<<
มิถุนายน 2549
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
10 มิถุนายน 2549
 

<พิเศษ> พระราชอารมณ์ขัน สำหรับบางคนที่ยังไม่เคยอ่าน

พระราชอารมณ์ขัน สำหรับบางคนที่ยังไม่เคยอ่าน


คนหนังสือพิมพ์อเมริกันนั้น ขึ้นชื่อว่าดุ และไม่ค่อยจะรู้จักที่ต่ำที่สูง แถมยังก้าวร้าวอีกด้วย แม้กระทั่งจอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่อย่างครุสชอฟ เมื่อถึงคราวต้องไปเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้สื่อข่าวอเมริกัน ยังอดครั่นคร้ามไม่ได้ ดังนั้น ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในปี 2503 ทางรัฐบาลจึงได้จัดส่งบุคคลผู้หนึ่งไปชี้แจงทำความเข้าใจกับบรรดานักหนังสือพิมพ์อเมริกันเสียชั้นหนึ่งก่อน เท่ากับเป็นการปูพื้นพอให้ผู้สื่อข่าวอเมริกันได้ทราบถึงฐานะอันแท้จริง ของพระเจ้าแผ่นดินไทย ว่ามิใช่เป็นเทพเจ้า แต่ก็ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาราษฎร ทั้งที่เป็นชาวพุทธ มุสลิม และคริสต์ เพราะในประเทศไทยนั้นทุกศาสนา ทุกนิกาย ต่างก็สามารถเผยแพร่ศาสนาของตนได้โดยอิสระเสรี

ในด้านประชาชน ก็ได้เสด็จฯ ออก เยี่ยมราษฎรผู้ยากไร้ ในถิ่นทุรกันดาร พร้อมด้วยแผนที่ขนาดใหญ่ในพระหัตถ์ ทรงหาแหล่งน้ำช่วยเกษตรกรผู้ยากจนของพระองค์ จึงได้รับความเคารพบูชาอย่างล้นพ้นจากชาวบ้านที่ยากจนทั่วไป

งานของบุคคลนี้ ในการไปทำความเข้าใจกับนักหนังสือพิมพ์ในอเมริกา เรียกกันว่าเป็นงานประชาสัมพันธ์ และทางรัฐบาลก็เห็นน่าไม่มีใครจะเหมาะยิ่งไปกว่า ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ชี้แจงให้ผู้สื่อข่าวอเมริกันฟังว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงมีฐานะอยู่เหนือการเมือง จึงไม่บังควรที่จะกราบทูลถามเรื่องการเมือง
"ถ้าหากจะกราบทูลถามเรื่องละคร The King and I จะถามได้ไหม?" นักข่าวหนุ่มคะนองคนหนึ่งซัก

ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

"ไม่แปลกอะไร คุณกราบทูลถามได้" ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตอบ "ดีเสียอีก คุณจะได้ทราบว่าคิงมงกุฏจริงๆ นั้นหาได้เป็นตัวตลกอย่างในละครเรื่องนั้นไม่ แท้จริงทรงรอบรู้วิชาดาราศาสตร์ดีว่าพวกคุณหลายๆ คนเสียอีก และทรงเชี่ยวชาญภาษาบาลีเป็นอันมาก"

นักข่าวตะลึง จดกันใหญ่

เนื่องด้วย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ไปปูพื้นกรุยทางไว้ก่อนเช่นนี้ ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงอเมริกา พวกหนังสือพิมพ์จึงยับยั้งไม่กล้ากราบทูลสัมภาษณ์เรื่องการเมือง แต่ได้กราบทูลถามความรู้สึกส่วนพระองค์ว่า

"นี่เป็นการเสด็จฯ เยือนอเมริกาเป็นครั้งแรก….ทรงรู้สึกอย่างไรบ้าง?"

มีพระราชดำรัสตอบว่า "ก็ตื่นเต้นที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเพราะข้าพเจ้าเกิดที่นี่ …..ที่เมืองบอสตัน"

คงจะเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวในโลก ที่จะสามารถตรัสได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ทรงมีพระราชสมภพที่อเมริกา ข้อความนี้ช่วยให้ผู้สื่อข่าวรู้สึกเคารพรักและมีความใกล้ชิดกับพระองค์ขึ้นมาทันที เพราะพระองค์มิใช่ "คนต่างประเทศ" หากแต่เป็น "คนบอสตัน" คนหนึ่ง

ตอนใกล้จะจบการพระราชทานสัมภาษณ์ในวันแรกที่อเมริกานักข่าวคนหนึ่งได้กราบทูลถาม เป็นประโยคสั้นๆ ว่า

"จะทรงมีอะไรฝากไปถึงอเมริกันชนทั่วๆ ไปบ้าง?"

ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่า "คนอเมริกันดูช่างรีบร้อนกันเหลือเกิน ถ้าหากจะ GO SLOW จะทำให้มีความสุขยิ่งกว่านี้"

เช้าวันรุ่งขึ้นสถานีวิทยุในอเมริกาแทบจะทุกรัฐต่างเริ่มรายการว่า "กษัตริย์จากไทยแลนด์รับสั่งฝากมาว่า GO SLOW…..นับเป็นปรัชญาแบบไทยของพระองค์…..ขอให้พวกเรา GO SLOW ในทุกๆ อย่างแล้ว ชีวิตของคุณจะสบายดีขึ้น"

ก่อนที่กลุ่มนักข่าวจะกราบทูลลามีนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งกราบทูลถามเป็นคำถามสุดท้ายว่า "ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก…ไม่ทรงยิ้มเลย?"

ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพลางรับสั่งว่า "นั่นไง…ยิ้มของฉัน"

แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณ และพระราชอารมณ์ขันอันล้ำลึกของพระองค์ท่าน ทำให้ทรงเป็นที่รักของประชาชนอเมริกันโดยทั่วไป ในวันที่เสด็จฯ รัฐสภาคองเกรส เพื่อทรงมีพระราชดำรัสต่อสภา จึงทรงได้รับการถวายการปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนานหลายครั้ง

เมื่อเสด็จถึงฮอลลีวู้ด นครแห่งดารา ก็ทรงมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต (พระยศในขณะนั้น) ได้ทรงเล่าไว้ว่า

"พระราชดำรัสในวันนั้นเป็นกันเอง ขำๆ ดี คนฟังชอบใจมากหัวเราะกันก้ากๆ แล้วตบมือถวายหลายครั้ง ในความบางตอนถ้าหญิงจำไม่ผิดก็คล้ายๆ งี้ "เรากำลังเดินอยู่บนเมฆ กระทบไหล่กับดารา เหล่าดาราส่องแสงไปทั่วโลก (ตอนนี้เหล่าดาราที่นั่งอยู่ที่โต๊ะต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่) พวกคนไทยโดยมากเป็นนักดูหนัง และติดตามความเป็นไปของดาราดวงที่ตนชอบอย่างสนใจที่สุด ข้าพเจ้าจำต้องรับสารภาพอย่างน่าเสียใจว่า แฟนหนังวัยรุ่นของเราบางคนสนใจเรื่องของดาราภาพยนตร์ที่ตนชอบมากกว่าสนใจวิชาที่เรียนจากโรงเรียนเสียอีก"

ตอนนี้คนสำคัญของโลกภาพยนตร์ต่างหัวเราะชอบใจ ต่อไปพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสดีขึ้นไปอีก ตอนนี้ขอลอกพระราชดำรัสแท้ๆ ถ้ามัวแปลเดี๋ยวเสียรสคำหมด

"Now" ทรงมีพระราชดำรัสต่อไป "I would like to confide something - and this is between the King and you. It's about " The King and I"

ตอนนี้ถึงฮาตึงเลยทีเดียว



…..หมายกำหนดการต่อไป ก็คือต้องพระราชทานวโรกาสให้หนังสือพิมพ์ นักข่าว และพวกโทรทัศน์ กี่ช่องต่อกี่ช่องของลอสแองเจลิส ถวายสัมภาษณ์ เป็นครั้งแรกในแผ่นดินใหญ่… มีคนหนึ่งทูลถามท่านว่า "เคยทรงหนังสือเรื่อง ดิ อั๊กลี่ อเมริกัน หรือไม่"

พระราชดำรัสตอบ "ไม่เคย"

พ่อนั่นคงเตรียมมาว่า คงจะทรงตอบว่าเคย ครั้นทรงตอบตรงกันข้ามก็ออกจะงง แต่ก็อุตส่าห์ทูลถามต่อไปว่า "แล้วทรงเห็นเป็นยังไง?"

พระเจ้าอยู่หัวทรงอึ้งไปสักวินาที ก็ตรัสว่า "Well, we all make mistakes" ซึ่งจะแปลออกไปเองว่าท่านคงหมายความถึงผู้แต่งหนังสือก็ได้ นโยบายต่างประเทศของอเมริกาก็ได้ ไม่ทราบว่าท่านทรงหมายความว่ากระไรแน่ เล่นเอาพ่อนั่นหมดปัญญา ไม่รู้จะต่อเรื่องไปทางไหน ผู้สื่อข่าวอื่นๆ หัวเราะชอบใจที่เห็นพวกเดียวกันจนมุมถึงอึ้งไป….?

(คัดตัดตอนมาจากหนังสือเรื่องตามเสด็จอเมริกา จดหมายถึงเพื่อน จากหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต)

ที่ฮอลลีวู้ด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯ เยี่ยมโรงถ่ายภาพยนต์พาราเม้าด้วย วันนั้น (21 มิถุนายน 2503) ทางโรงถ่ายกำลังถ่ายทำเรื่อง จี.ไอ.บลูส์ ก็ได้กำหนดให้ เอ็ลวิส เพรสลีย์ กับจูเลียต พราวส์ ตัวแสดงนำทั้งคู่เข้าเฝ้าฯ โดยมีนายพอล เนทัน ผู้อำนวยการสร้างมารับเสด็จฯ และนำพระเอกนางเอกเข้าเฝ้าฯ เอ็ลวิส เพรสลีย์ ตื่นเต้นมาก กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวได้แต่เพียงว่า "Hello, Your Majesty, Sir" แล้วก็ถวายคำนับ รู้สึกดาราพระเอกคนนี้ในชีวิตจริงค่อนข้างจะขี้อาย เมื่อตัวเอกของเรื่องถวายตัวเสร็จแล้ว พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จก็ประทับลง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับก็จัดการให้เอ็ลวิสมานั่งข้างในหลวง และจูเลียต พราวส์ นั่งข้างสมเด็จ แต่ดารานางเอกไม่รู้จักขนบธรรมเนียมไทย ก็เลยนั่งไขว่ห้างตามสบายบรรดาช่างภาพถ่ายรูปกันพึบพับ ต่อจากนั้นดาราทั้งสองก็กราบถวายบังคมลาไปถ่ายหนังต่อ ขณะเอ็ลวิสเต้นและทำปากพะงาบๆ อยู่นั้นก็มีเจ้าหน้าที่ชูป้ายเดินไปมา มีข้อความว่า "เงียบ"

ในระหว่างการเสด็จประพาสอเมริกาครั้งแรก ในสมัยของประธานาธิบดี ไอเซ็นฮาวร์ นั้นได้เสด็จทรงพระสำราญ ไปทรงแซ็กโซโฟน กับเบ็นนี กู๊ดแมน ผู้เป็นพระสหาย มีฝรั่งคนหนึ่งยังเก็บเทปบันทึกเสียงการทรงดนตรีครั้งประวัติศาสตร์คราวนั้นไว้จนเดี๋ยวนี้ และการเสด็จฯ อีกครั้งหนึ่ง ในสมัยประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน ทางทำเนียบขาวทราบอยู่แล้วว่าทรงโปรดดนตรีแจ็ส จึงได้ได้เตรียมรับเสด็จฯ โดยเชิญนักดนตรีแจ๊สผู้มีชื่อเสียงสองคน คือ ดุ๊ค เอ็ลลิงตัน กับสแตน เก็ทซ์ มาเล่นร่วมกับวงดนตรีหนึ่งจากเท็กซัส ชื่อ Texas State Lab Band พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดดนตรีวงนี้มาก ถึงเวลาที่จะต้องเสด็จฯ กลับก็ยังคงประทับอยู่ต่อ และทรงดนตรีต่อไปอีกเกือบชั่วโมงเต็มๆ (ดูรายละเอียดจากหนังสือเรื่อง Ruffles and Flourishes Liz โดย Carpenter)

เกี่ยวกับการเสด็จประพาสอเมริกาครั้งแรกนั้น ควรจะได้เล่าถึงบ็อบ โฮ้พไว้ด้วย เพราะทรงคุ้นเคยกับดาราผู้นี้ตั้งแต่ครั้งบ็อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนามระหว่างแวะพักตั้งหลักที่กรุงเทพฯ บ็อบ โฮ้พ โชคดีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรฯ โดยโปรกเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย

บ็อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย"

"ได้เลย…..ไม่ขัดข้อง" รับสั่งตอบ "พาเพื่อนของคุณมาได้เลย"

"ต้องขอบพระทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคน ของข้าพระพุทธเจ้าด้วย"

คืนนั้น บ็อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขา เข้าไปเล่นถวายในวังสวนจิตรฯ อยู่จนดึก จึงกราบทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านพักของเขา รับสั่งว่า "ยินดี….ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ"

บ็อบ โฮ้พ ได้นำไปเล่าอย่างสนุกสนาน ในรายการโทรทัศน์ของเขา ดังนั้นก็คงจะมีการใส่ไข่บ้างเพื่อเพิ่มรสชาติในการเล่า เพราะนายบ็อบ โฮ้พ แกเป็นนักใส่ไข่ลือชื่ออยู่แล้ว

ในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรตามหัวเมืองไกลๆ นั้น ต้องตรากตรำพระวรกายเป็นอย่างมาก ทรงหนีบแผนที่อยู่ตลอดเวลา เพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับหมู่บ้านและเส้นทางของแม่น้ำลำธาร ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการวางแผนพัฒนา นอกจากนั้นแล้วยังทรงมีปัญหาเรื่องอื่นๆ อีกร้อยแปด จะต้องเสด็จฯ ไปงานพระราชพิธีต่างๆ จะต้องเสด็จฯ ออกรับแขกเมืองชาวต่างประเทศที่ขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายของบ้าง ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลบ้าง ฯลฯ เยอะแยะไปหมด การที่ทรงสามารถรับพระราชภาระอันหนักเช่นนี้อยู่ได้นานนับสิบๆ ปี ก็เพราะทรงมีพระราชอารมณ์ขันนั่นเองเป็นทางระบายความเครียด ข้าราชบริพารและตำรวจทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี และมักเล่าสู่กันฟังด้วยความชื่นชมในพระราชอารมณ์ขันของพระองค์อยู่เสมอ

นายตำรวจคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากจะกราบทูลด้วยราชาศัพท์แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดี และความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์ แต่ถึงกระนั้น กำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบทูลให้ถูกต้องตามแบบแผนอุตส่าห์ไปซ้อมมาเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็สั่นเทิ้มด้วยฤทธิ์ประหม่า รายงานตัวออกไปว่า

"ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า……"

"เราพวกเดียวกันนะ…." รับสั่งด้วยความเมตตาอย่างพ่อพูดกับลูก

ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เลยเปลี่ยนใจมากราบทูลด้วยภาษาธรรมดา

คุณพ่วง สุวรรณรัฐ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยเล่าให้ฟังว่าการที่ได้รับสั่งสนทนาปราศรัยกับราษฎรอย่างใกล้ชิดนั้น เป็นสิ่งที่โปรดปรานและต้องพระราชประสงค์อย่างยิ่ง ไม่เคยทรงถือเลยว่าราษฎรจะกราบบังคมทูลด้วยถ้อยคำธรรมดาอย่างไร บางครั้งราษฎรพยายามจะใช้คำราชาศัพท์ขลุกๆ ขลักๆ ก็ทรงพระกรุณาแก้ไขให้หรือรับสั่งอนุญาตว่า พูดธรรมดากันก็ได้ ครั้งหนึ่งได้รับสั่งถามราษฎรว่า ทำไมมากันมาก รู้ได้อย่างไร ใครจะมา มาไกลไหม เคยมีราษฎรกราบบังคมทูลว่าอำเภอเขาให้มา แต่ก็มีมากรายที่ตอบตรงตามหัวใจว่า "โอย….ใครไม่บอกก็มา…อยากมาเห็น…ก่อนตายขอให้ได้เห็นในหลวงเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี"

บางแห่งรับสั่งถามว่า "พากันเดินทางมาเหนื่อยไหม….ไกลมากไหม?"

คุณยายคนหนึ่งทูลตอบไปว่า "ไม่ไกลเท่าไรดอกเจ้าคะ…..เดินทางมาสองคืนเท่านั้นเอง"

เรื่องราชาศัพท์นั้น อย่าแต่ว่าชาวบ้านแถวร้อยเอ็ดหรือทุ่งสงเลย ขนาดอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ยังประหม่า ใช้ถูกใช้ผิดเพราะไม่เคยชิน ก็เลยต้องอึกๆ อักๆ แต่มีอยู่คราวหนึ่ง มีพระราชกระแสรับสั่งกับราษฎรในชนบทกลุ่มหนึ่ง และมีผู้ชายอายุขนาดกลางคนผู้หนึ่ง กราบบังคมทูลชี้แจงชัดถ้อยชัดคำ ใช้ศัพท์แสงอย่างสูงพอดู สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจึงรับสั่งถามเป็นทำนองว่า เคยเข้ารั้วเข้าวังที่ไหนอยู่หรือ จึงพูดจาใช้ราชาศัพท์คล่องแคล่ว

ชาวผู้นั้นกราบทูลตอบว่า "ขอเดชะ…พระบารมีปกเกล้าฯ เกล้ากระหม่อมเคยเป็นตัวเอกลิเกมาก่อน พะยะค่ะ

ความลับแตกดังโพละออกมาเลย….ทำเอาขบวนตามเสด็จหัวเราะกันครืนไป

เรื่องพระราชอารมณ์ขันนี้ ม.ล.ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่มหาวิทยาลัยประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้ว มีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่นว่า "วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล"

ม.ล. ปิ่น มาลากุล อึกอัก จนด้วยเกล้าฯ เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักปริญญาบัตรไว้ก่อน เพื่อกราบบังคมทูลแต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกัน เผื่อเหนียว…อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า ม.ล.ปิ่น มาลากุล จึงกราบทูลเสียงดังว่า

"วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม"

ในทันทีนั้นก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่นว่า

"ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรี่ จึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป"

มีอยู่คราวหนึ่ง หลังจากปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง มีผู้กราบบังคมทูลถามในหลวงว่า ภูเขาลูกใหญ่ที่ปีนเมื่อวานซืนกับลูกนี้ลูกไหนจะสูงกว่ากัน

ในหลวงทรงตรัสตอบว่า

"ลูกวานซืนนี้สูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกกว่าจะถึงยอก… แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น"

แม้แต่ในยามทรงพระประชวร เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระอาการไข้สูง พระหทัยเต้นไม่เป็นส่ำแต่ก็ยังทรงมีพระอารมณ์ขันอยู่ตลอดเวลา

ในฐานะที่ทรงเป็นนักดนตรี ได้รับสั่งกับหมอว่าจังหวะการเต้นของพระหทัยนี้ คล้ายๆ กับจังหวะห้าสี่ในทางดนตรี และหลังจากทรงหายพระประชวรแล้ว ก็ทรงแต่งเพลงแจ๊ส จังหวะห้าสี่ขึ้น เพลงหนึ่ง…

…….ให้ชื่อว่า High Fever!

ในระหว่างถวายการรักษานั้น คณะแพทย์ต้องเจาะพระโลหิตกันเกือบทุกวัน วันละ 50 ถึง 100 ซีซี ขณะที่ทรงพระประชวรนี้ มีพระหทัยตั้งสมาธิแน่วแน่ พระอารมณ์แจ่มใส ได้ทรงล้อเลียนคณะแพทย์เมื่อพระอาการทุเลาลงแล้ว โดยทรงรับสั่งว่า คณะกรรมการแพทย์ชุดนี้ รักษาพระอาการแบบโบราณโดยที่ไม่ถวายพระโอสถเลย…แต่ใช้วิธีสูบเลือดออก

พระราชอารมณ์ขันจงเจริญ

จากหนังสือ พระราชอารมณ์ขัน โดย คุณวิลาศ มณีวัต

สำนักพิมพ์ บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด 2539 หน้า 13-28.



Create Date : 10 มิถุนายน 2549
Last Update : 10 มิถุนายน 2549 0:40:21 น. 9 comments
Counter : 408 Pageviews.  
 
 
 
 

Long Live The King

 
 

โดย: สวนลอยแห่งบาบิโลน วันที่: 10 มิถุนายน 2549 เวลา:1:00:52 น.  

 
 
 
นาน ๆ จะได้อ่านเรื่องของคุณดนย์แบบยาว ๆ สักที อ่านแล้วปลื้มใจ ประทับใจในพระองค์ท่านมากค่ะ
ท่านทรงเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
 
 

โดย: ซออู้ วันที่: 10 มิถุนายน 2549 เวลา:8:21:29 น.  

 
 
 
ขอบคุณค่ะ สำหรับเรื่องราวดี ๆ ที่เอามาฝาก
 
 

โดย: 304 คอนแวนต์ (304 คอนแวนต์ ) วันที่: 10 มิถุนายน 2549 เวลา:8:52:55 น.  

 
 
 
ขอบคุณนะคะที่นำมาแบ่งให้อ่าน
 
 

โดย: YuBing วันที่: 10 มิถุนายน 2549 เวลา:9:12:13 น.  

 
 
 
เราพระเจ้าอยู่หัว
 
 

โดย: bird-narak วันที่: 10 มิถุนายน 2549 เวลา:15:21:43 น.  

 
 
 
 
 

โดย: nui_f4@hotmail.com IP: 61.90.221.214 วันที่: 12 มิถุนายน 2549 เวลา:13:59:06 น.  

 
 
 
เป็นBlogเรื่องที่ประทับใจมากครับ
 
 

โดย: yyswim วันที่: 14 มิถุนายน 2549 เวลา:10:09:57 น.  

 
 
 
ชอบครับ ประทับใจมากครับ
 
 

โดย: นายเบียร์ วันที่: 23 มิถุนายน 2549 เวลา:4:28:41 น.  

 
 
 
เรื่องสูบเลือดไม่เคยอ่าน ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: บัว IP: 58.8.137.20 วันที่: 24 สิงหาคม 2549 เวลา:22:53:12 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ดนย์
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ...Hello...Bonjour à tous, Je m'appelle DON...................พระจากไปใจประชาก็ว้าหวั่น...พระมิ่งขวัญอนันต์คุณการุณชาติ...พระคือพระผู้เมตตาผู้เสริมศาสตร์...พระสถิตย์ในใจราษฎร์นิจนิรันดร์ ......น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอทรงสถิตย์บนชั้นฟ้า ปวงประชาศรัทธามิรู้ลืม..........................................................“ครู” ประดุจ “เรือจ้าง” ใครช่างเปรียบ “ครู” ควรเทียบฟ้ากระจ่างกว้างไพศาล “ครู” ตักเตือนเมตตา-อภิบาล “ครู” สอนสั่งวิชาการ...วิชาคน“เรือจ้าง” ใครช่างเปรียบ “ครู” ควรเทียบแสงสว่างกลางไพรสณฑ์ เป็นแสงทองส่องชี้ชีวิตคน พระคุณล้นเกินรำพรรณจำนรรจา แม้ไม่มีข้าวตอก- ดอกไม้หอม ประดับพร้อมเป็นพุ่มพานอันหรูหรา แต่ขอนำจิตร้อยถักอักษรา ประณตน้อม “สักกาฯ” พระคุณ “ครู”...................ใครคือครู ครูคือใคร ในวันนี้ ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์ ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียร ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ ให้สูงสุดกว่าสัตว์ดิรัจฉาน ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์ มีดวงมานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ใหญ่ยิ่ง สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง สร้างคนให้ได้เป็นตัวของตัวเอง ขอมอบเพลงนี้มาบูชาครู..................เกิด....เป็นครูต้องดิ้นรนทนต่อสู้ เกิด...เป็นครูในโลกนี้มีหวั่นไหว เกิด...เป็นครูแม้มีจนต้องทนไป เกิด...เป็นครูถึงอย่างไรไม่ถ่ายโอน เกิด...เป็นครูขอยึดมั่นอยู่ที่เดิม เกิด...เป็นครูจะเสริมตัวใช่หัวโขน เกิด...เป็นครูอยู่ศึกษาอย่ามาโยน เกิด...เป็นครูไม่ขอโอนไปไหนเอย..................เกิด....เป็นครูในวันนี้ต้องต่อสู้ เกิด....เป็นครูในวันนี้ไม่หวั่นไหว เกิด....เป็นครูไม่ใช่ต้องทนไป เกิด....เป็นครูมีความคิดได้ใช่ตามกัน เกิด....เป็นครูไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เกิด....เป็นครูมีความรักต่อศิษย์มั่น เกิด....เป็นครูต้องต่อสู้ให้พร้อมกัน เกิด....เป็นครูตั้งมั่นไม่ถ่ายโอน................................สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด..................ยินดีต้อนรับเข้าสู่ don's blog ครับ

[Add ดนย์'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com