรื่องที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา 
...เพราะฉะนั้นเรื่องของการรู้เห็นด้วยทิพจักขุญาณ  หรือว่าเห็นด้วยมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง  ถ้าสอบตกก็เจ็บหนักหน่อย   ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า   วิ่งหาอารมณ์พระโสดาบันเอาไว้   ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าไป มโนมยิทธิจัดเป็นอภิญญาใช่มั้ย ?  อภิ คือ ยิ่งกว่า  อัญญา คือ ความรู้ มันไม่มีอะไรรู้ไปยิ่งกว่าการตัดกิเลสหรอก ไม่ได้ยุให้พวกเราเลิกทำนะใครทำได้ให้เปลี่ยนไปเกาะพระนิพพานแทน เกาะได้นานเท่าไหร่ดีเท่านั้น 
...ภพอื่นภูมิอื่นเราก็ดูอยู่แล้วรู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่มีที่ไหนดีไปกว่านิพพาน เรื่องอื่น ๆ นั่นกองไว้ได้ ถ้าตายตอนนั้นแย่เลย 
...มีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ที่สายลม ท่านบอกว่าคนที่ทรงกรรมฐาน ๔๐ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ หรือวิชชา ๒ ห่างนรกแค่ขอบนิ้วกั้น  กั้นแบบนี้ไม่ใช่กั้นอย่างนี้ แล้วของเราเองแค่มโนมยิทธินี่มันคงจะห่างซักแค่นี้....  ตายแหง ๆ เลย   เพราะฉะนั้นตั้งหน้าตั้งตาคว้าอารมณ์พระอริยะเจ้าไว้ก่อน ประกันความเสี่ยงไว้ก่อนปิดอบายภูมิไว้ก่อน อย่างน้อย ๆ ตายก็อย่าให้มันขาดทุน
   สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ 
เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
...

...

...


...



Create Date : 30 มกราคม 2561
Last Update : 30 มกราคม 2561 12:34:19 น. 0 comments
Counter : 2861 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.