ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
18 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 

๓. ปาฏิหาริย์พิชิตมาร (๑)

เทวทูตทั้ง ๔

ชีวิตในวัยเยาว์ของโอรสธิดาศากยวงศ์นั้น ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ได้รับแต่ความสุขสบายราวเทพบุตรเทพธิดา จึงไม่รู้ว่ามนุษย์ที่เกิดมาทุกคนล้วนต้องพบเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจ ต้องเหนื่อยยากกับการทำกิจการงาน เพียงเปิดถาดเปิดหม้อก็พบขนมเนยข้าวสวยข้าวต้มทุกครั้ง จึงเข้าใจว่าขนมเกิดเองในถาดทอง ข้าวสุกเกิดเองในหม้อ ข้าวเปลือกเกิดเองในยุ้งฉาง ไม่รู้เลยว่าต้องมีคนไถนา ปลูกข้าว เกี่ยวข้าว ซ้อมข้าว และหุงข้าว ไม่รู้เลยว่ามีคนมากมายเหนื่อยยากและเป็นทุกข์
หลังจากอภิเษกสมรสแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงเกษมสำราญอยู่ในปราสาทสามฤดูกับพระนางพิมพาเทวี แวดล้อมด้วยสนมนางในและข้าทาสบริวาร พระองค์จึงยิ่งห่างไกลจากความทุกข์ยากของชาวโลกมากยิ่งขึ้น แม้แต่ชราและมรณภัยที่นำโศกาอาดูรมาสู่มนุษย์พระองค์ก็ไม่เคยเห็น
กาลเวลาล่วงไปจนมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ได้เสด็จประพาสอุทยานตามลำพังกับนายสารถี เทวดาเห็นพระโพธิสัตว์เสด็จออกนอกปราสาท คิดว่าได้เวลาแล้วที่จะแสดงเทวทูต ๔ ให้ทอดพระเนตรเพื่อเป็นบุรพนิมิตให้พระโพธิสัตว์เบื่อหน่ายการครองเรือน จึงจำแลงเป็นเทวทูตที่ ๑ เป็นคนแก่หง่อม ฟันหัก ผมหงอก หลังโกง หูตาพร่ามัว ถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ พระโพธิสัตว์ไม่เคยเห็นคนแก่ตรัสถามนายสารถีว่าชายคนนั้นเขาเป็นอะไร นายสารถีกราบทูลว่านี่เป็นอาการของคนแก่ ทุกคนในโลกนี้เมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายสังขารจะร่วงโรยไป มีผิวหนังหย่อนยาน เนื้อตัวตกกระ เรี่ยวแรงไม่มี เดินงกๆ เงิ่นๆ เป็นคนแก่เหมือนชายคนนี้ทั้งนั้น พระโพธิสัตว์สดับแล้วทรงรู้สึกสลดพระทัยเสด็จกลับปราสาท
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จประพาสอุทยานอีก เทวดาจึงจำแลงเป็นเทวทูตที่ ๒ เป็นคนเจ็บนอนซมอยู่ข้างทาง เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสถามนายสารถีกราบทูลว่านี่คือคนเจ็บ ทุกคนต้องเคยเจ็บไข้ไม่สบายได้รับความทุกข์ทรมานมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป พระโพธิสัตว์สดับแล้วมีพระหฤทัยสลดสังเวชเสด็จกลับปราสาท
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จประพาสอุทยานเหมือนวันก่อน เทวดาจึงจำแลงเป็นเทวทูตที่ ๓ เป็นคนตาย พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นแล้วสลดพระทัยมากยิ่งขึ้นกว่าวันก่อน เกิดความเบื่อหน่ายในความไร้แก่นสารไม่แน่นอนของชีวิต เสด็จกลับปราสาท
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จประพาสอุทยาน เทวดาจำแลงเป็นเทวทูตที่ ๔ เป็นนักบวช นุ่งห่มเรียบร้อย กิริยาสำรวม นายสารถีไม่รู้จักนักบวช แต่เทวดาใช้อานุภาพบันดาลให้นายสารถีกราบทูลอธิบายว่า นี่คือนักบวช เป็นมนุษย์ผู้สละชีวิตทางโลกแล้วเพียรปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากภพชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ค้นหาหนหางแห่งการพ้นทุกข์
พระโพธิสัตว์ทรงเที่ยวไปในอุทยานตลอดวัน สรงสนานในสระโบกขรณี แล้วประทับพักผ่อนบนแผ่นศิลา รำลึกถึงเทวทูตทั้ง ๔ พิจารณาว่าเพราะสรรพสัตว์ทุกชีวิตมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงหนีไม่พ้นโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ทั้งสิ้น แต่สัตว์ทั้งหลายก็ยังหลงใหลกันอยู่ ยังอยากเกิดอยากตายกันอยู่ ยังอยากได้อยากมีกันอยู่ ทำไมหนอเราจึงหลงอยู่ท่ามกลางความเศร้าหมองเหล่านี้ เราควรแสวงหานิพพาน ตัดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศกเศร้า แสวงหาธรรมเกษมอันพ้นจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าเถิด
พระโพธิสัตว์พิจารณาต่อไปว่าฆราวาสเป็นเพศคับแคบ ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์เพื่อบรรลุธรรมอันเกษมนั้นได้ ทรงพอพระทัยในเพศนักบวช ปรารถนาจะเสด็จออกบรรพชาประพฤติพรหมจรรย์ พระองค์ทรงใคร่ครวญอยู่อย่างนี้จนพระอาทิตย์อัสดง

ราหุลคือบ่วง
วันเดียวกันนั้น พระนางพิมพาก็ให้ประสูติกาลพระโอรส พระเจ้าสุทโธทนะทรงส่งราชบุรุษไปแจ้งข่าว เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงสดับก็ตรัสอุทานว่า ราหุลเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว แล้วเสด็จกลับปราสาท พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบคำอุทานของพระโพธิสัตว์ ภายหลังพระองค์จึงตั้งพระนามให้พระราชนัดดาว่า ราหุล
คืนนั้น พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ปราสาท เสด็จบรรทมท่ามกลางการขับฟ้อนบรรเลงของเหล่านางในที่มีรูปโฉมเลอเลิศดุจดังเทพกัญญา เพียงครู่เดียวพระองค์ก็เข้าสู่นิทรา เหล่าสนมกัญญาเหล่านั้นจึงพากันวางเครื่องดนตรีและเครื่องฟ้อนแล้วนอนหลับอยู่รายเรียง
พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทมขึ้นกลางดึก ทอดพระเนตรเห็นเหล่านางในนอนหลับอยู่ท่ามกลางเครื่องดนตรีที่วางระเกะระกะ สตรีบางนางนอนน้ำลายไหล บางนางนอนกัดฟัน บางนางนอนกรน บางนางละเมอ บางนางอ้าปาก บางนางนอนผ้านุ่งหลุดลุ่ยเปิดเผยอวัยวะสตรีเพศที่ควรซ่อนเร้น นางในที่เคยเห็นว่างามราวเทพกัญญาบัดนี้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนซากศพ ปราสาทราชวังที่เคยให้ความสุขราววิมานสวรรค์บัดนี้วังเวงคล้ายป่าช้าผีดิบ
พระโพธิสัตว์มีพระทัยคลายความหลงและกำหนัดในกามคุณทั้งหลาย พระหฤทัยมีแต่ความเบื่อหน่าย ทรงตัดสินพระทัยว่าจะต้องออกบรรพชาในคืนวันนี้

ขบวนเสด็จบรรพชา
พระโพธิสัตว์รับสั่งให้นายฉันนะไปเตรียมม้า พระองค์จะเสด็จออกบรรพชา นายฉันนะจึงรีบไปเตรียมม้ากัณฐกะ ผูกพระที่นั่งกระชับแน่นกว่าทุกวัน พระยาม้ากัณฐกะรู้ว่าวันนี้พระโพธิสัตว์คงจะเสด็จออกบรรพชาแน่ ดีใจส่งเสียงร้องดังลั่นนคร แต่เทวดาช่วยปิดกั้นเสียงไว้ไม่ให้ใครได้ยิน
พระโพธิสัตว์เสด็จไปทอดพระเนตรดูพระนางพิมพา ดำริว่าพระองค์จะไม่รักพระเทวีก็หาไม่ แต่พระองค์ต้องฝืนตัดพระทัยเพื่อพระโพธิญาณ เมื่อทอดพระเนตรดูพระโอรสองค์น้อย เห็นพระนางพิมพาบรรทมกอดพระราหุลอยู่ ดำริว่าถ้าเราจับมือพระเทวีออกเพื่อสัมผัสโอรสพระเทวีก็จะตื่นบรรทม เราจะไม่ได้ไปบวช ถ้าอย่างนั้นรอให้เราบรรลุโพธิญาณก่อนจึงค่อยกลับมา ดำริแล้วจึงตัดพระทัยเสด็จออกไป
พระโพธิสัตว์ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะเป็นผู้ติดตาม เสด็จออกมาถึงประตูใหญ่ตอนเที่ยงคืน ประตูนี้ใหญ่และหนักมาก แต่ละบานต้องใช้บุรุษพันคนจึงจะเปิดได้ เพราะพระเจ้าสุทโธทนะทรงป้องกันไว้ไม่ประสงค์จะให้พระโอรสออกบวช แต่เทวดารักษาประตูได้ช่วยเปิดประตูให้เสด็จออกไปได้โดยสะดวก
ขณะนั้นเอง พระยามาราธิราชไม่ต้องการให้พระโพธิสัตว์ออกบรรพชา ได้มาปรากฏกายในอากาศทูลว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านอย่าออกไปเลย นับแต่นี้ไป ๗ วัน จักรรัตนะก็จะปรากฏแก่ท่านแล้ว ท่านจะได้ครอบครองจักรพรรดิสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เหนือทวีปใหญ่ทั้งสี่และทวีปน้อยสองพัน ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านจงเสด็จกลับเถิด
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาร แม้จักรรัตนะจักปรากฏแก่เรา แต่เราหาได้ปรารถนาจักรพรรดิสมบัติเหล่านั้นไม่ เราจะเป็นพระพุทธเจ้า ทำให้หมื่นโลกธาตุบันลือลั่น แล้วสอนสรรพสัตว์
มารกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจักติดตามท่านไปไม่ลดละประดุจเงาเพื่อหาโอกาสขัดขวางท่านไม่ให้สมปรารถนา
พระโพธิสัตว์เหลียวกลับมาแลดูพระนครเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเสด็จต่อไปไม่อาลัย ทรงละทิ้งจักรพรรดิสมบัติในเงื้อมพระหัตถ์ไว้เบื้องหลังประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระนครในคืนวันเพ็ญเดือน ๘ เมื่อมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา
กาลที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาในคืนนั้น เทวดาจากหมื่นจักรวาลได้มาร่วมขบวนเสด็จอย่างเนืองแน่น มีเทวดาชูคบเพลิงนำเสด็จอยู่ข้างหน้าหกล้านดวง ข้างหลังหกล้านดวง ด้านขวาหกล้านดวง ด้านซ้ายหกล้านดวง เทวดาอีกพวกหนึ่งชูคบเพลิงนับจำนวนไม่ได้อยู่เต็มขอบเขาจักรวาล เทวดา นาค และครุฑ อีกพวกหนึ่งเดินบูชาด้วยเครื่องทิพย์ของหอม อีกพวกหนึ่งโปรยดอกไม้ทิพย์บูชาจนทับท่วมสูงถึงขาอ่อนของพระยาม้ากัณฐกะ
กาลครั้งนั้น ท้องฟ้าถูกประดับประดาด้วยดอกปาริฉัตต์และดอกมณฑารพสวรรค์ ต่อเนื่องกันไปไม่มีเว้นเหมือนมีเมฆฝนอันหนาทึบ ทิพย์สังคีตและดนตรีหกหมื่นแปดพันชนิดส่งเสียงบรรเลงเสนาะเพราะพริ้งไปทั้งจักรวาล ขบวนเสด็จออกบรรพชาของพระโพธิสัตว์ยิ่งใหญ่โอฬารยิ่งนัก

อธิษฐานเพศบรรพชิต
พระโพธิสัตว์เสด็จผ่าน ๓ อาณาจักร ระยะทาง ๓๐ โยชน์ ภายในราตรีเดียว รุ่งเช้าก็ลุถึงแม่น้ำอโนมานที เสด็จข้ามไปยังฝั่งอนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ ประทับยืนบนผืนทรายที่ริมฝั่งนที ทรงเปลี่ยนชุดทรงกษัตริย์เป็นชุดผ้ากาสิกพัสตร์อธิษฐานองค์เป็นบรรพชิต
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาว่าเกศานี้ไม่เหมาะกับเพศบรรพชิตเลย จึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลีออก เหลือเส้นพระเกศายาวประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนบติดพระเศียร พระมัสสุก็ตัดพอเหมาะกับพระเกศา ทั้งพระเกศาและพระมัสสุนี้ก็ยาวประมาณเท่านี้ตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ไม่มีกิจต้องปลงพระเกศาและพระมัสสุอีกเลย
พระโพธิสัตว์จับพระเกศาและพระเมาลีโยนขึ้นไปในอากาศ อธิษฐานว่า ถ้าเราจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วไซร้ ขอให้พระเมาลีนี้จงลอยอยู่ในอากาศอย่าได้ตกลงมา แต่ถ้าไม่ได้เป็นก็จงตกลง ม้วนพระเมาลีนั้นก็ลอยอยู่ในอากาศสูงโยชน์หนึ่งไม่ตกลงมา เมื่อนั้นท้าวสักกเทวราชได้นำผอบแก้วมารองรับไว้ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

อัฐบริขาร
พระโพธิสัตว์ดำริต่อไปว่า ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านี้มีราคา ไม่สมควรกับสมณะผู้แสวงหาหนทางดับทุกข์ บัดนั้น ฆฏิการมหาพรหมอนาคามี ผู้เป็นสหายเก่าครั้งพุทธกาลพระกัสสปพุทธเจ้า ทราบดำริของพระโพธิสัตว์ จึงได้นำอัฐบริขารจากทุสเจดีย์ในพรหมโลกมามอบให้
ตามประเพณีการอุบัติของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อจักรวาลก่อเกิดขึ้นใหม่ในช่วงต้นกัป ณ ศูนย์กลางแผ่นดินที่จะเป็นโพธิบัลลังก์จะมีกอบัวผุดขึ้นมากอหนึ่ง กอบัวนั้นมีดอก ภายในดอกบัวมีอัฐบริขารดอกละ ๑ ชุด
ถ้ากัปนั้นจะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ กอบัวก็จะมีดอก ๑ ดอก ถ้าจะมีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ กอบัวจะมี ๒ ดอก ถ้าจะมีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ กอบัวจะมี ๓ ดอก ถ้าจะมีพระพุทธเจ้า ๔ องค์ กอบัวจะมี ๔ ดอก และถ้าจะมีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ กอบัวจะมี ๕ ดอก แต่ถ้ากัปนั้นไม่มีพระพุทธเจ้าเลย กอบัวนั้นก็จะไม่มีดอกเลย
เมื่อมีกอบัวผุดขึ้น พระพรหมจากพรหมโลกจะมาตรวจดู และนำอัฐบริขารในดอกบัวไปประดิษฐานไว้ที่ ทุสเจดีย์ ในสุทธาวาสพรหมโลก รอเวลาที่จะนำมาถวายพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคราวที่พระองค์เสด็จออกบรรพชา
ฆฏิการพรหมนำชุดสมณะมาให้พระโพธิสัตว์ทรงเปลี่ยน แล้วรับชุดผ้ากาสิกพัสตร์เนื้อดีกลับไปประดิษฐานไว้ในทุสเจดีย์ในพรหมโลก เมื่อเปลี่ยนชุดทรงแล้วพระโพธิสัตว์ก็รับสั่งให้นายฉันนะนำชุดทรงกษัตริย์กลับกรุงกบิลพัสดุ์ และกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะให้ทรงทราบด้วยว่าพระองค์เสด็จออกบรรพชาแล้ว รับสั่งแล้วก็ ผินพระพักตร์เสด็จดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่า
ฝ่ายพระยาม้ากัณฐกะมองดูพระโพธิสัตว์เสด็จไป ด้วยความรักและความอาลัยสุดจะกลั้นได้ถึงกับล้มลงสิ้นชีวิต ณ ที่นั้น ไปบังเกิดเป็นกัณฐกะเทพบุตรอยู่ในเทวโลก
พระนางโคตมี และพระนางพิมพา เมื่อทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์เสด็จออกบรรพชาแล้วก็โศกาอาลัยมีน้ำตานองหน้า ส่วนพระเจ้าสุทโธทนะผู้ทรงพยายามรั้งพระโอรสไว้ไม่ให้ออกบวชมาตั้งแต่ต้น บัดนี้ก็ทรงเริ่มน้อมพระทัยเชื่อว่าพระโอรสของพระองค์คงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าสมดังคำทำนาย

สำนักดาบส
หลังจากบรรพชาแล้ว พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงบริเวณนั้น ๗ วัน จากนั้นจึงเสด็จดำเนินต่อไปอีก ๓๐ โยชน์ เข้าประตูนครราชคฤห์ทางทิศตะวันออก เสด็จเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเรือนผ่านท้องพระลานหลวง ขณะนั้นพระเจ้าพิมพิสารทอดพระเนตรเห็นจากพระแกล ดำริว่านักบวชผู้นี้มีกิริยาสำรวมน่าเลื่อมใส และมีลักษณะว่าเป็นนักบวชจากสกุลสูง พระองค์จึงรับสั่งให้ราชบุรุษตามไปดูว่านักบวชนี้เป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ หากเป็นอมนุษย์ออกจากนครแล้วจะหายไป เป็นนาคจะดำดินไป เป็นครุฑจะบินไป เป็นเทวดาจะเหาะไป แต่ถ้าเป็นมนุษย์จะหยุดพักบริโภคอาหารตามปกติ
พระโพธิสัตว์บิณฑบาตแล้วเสด็จออกนอกนครราชคฤห์ ขึ้นไปบนภูเขาปัณฑวะเพื่อเสวยอาหาร แต่เมื่อพระองค์ได้ลิ้มรสอาหารของสามัญชนเป็นมื้อแรกก็เกิดอาการคลื่นเหียนจะอาเจียน แต่ทรงพิจารณาว่าพระองค์ออกบวชแล้ว ยังชีพด้วยอาหารของผู้อื่น ต้องเป็นผู้อยู่ง่าย อดทน และมีความสำรวมงดงาม พิจารณาแล้วจึงตัดความรังเกียจและเสวยอาหารเหล่านั้น
ราชบุรุษตามไปดูแล้วกลับไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสารว่า นักบวชนั้นเป็นมนุษย์ พระเจ้าพิมพิสารจึงรีบเสด็จออกไปหาปราศรัยกันและตรัสถามถึงสกุล เมื่อทรงทราบว่าพระโพธิสัตว์เป็นชาติเชื้อกษัตริย์เหมือนกันจึงจะแบ่งราชสมบัติให้ แต่พระโพธิสัตว์ไม่รับ ตรัสว่าพระองค์เห็นโทษของกามจึงทิ้งราชสมบัติออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระเจ้าพิมพิสารเห็นน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยวของโพธิสัตว์ ทรงเชื่อมั่นว่าพระองค์จะตรัสรู้ธรรมได้แน่ จึงตรัสว่าเมื่อใดที่พระองค์ตรัสรู้แล้วขอเชิญเสด็จมาแสดงธรรมที่กรุงราชคฤห์ด้วย
พระโพธิสัตว์เสด็จดำเนินต่อไป ไปสู่สำนักของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของแคว้นมคธ ๒ ท่าน ทรงเล่าเรียนจนสำเร็จฌาน ๗ ในสำนักอาฬารดาบสกาลามโคตร และสำเร็จฌาน ๘ ในสำนักอุทกดาบสรามบุตร โดยใช้เวลาไม่นานนัก อาจารย์ทั้งสองชวนให้พระโพธิสัตว์อยู่เป็นอาจารย์สอนศิษย์ด้วยกัน แต่พระโพธิสัตว์ไม่รับ ตั้งปณิธานว่าจะต้องตรัสรู้ให้ได้ เมื่อหมดความรู้อาจารย์แล้วพระองค์จึงเสด็จต่อไปยังอุรุเวลาประเทศ ทรงค้นหาหนทางเพื่อบรรลุพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง



ยาวเกินเหตุ ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ
มีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่องจากพุทธประวัติตอนนี้
เรื่องแรก คือ เทวทูต ๔ บางครั้งเมื่ออ่านพุทธประวัติจากที่อื่นอาจจะพบว่าพระโพธิสัตว์พบเทวทูตทั้ง ๔ ในวันเดียวกันเลย แต่ที่อ่านพบในอรรถกถาเป็นการพบเห็นคนละวันกัน ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย คือ พระพุทธเจ้าบางองค์ที่มีพระชนมายุยืนนานมาก บางองค์เสด็จประพาสอุทยานแล้วเว้นช่วง ๓ เดือนบ้าง เว้นช่วง ๑๐๐ ปี บ้าง พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจึงเห็นเทวทูต ๔ โดยเว้น ๓ เดือนหรือเว้น ๑๐๐ ปี ไปด้วย ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเสด็จประพาสอุทยานทุกวัน จึงทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ ภายใน ๔ วันเท่านั้น

เรื่องที่พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นสนมนางในนอนเหมือนซากศพ อรรถกถาจารย์บางท่านก็ว่าเป็นอำนาจเทวดาที่บันดาลให้เห็นแบบนั้น เพราะสนมนางในเหล่านี้ได้รับการฝึกอบรมมาดีแล้วแม้จะนอนหลับแต่ก็คงมีความสำรวมบ้าง คงไม่หลุดมากแบบนี้ ส่วนในรายของยสกุลบุตรที่เห็นพวกผู้หญิงกลายเป็นซากศพเหมือนกัน อันนั้นเป็นเพราะบุญเก่าที่เคยทำงานเป็นคนเก็บศพอนาถามาเผา บุญเก่าจึงบันดาลให้เห็นแบบนั้นจะได้เบื่อแล้วออกบวช

คำศัพท์โบราณที่พูดถึงในตอนนี้ เป็นศัพท์ที่ใช้บรรยายถึงความทุกข์ของมนุษย์ทุกคน คือ โสกะ-ปริเทวะ-ทุกข์-โทมนัส-อุปายาส
ความหมายคือ โสกะ - ความโศกเศร้า, ปริเทวะ - ความคร่ำครวญรำพัน, ทุกข์ - ความไม่สบายกาย, โทมนัส - ความไม่สบายใจ, อุปายาส - ความคับแค้นใจสิ้นหวัง



ยังไม่ได้ไปทักทายใครเลยนะครับ ขออนุญาตปลีกตัวไปก่อน บ่ายนี้จะไปช่วยเตรียมงานบุญที่วัด และสัปดาห์หน้าก็เตรียมตัวจะไปถวายพระพุทธรูปที่กาฬสินธุ์อีกองค์หนึ่ง อาจจะหายหน้าไปอีกหลายวัน
บุญกุศลที่ทำทั้งหลายขอแบ่งปันและอุทิศให้ทุกท่านเสมอกันครับ




 

Create Date : 18 มีนาคม 2554
4 comments
Last Update : 18 มีนาคม 2554 11:52:41 น.
Counter : 737 Pageviews.

 

แวะมาทักทายครับ

วิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามินวิตามิน

 

โดย: MaFiaVza 18 มีนาคม 2554 13:07:29 น.  

 

 

โดย: tuk-tuk@korat 18 มีนาคม 2554 16:02:42 น.  

 

อนุโมทนาสาธุครับ

 

โดย: shadee829 18 มีนาคม 2554 16:57:52 น.  

 

สวัสดีค่ะ


แวะมาชวนไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสุรินทร์ค่ะ
ไปด้วยกัน นะคะ

 

โดย: phunsud 18 มีนาคม 2554 20:31:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.