ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
๔. ปาฏิหาริย์พิชิตมาร (๒)

ทุกรกิริยา
เวลาเดียวกันนั้น โกณฑัญญะพราหมณ์ ผู้เคยทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพียงสถานเดียว เมื่อทราบข่าวว่าบัดนี้เจ้าชายเสด็จออกบรรพชาแล้ว จึงไปชวนบุตรของพราหมณ์โหราจารย์อื่นๆ ได้เป็น ๕ คน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ออกบวชเป็น ปัญจวัคคีย์ ติดตามมาอุปัฏฐากบำรุงพระโพธิสัตว์ถึงอุรุเวลาประเทศ หวังว่าเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วพวกตนจะได้ตรัสรู้บ้าง
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างยวดยิ่ง ทรงเริ่มจากขบฟันด้วยฟัน อัดเพดานด้วยลิ้น ข่มจิตด้วยจิต แม้จะทรงทำอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ไม่อาจค้นพบหนทางบรรลุธรรมได้ จึงเปลี่ยนเป็นกลั้นลมหายใจจนหูอื้อ ตาลาย บำเพ็ญฌานสมาบัติ แต่ก็ไม่พบทางบรรลุธรรม
พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอันยิ่งยวดขึ้นไปอีก ทรงอดข้าว อดน้ำ จนพระวรกายผอมโซมีแต่หนัง เส้นเอ็น และกระดูก ไม่มีเรี่ยวแรง ทุกขเวทนากำเริบจนสิ้นสติเกือบสิ้นพระชนม์หลายครั้ง เทวดาบางพวกต้องช่วยบำรุงนำเอาโอชะใส่เข้าไปทางขุมพระโลมาจึงดำรงพระชนม์อยู่ได้ ส่วนเทวดาบางพวกไปบอกข่าวพระเจ้าสุทโธทนะว่าพระโพธิสัตว์อดพระกระยาหารจะสิ้นพระชนม์แล้ว แต่พระเจ้าสุทโธทนะตรัสด้วยความมั่นพระทัยว่า โอรสของเราจะไม่สิ้นพระชนม์ตราบใดที่ยังไม่บรรลุพระโพธิญาณ
พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี ยังไม่สามารถค้นพบหนทางดับทุกข์ได้ ดำริว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยานี้ร่างกายทรมานเกินไป ทำให้จิตไม่ผ่องใส ปัญญามืดทึบ ไม่ใช่หนทางที่ถูก ทรงเกิดอุปมา ๓ อย่างว่า
อุปมาข้อหนึ่ง ไม้สดชุ่มด้วยยางทั้งแช่อยู่ในน้ำ ย่อมไม่อาจสีให้ติดไฟได้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์หากกายยังข้องอยู่กับวัตถุกาม อีกทั้งใจมีความพอใจ กระหาย อยากได้ อยากมี ในวัตถุกามทั้งหลาย แม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นจะบำเพ็ญเพียรจนเกิดทุกขเวทนาอันยิ่งยวดก็ดี หรือไม่เกิดทุกขเวทนาก็ดี ย่อมไม่อาจเกิดปัญญารู้ได้ ฉันนั้น
อุปมาข้อสอง ไม้วางทิ้งไว้บนบกแต่ยังสดชุ่มด้วยยาง ย่อมไม่อาจสีให้ติดไฟได้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์แม้กายหลีกออกจากวัตถุกามแล้ว แต่ใจยังละความพอใจ กระหาย อยากได้ อยากมี ในวัตถุกามทั้งหลายไม่ได้ แม้สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นจะบำเพ็ญเพียรจนเกิดทุกขเวทนาอันยิ่งยวดก็ดี หรือไม่เกิดทุกขเวทนาก็ดี ย่อมไม่อาจเกิดปัญญารู้ได้ ฉันนั้น
อุปมาข้อสาม ไม้แห้งสนิทปราศจากยางวางทิ้งไว้บนบกห่างไกลน้ำ ย่อมสีให้ติดไฟได้ฉันใด สมณะหรือพราหมณ์เมื่อมีกายหลีกออกจากวัตถุกามแล้ว และใจละความพอใจ กระหาย อยากได้ อยากมี ในวัตถุกามทั้งหลายได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นจะบำเพ็ญเพียรจนเกิดทุกขเวทนาอันยิ่งยวดก็ดี หรือไม่เกิดทุกขเวทนาก็ดี ย่อมเกิดปัญญารู้ได้ ฉันนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาว่า ก่อนบรรพชาพระองค์เคยเสวยสุขเวทนาอย่างยิ่งยวด บัดนี้บรรพชาแล้วก็บำเพ็ญทุกรกิริยาอันยิ่งยวด ไม่มีนักบวชใดเสวยสุขและทุกข์ถึงที่สุดเสมอพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังไม่ใกล้หนทางบรรลุธรรม ที่สุดสองอย่างนี้คงไม่ใช่หนทางของอริยมรรค ประกอบกับเมื่อเข้าพระทัยในอุปมาทั้ง ๓ ข้อแล้ว พระองค์จึงหันกลับมาปฏิบัติทางสายกลาง คือ ไม่ทรมานกายให้เหนื่อยหนัก และไม่บำเรอกายให้สุขสบายจนเกินควรดังเช่นคฤหัสถ์ ทรงเริ่มเสด็จออกบิณฑบาตนำอาหารมาบำรุงร่างกายจนพระวรกายผุดผ่อง มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการปรากฏ และทรงบำเพ็ญเพียรเนกขัมมะด้วยอานาปานสติสมาธิเป็นส่วนมาก
พวกปัญจวัคคีย์เห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา เข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ละความเพียรแล้วก็เสียใจ คิดว่าการรอคุณวิเศษในสำนักพระโพธิสัตว์นี้คงยากเหมือนรอสระผมด้วยน้ำค้าง จึงพากันปลีกตัวไปพำนักที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ห่างออกไป ๑๘ โยชน์

ข้าวมธุปายาส
สมัยนั้นมีหญิงคนหนึ่งชื่อ สุชาดา เป็นธิดาเศรษฐีนายบ้านแห่งตำบลอุรุเวลาเสนานิคม นางเคยขอพรจากต้นไทรว่าหากนางได้สามีที่มีสกุลเสมอกันและได้บุตรคนแรกเป็นชายนางจะพลีกรรมด้วยทรัพย์แสนหนึ่งทุกปี ต่อมานางได้สำเร็จตามพรนั้น คือได้ออกเรือนกับบุตรเศรษฐีแขวงเมืองพาราณสี และได้บุตรคนแรกเป็นชาย นางจึงกลับมาบ้านเดิม นำข้าวมธุปายาสมาทำพลีกรรมที่ต้นไทรเป็นประจำทุกปี
นางสุชาดาพลีกรรมเทวดาด้วยข้าวมธุปายาสเลิศรสที่หุงเอง นางเลี้ยงโคนมไว้ ๑,๐๐๐ ตัว ในป่าชะเอม นำน้ำนมจากโค ๑,๐๐๐ ตัว ไปเลี้ยงโคอื่น ๕๐๐ ตัว แล้วนำน้ำนมจากโค ๕๐๐ ตัว ไปเลี้ยงโคอีก ๒๕๐ ตัว ลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้น้ำนมโคที่ข้นหวานและบริสุทธิ์ จนที่สุดถึงโคนม ๔ ตัว น้ำนมจากโค ๔ ตัวนี้จึงเป็นน้ำนมบริสุทธิ์และโอชารสยิ่งนัก เป็นน้ำนมสำหรับหุงข้าวมธุปายาส
เช้าตรู่วันวิสาขบุรณมี นางสุชาดาลุกขึ้นหุงข้าวมธุปายาสแต่เช้าตรู่ มีเทวดาและพระพรหมมาช่วยกันเนืองแน่น เพราะรู้ว่าข้าวมธุปายาสนี้มีอานิสงส์ยิ่งเพราะเป็นอาหารมื้อสำคัญเพื่อถวายพระโพธิสัตว์ก่อนคืนตรัสรู้
นางสุชาดาไปรีดนมจากโค ๔ ตัว พอนำภาชนะเข้าไปใกล้เต้านมเท่านั้นธารน้ำนมก็ไหลลงภาชนะอย่างน่าอัศจรรย์เพราะเทวดาช่วย เมื่อนำน้ำนมโคมาหุงข้าวปายาส ท้าวสักกเทวราชก็มาช่วยติดไฟ ท้าวมหาพรหมยืนกั้นฉัตร เทวดาพวกหนึ่งช่วยกวนข้าวปายาสจนเดือดเคี่ยวเป็นฟองผุดขึ้นมา แต่ไม่มีน้ำนมสักหยดกระเด็นออกมาข้างนอก เทวดาอีกพวกหนึ่งนำรสโอชาจากทวีปทั้งสี่มาเติมใส่ในหม้อ

อธิษฐานลอยถาดทอง
นางสุชาดาเรียกนางปุณณทาสีมาบอกว่า เทวดามาช่วยปรุงข้าวมธุปายาสน่าเลื่อมใสน่าอัศจรรย์เหลือเกิน เจ้าจงรีบไปเตรียมเทวสถานใต้ต้นไทรให้เรียบร้อยเถิด
นางปุณณทาสีจึงรีบไปที่ต้นไทรตามคำสั่ง เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นไทร มีรัศมีสว่างน่าเลื่อมใสดุจเทวดา เมื่อเตรียมสถานที่เสร็จแล้วจึงกลับไปบอกนายหญิงสุชาดาว่า เทวดาที่ต้นไทรมาประทับรอพลีกรรมแล้ว
นางสุชาดารีบจัดข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองราคาแสนกหาปณะ เอาถาดทองอีกใบหนึ่งปิดไว้ นำผ้าขาวมาหุ้ม ประดับด้วยพวงมาลัยดอกไม้หอม ยกเทินศีรษะไปทำพิธีกรรมที่ต้นไทร ครั้นไปถึงแลเห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งอยู่ มีรัศมีสีทองงดงามอร่ามเกิดความปีติโสมนัสคิดว่าเป็นเทวดา
นางสุชาดาน้อมข้าวปายาสถวายพระโพธิสัตว์ ขณะนั้นบาตรบริขารของพระโพธิสัตว์ได้หายไป นางจึงถวายข้าวมธุปายาสพร้อมทั้งถาดทองโดยไม่เสียดายแล้วกลับไปด้วยความอิ่มเอมใจ
พระโพธิสัตว์ทรงปั้นข้าวมธุปายาสเหมือนจาวตาลได้ ๔๙ ปั้น แล้วเสวยที่ริมฝั่งน้ำ ครั้นเสวยแล้วทรงถือถาดทองอธิษฐานว่า
“ถ้าเราจะได้บรรลุโพธิญาณในวันนี้ ขอถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป แต่ถ้าไม่ได้ ขอให้ถาดนี้จงลอยไปตามกระแสน้ำตามปกติเถิด”
ตรัสแล้วก็ทรงลอยถาดลงไปในกระแสน้ำ ถาดนั้นก็เกิดอัศจรรย์ลอยทวนกระแสน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอก แล้วจมลงกลางน้ำวนตกลงไปถึงพิภพของพระยากาฬนาคราช กระทบซ้อนถาดของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ก่อนหน้า เสียงถาดทองกระทบกันปลุกให้พระยากาฬนาคราชลืมตาตื่นขึ้น กล่าวว่า
“เมื่อวาน มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วองค์หนึ่ง วันนี้ก็จะบังเกิดขึ้นอีกองค์หนึ่งแล้ว”

ประทับบนโพธิบัลลังค์
พระโพธิสัตว์พักผ่อนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถึงเวลาเย็นจึงเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางต้นโพธิ์ คนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ถวายหญ้าให้ ๘ กำมือ พระโพธิสัตว์ทรงรับหญ้านั้นมาปูลาดเป็นอาสนะใต้ต้นโพธิ์
พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังค์แล้วอธิษฐานว่า
แม้เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปจนหมดสิ้น
แม้ร่างจะเหลือเพียงหนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที
ถ้าเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณ เราจะไม่ลุกจากบัลลังก์นี้
อธิษฐานแล้วพระโพธิสัตว์ก็ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ ปฏิบัติตามแบบอย่างที่เคยสำเร็จปฐมฌานใต้ต้นหว้าเมื่อครั้งพระชนมายุ ๕ พรรษา
ครั้งนั้น เทวดาจากหมื่นจักรวาลได้มาห้อมล้อมพระโพธิสัตว์ยืนกล่าวคำสดุดี ท้าวสักกเทวราชยืนเป่าสังข์วิชยุตรสรรเสริญพระบารมี มหากาฬนาคราชยืนกล่าวอศิรวาท ท้าวมหาพรหมยืนกั้นเศวตฉัตรให้

พระยามารผจญ
ฝ่ายพระยามาราธิราชที่ตามขัดขวางพระโพธิสัตว์อยู่ เมื่อเห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังค์ จึงระดมกองทัพเทวดาฝ่ายมาร จัดเป็นทัพหน้ายาว ๑๒ โยชน์ ทัพซ้าย ๑๒ โยชน์ ทัพขวา ๑๒ โยชน์ ทัพหลังยาวจรดขอบเขาจักรวาล แต่ละทัพสูงขึ้นไปถึง ๙ โยชน์ ส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องปานประหนึ่งจะทำให้แผ่นดินทรุดลงได้
องค์พระยามาราธิราชเองประทับนั่งบนช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์ เนรมิตองค์ให้มีแขนหนึ่งพัน ถืออาวุธนานาชนิดไม่ซ้ำกัน นำขบวนพลมารเข้าจู่โจมพระโพธิสัตว์จากทุกทิศ
เทวดาในหมื่นจักรวาล และท้าวสักกเทวราชที่มาเฝ้า ครั้นเห็นขบวนพลมารใหญ่โตยกมาก็ตกใจ เกิดอาการขนพองสยองเกล้า ต่างพากันหนีไปหลบอยู่ขอบจักรวาล มหากาฬนาคราชก็รีบดำหนีไปหลบยังนาคพิภพลึก ๕๐๐ โยชน์ นอนยกมือปิดหน้าด้วยความตกใจ แม้ท้าวมหาพรหมก็ยังต้องหลีกกลับไปยังพรหมโลกทันที คงเหลือเพียงพระโพธิสัตว์องค์เดียวที่ประทับนั่งอยู่
พระโพธิสัตว์ครั้นถูกทอดทิ้งอยู่พระองค์เดียว มองไม่เห็นใครจะมาเป็นที่พึ่งได้ จึงทรงรำพึงว่า ในที่นี้เราไม่มีบิดามารดาหรือญาติพี่น้อง ที่นี้มีแต่เพียงเราผู้เดียว กับบารมี ๓๐ ทัศ ที่บำเพ็ญสร้างมาเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจะใช้บารมี ๓๐ ทัศ นี้แหละเป็นอาวุธ ดำริแล้วพระองค์ก็ทรงรำพึงถึงบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี ที่ได้บำเพ็ญเพียรสร้างสมไว้ มิได้หวาดหวั่นต่ออำนาจของพระยามาร
บรรดามารทั้งหลายแสดงฤทธิ์หลอกล่อข่มขู่ให้หวาดกลัว แต่พระโพธิสัตว์ทรงสงบนิ่งไม่หวั่นไหว พระยามารจึงบันดาลมหาลมที่รุนแรงเกรี้ยวกราด สามารถทำลายภูเขาสูงกึ่งโยชน์ให้เป็นจุณลงได้ในพริบตา หวังขับไล่พระโพธิสัตว์ให้ลุกจากโพธิบัลลังก์ แต่ลมนั้นไม่อาจแม้เพียงแค่ทำปลายจีวรพระโพธิสัตว์ให้สั่นไหวได้
พระยามารจึงบันดาลฝนห่าใหญ่ ตกกระทบกระแทกแผ่นดินจนแยกเป็นช่องลึก แต่ฝนนั้นก็ไม่อาจแม้เพียงแค่ทำให้จีวรเปียกชื้น
พระยามารจึงบันดาลห่าฝนหินก้อนใหญ่ๆ ตกกระทบยอดเขาจนคุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง แต่ฝนหินนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
พระยามารจึงบันดาลห่าฝนอาวุธ มีทั้งหอก ดาบ และลูกศร คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลงลอยมาทางอากาศ แต่ฝนอาวุธนั้นกลับกลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชาพระโพธิสัตว์
พระยามารจึงบันดาลห่าฝนเพลิงร้อนแรงปราศจากควัน แต่ฝนเพลิงนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชาลงแทบบาทมูล
พระยามารจึงบันดาลห่าฝนเถ้ารึงอันแดงร้อนแรงยิ่งนัก แต่ฝนเถ้ารึงนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
พระยามารจึงบันดาลห่าฝนทรายกรด คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ แต่ฝนทรายนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
พระยามารจึงบันดาลห่าฝนเปือกตม คุเป็นควันไฟลุกโพลง แต่ห่าฝนเปือกตมนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
พระยามารจึงบันดาลความมืด หวังให้พระโพธิสัตว์เกรงกลัวแล้วหนีไป แต่ความมืดนั้นเมื่อเข้ามาใกล้ กลับอันตรธานไปเหมือนเข้าใกล้แสงอาทิตย์
พระยามารไม่สามารถทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วย ลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนอาวุธ ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนความมืด ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก สั่งให้ไพร่พลเข้าไปจับพระโพธิสัตว์ไว้ให้ได้ ส่วนตัวพระยามารเองก็ไสช้างคิริเมขล์เข้าไปใกล้ กวัดแกว่งจักราวุธตวาดว่า
“สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้เป็นของเรา”
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
“ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ อย่างเรา บัลลังก์นี้ไม่ได้เกิดแก่ท่าน บัลลังก์นี้เกิดแก่เราเท่านั้น”
พระยามารโกรธ ขว้างจักราวุธเข้าใส่พระโพธิสัตว์ แต่จักราวุธได้กลายเป็นเพดานดอกไม้กั้นอยู่เบื้องบน บรรดาพลมารขว้างอาวุธน้อยใหญ่ตามเข้าไป อาวุธเหล่านั้นก็กลายเป็นบุปผชาติตกลงยังพื้นดินทั้งสิ้น
พระโพธิสัตว์ตรัสต่อไปว่า
“บัลลังก์นี้เป็นที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาพร้อมแล้ว เราบำเพ็ญทานบารมีมา โพธิบัลลังก์นี้จึงบังเกิดแก่เรา หากท่านว่าบัลลังก์นี้เป็นของท่าน ใครเล่าเป็นสักขีพยานให้”
พระยามาราธิราชเหยียดมือไปตรงหน้าพลมารของตน บอกว่า
“คนเหล่านี้นี่ไงเป็นสักขีพยาน”
กล่าวจบพลมารก็โห่ร้องขึ้นว่า
“เราเป็นพยาน!! เราเป็นพยาน !!”
พระยามารกล่าวต่อไปว่า
“ท่านกล่าวว่าบัลลังก์เกิดเพราะบารมีของท่าน ใครเล่าเป็นพยานให้”
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
“ดูกร พระยามาร พลมารเหล่านี้เป็นพวกท่านย่อมเป็นพยานให้แก่ท่าน ไม่เป็นพยานให้เรา ทานบารมีที่เราทำมากมายในอัตภาพอื่นจงยกไว้ แต่สัตตสตกมหาทานที่เราให้ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร มหาปฐพีอันหนาทึบนี้แม้ไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานให้”
ขณะนั้น พระโพธิสัตว์ทรงยกพระหัตถ์ขวาออกจากกลีบจีวร ทรงเหยียดพระหัตถ์ชี้ลงตรงหน้ามหาปฐพี พร้อมกับตรัสว่า
“ดูกร พระธรณีเจ้า
ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสตกมหาทาน ท่านเป็นสักขีพยานหรือไม่ได้เป็น
ดูกร พระธรณีเจ้า เรานี้อุตสาหะบำเพ็ญบารมีมานับอนันตชาติ เราทำกุศลสิ่งใดก็ได้หลั่งไหลสิโนทกลงบนปฐพี แม่พระธรณี ท่านเป็นสักขีพยานให้เรา หรือไม่ได้เป็น”
ลำดับนั้น มหาปฐพีที่แม้ไม่มีชีวิตก็สั่นไหว ส่งเสียงดังเลื่อนลั่นราวกับมีร้อยเสียงพันเสียงประกาศว่า
“ข้าแต่พระมหาบุรุษ ทานที่ท่านให้แล้วเป็นมหาทาน เป็นทานอันอุดม เราเป็นพยาน!! เราเป็นพยาน!!”
อาการเลื่อนลั่นสั่นไหวอย่างรุนแรงของมหาปฐพี ทำให้ช้างคีรีเมขล์ยืนอยู่ไม่ได้ถึงกับทรุดเข่าลง ส่วนพลมารทั้งหลายต่างตกใจขนพองสยองเกล้า กลัวจนตัวสั่น ทิ้งอาวุธและเสื้อผ้าอาภรณ์เตลิดหนีไปในทิศานุทิศจนหมดสิ้น
ฝ่ายพระยามาราธิราช ครั้นเหลือพระองค์เองเพียงผู้เดียว ก็ครั่นคร้ามในพระเดชานุภาพ สำนึกว่าพระโพธิสัตว์นี้เป็นผู้สร้างสมบารมีมามากมายสุดประมาณ จึงยอมยอบกายประนมกรสรรเสริญพุทธบารมีว่า
“บุคคลใดๆ ในโลกจนถึงพรหมโลก ที่จะมีพระบารมีเสมอด้วยพระองค์นั้นไม่มี พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคราวนี้อย่างแน่แท้”
กล่าวแล้ว พระยามารก็กลับคืนสู่วิมานของตน กาลนั้น หมู่เทพเห็นพลมารพ่ายแพ้ย่อยยับกลับไปแล้ว ก็ประกาศพระเกียรติคุณไปทั่วทั้งจักรวาล ถือของหอมมาบูชาพระโพธิสัตว์ ณ โพธิบัลลังก์

ตรัสรู้
พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนโพธิบัลลังค์ บำเพ็ญสมาธิภาวนาโดยไม่กดข่มบังคับจิตเหมือนเมื่อคราวบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ทรงใช้ปัญญาพิจารณาโดยมีสมาธิเป็นบาทฐาน
ปฐมยาม ทรงสำเร็จบุพเพนิวาสญาณ สามารถระลึกชาติได้อนันตชาติ
มัชฌิมยาม ทรงสำเร็จทิพพจักขุญาณอันบริสุทธิ์ ทรงเห็นเหตุ และกำเนิดของสรรพสัตว์ได้อย่างไม่ขัดข้อง
และในปัจฉิมยาม ทรงเกิดญาณทัศนะในอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาทว่าความทุกข์ทางโลก คือ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ล้วนมีจุดเริ่มมาจากอวิชชา มีอวิชชาจึงเกิดสังขาร มีสังขารจึงเกิดวิญญาณ มีวิญญาณจึงเกิดนามรูป มีนามรูปจึงเกิดสฬายตนะ มีสฬายตนะจึงเกิดผัสสะ มีผัสสะจึงเกิดเวทนา มีเวทนาจึงเกิดตัณหา มีตัณหาจึงเกิดอุปาทาน มีอุปาทานจึงเกิดภพ มีภพจึงเกิดชาติ และมีชาติทำให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
พระโพธิสัตว์ทรงดับอวิชชาอันเป็นต้นสายของปฏิจจสมุปบาทลงเสียได้ ทรงหลุดพ้นแล้วจากอาสวกิเลสทั้งหลาย ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยามใกล้รุ่ง ขณะนั้นหมื่นโลกธาตุก็สั่นไหวถึง ๑๒ ครั้ง บุรพนิมิต ๓๒ ประการก็ปรากฏ ยามนั้น โลกันตนรกที่มืดมิดอยู่อนันตกาลก็พลันสว่างชั่วสายฟ้าแลบ ธงชัยถูกประดับสว่างไสวในหมื่นโลกธาตุ ธงชัยที่ขอบจักรวาลตะวันตกส่งรัศมีสว่างไสวถึงขอบจักรวาลตะวันออก ธงชัยที่ขอบจักรวาลตะวันออกส่งรัศมีสว่างไสวถึงขอบจักรวาลตะวันตก ธงชัยบนพื้นปฐพีส่งรัศมีถึงพรหมโลก และธงชัยในพรหมโลกส่งรัศมีถึงพื้นปฐพีดุจเดียวกัน

หมายเหตุต่อท้าย

เรื่องพระแม่ธรณีบีบมวยผม
ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎกภาษาไทยไม่ได้พูดถึงพระแม่ธรณีที่ชื่อสุนทรีนั่นเลย เรื่องพระแม่ธรณีที่มาบีบมวยผมนั้นพบในคัมภีร์ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมปรมานุชิตชิโนรสเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ามีที่มาจากไหน และหากคิดด้วยเหตุผล แม้จะมีพระแม่ธรณีจริงก็คงไม่กล้าขึ้นมาต่อกรกับพระยามารแน่ ก็ขนาดท้าวสักกเทวราช พระยากาฬนาคราช รวมถึงพระพรหม ยังเผ่นหนีกระเจิง แล้วพระแม่ธรณีจะกล้าอยู่หริอ ??

เรื่องเทวดาดีดพิณ ๓ สายก่อนตรัสรู้
ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎกภาษาไทย ไม่มีเรื่องเทวดามาดีดพิณ ๓ สาย เพื่อเป็นอุบายให้ปฏิบัติทางสายกลาง ขณะนั้นหนทางการตรัสรู้ยังไม่ถูกค้นพบ คงไม่มีเทวดาองค์ไหนรู้ดีขนาดมาให้อุบายพระโพธิสัตว์ได้แน่ แต่เรื่องพิณ ๓ สายนี้มีกล่าวถึงจริง แต่เป็นการกล่าวถึงภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นมาเพื่อเป็นอุบายการปฏิบัติให้แก่พระโสณโกฬิวิสะผู้ซึ่งเดินจงกรมจนเท้าแตกเลือดไหลแดงฉาน พระองค์จึงอุปมากับการดีดพิณซึ่งเป็นวิชาที่พระโสณโกฬิวิสะชำนาญ

เอกสารอ้างอิงในตอนนี้ (และตอนก่อน) มาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาหลายตอนหน่อย คือ
- อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ อวิทูเรนิทาน และสันติเกนิทาน
- อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ โคตมพุทธวงศ์
- ปัพพชาสูตร
- โพธิราชกุมารสูตร
- ปาสราสิสูตร
- สคารวสูตร
- อรรถกถาอังคุตรนิกาย เอตตทัคคบาลี ประวัตินางสุชาดา



งงอยู่เหมือนกันว่า tag
ทำไมแสดงผลเพี้ยนใน Chrome ทำให้ย่อหน้าผิดไปหมดเลย


Create Date : 19 มีนาคม 2554
Last Update : 19 มีนาคม 2554 19:32:10 น. 9 comments
Counter : 1424 Pageviews.

 


โดย: wbj วันที่: 19 มีนาคม 2554 เวลา:20:38:37 น.  

 

อนุสาวรีย์วีรชน ปู่ดอก-ปู่ทองแก้ว วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
สร้างกริตเตอร์

แวะมาทักทายยามค่ำๆ วันนี้อยู่พาหุรัดทั้งวัน เพิ่งกลับมาได้สักครู่ใหญ่ กรุงเทพรถติดมากเพราะมีชุมนุมเสื้อแดงและเสื้อเหลือง วันนี้ได้อุปกรณ์ครบแล้วพรุ่งนี้คงยุ่งมากงานงวดเข้ามาแล้ว วันที่๒๓-๒๕ แสดงเวทีกลางและต่อจากนั้นก็แสดงแสงสีเสียงต่อเลย เสร็จจากงานนี้คิวจ่อเลยค่ะ วันที่๑๐เมษา ประกวดรำกลองยาว วันที่๑๓เมษาแสดงพิธีเปิดงานสงกรานต์เมืองอินทร์ ที่อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ว่ากันไป ชีวิตต้องดำเนินต่อไป คุณอังคารสบายดีนะคะ


โดย: เกศสุริยง วันที่: 19 มีนาคม 2554 เวลา:20:58:49 น.  

 
ขอที่อยู่ด้วยครับมีหนังสือธรรมเรื่องการทำบุญที่ถูกต้องแจกให้ฟรีจากวัดกลางเทพนิมิตร จ.เพชรบุรี


โดย: Moto'me IP: 27.55.184.84, 64.255.164.96 วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:5:48:49 น.  

 
โลกยุคนี้ สำนักปู่สวรรค์ เบื้องบน ตั้งขึ้นมาเป็นช่วยโลกให้รอดจากภัยพิบัติโลก ร่างกายต้องมีชีวิตก่อน จึงจะปฏิบัติธรรมเพื่อใช้กรรมได้ มิฉนั้นกรรมยังไม่ได้ใช้แต่ตายก่อน แล้วเมื่อไรจะหลุดพ้นล่ะ


โดย: ยุคนี้ IP: 58.9.61.138 วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:7:47:04 น.  

 


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 20 มีนาคม 2554 เวลา:14:13:57 น.  

 
คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

สวัสดียามเช้าค่ะคุณอังคาร


โดย: เกศสุริยง วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:8:12:16 น.  

 


โดย: phunsud วันที่: 21 มีนาคม 2554 เวลา:16:31:51 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณอังคาร

รู้ได้ยังไงค่ะว่ากาญขับรถเร็ว
กาญโดนถ่ายรูปสองครั้งต่อกันเลยค่ะ
เพิ่งได้ใบสั่งครั้งแรกวันนี้ต้องจ่าย 15 ยูโร
ครั้งที่สองใบสั่งยังไม่มาค่ะ
แต่ก็รู้ๆค่ะต้องจ่ายอีกแน่ๆ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 22 มีนาคม 2554 เวลา:20:37:49 น.  

 
เข้ามาอ่านอย่างละเอียดครับ เคยอ่านมาบ้างเหมือนกัน
แต่จำมั่งไม่จำมั่ง แต่คราวนี้จำได้แน่แล้วครับ แม้ว่าจะ
ไม่ทุกตัวอักษร แต่จำเรื่องได้เกือบหมด.


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 23 มีนาคม 2554 เวลา:11:43:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.