จบเรื่องราวพุทธประวัติตอนเด็ก ต่อไปก็ถึงเรื่องประเด็นข้อสงสัย
โกณฑัญญพราหมณ์
ตอนเด็กครูสอนว่า โกณฑัญญพราหมณ์เป็นผู้ทำนายพระกุมารโดยสถานเดียวว่าจะออกบวชและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเน้นว่าโกณฑัญญพราหมณ์ผู้นี้เป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุด เรียนไปก็จินตนาการไปว่าคงอายุราวๆ 35 ปีมั้ง (แค่นี้ก็หนุ่มปลายๆ แล้ว) มารู้ทีหลังตอนอ่านพระไตรปิฎก ปรากฏว่าแม้จะหนุ่มที่สุด แต่ก็ต้องถือว่าแก่มาก เพราะอายุโกณฑัญญพราหมณ์ตอนนั้นปาเข้าไปตั้ง 72 ขวบ ไปออกบวชตอนเจ้าชายสิทธัตถะอายุ 29 ปี แปลว่าออกบวชตอนอายุ 101 ปี อีก 6 ปีต่อมาจึงได้ฟังปฐมเทศนา ซึ่งก็ควรจะเป็น 107 ปี แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่า 108 ปี ตรงนี้ไม่เป็นไร อาจจะคาบเกี่ยวนิดหน่อย แต่ที่รับไม่ได้เลยก็คือ ครูหนอครู สอนมาได้ยังไงว่าโกณฑัญญพราหมณ์เป็นพราหมณ์หนุ่ม
ถ้าตามไปศึกษาประวัติโกณฑัญญพราหมณ์อีกนิดจะพบว่า โกณฑัญญพราหมณ์ผู้นี้มีบทบาทมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนที่พระเจ้าสุทโธทนะจะอภิเษก ก็มีโกณฑัญญพราหมณ์นี่แหละเป็นหนึ่งในขบวนพราหมณ์ที่ไปค้นหาหญิงทั้งชมพูทวีปมาให้เป็นพระมเหสี สุดท้ายจึงมาได้พระนางสิริมหามายา เจ้าหญิงนครติดกันนี่เอง
เรื่องการทำนายครั้งแรก
ถ้าอ่านพุทธประวัติตามที่เล่ามานี้ ผู้ที่ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนแรกว่าต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น คือ อสิตดาบส แต่แปลกที่หนังสือพุทธประวัติส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าวถึงท่านเลย
อสิตดาบสผู้นี้คล้ายกับท่านอาฬารดาบสและท่านอุทกดาบส เพราะภายหลังจากสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหมทั้งหมด เป็นบุคคลที่ฉิบหายแล้ว คือพลาดโอกาสจะได้พบพระพุทธเจ้าไปอีกถึง 84,000 กัป ซึ่งในช่วงระยะเวลานานเท่านี้อาจจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกนับร้อยนับพันองค์ทีเดียว
เรื่องการแย่งนกกับพระเทวทัตและเรื่องครูวิศวามิตร
บางคนอาจเคยอ่านเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะแย่งนกกับพระเทวทัต และทุกคนน่าจะเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กว่าเจ้าชายสิทธัตถะเรียนวิชากับครูชื่อวิศวามิตร แต่จะบอกว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎกเล่มไหนเลย
แต่เรื่องนี้เพิ่งมีปรากฏในหนังสือที่แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2422 นี้เอง หนังสือเล่มนั้นชื่อ Light of Asia เขียนโดย Sir Edwin Arnold แปลเป็นไทยชื่อ ประทีปแห่งทวีปอาเซีย ซึ่งอยากจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ใช้ดุลยพินิจกันเอง
ส่วนตัวผมไม่เชื่อ
กบิลพัสกุ์กับเทวทหะนั้นเป็นนครที่อยู่ใกล้กัน ตามประวัติเจ้าหญิงเจ้าชายสองนครนี้แต่งงานกันเป็นประจำก็จริง แต่น่าจะไม่ใกล้ชิดกันมากถึงขนาดปล่อยให้เด็กๆ มาเล่นไกลถึงอีกนครหนึ่งจนถึงขั้นมาแย่งนกกันได้ เหตุผลที่ว่าไม่น่าจะใกล้กันขนาดนั้น เพราะประวัติตอนพระนางมายาเสด็จกลับเทวทหะเพื่อไปประสูติ พระนางทรงแวะพักที่ป่าระหว่างทาง ระหว่างสองเมืองมีป่ามาคั่นก็น่าจะไกลกันน่าดู และในพุทธประวัติตอนอื่นยังบอกอีกว่าสองนครนี้มีแม่น้ำโรหิณีขวางกลางด้วย ยิ่งทำให้ไปมาลำบากมากขึ้นไปอีก ทำให้เชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะกับเจ้าชายเทวทัตไม่น่าจะมาเจอกันถึงขั้นแย่งนกกันได้ (แต่กับเจ้าชายองค์อื่นๆ เช่น เจ้าชายกิมพิละ ภคุ อนุรุทธ มหานามะ พวกนี้ไม่น่าเป็นปัญหาเพราะเป็นฝ่ายศากยวงศ์ด้วยกัน)
เรื่องครูวิศวามิตรก็เช่นเดียวกัน มีปรากฏในหนังสือ Light of Asia แต่ในพุทธประวัติบอกไว้ชัดว่า เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้เรียนหนังสือ จึงเชื่อได้ว่าครูวิศวามิตรน่าจะมาจากจินตนาการของฝรั่งที่ต้องการใส่ตัวละครเข้าไปเพื่อให้เป็นอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะ
เรื่องการไม่มีอาจารย์นี้ หากอ่านในชาดก จะเห็นว่าตอนพระโพธิสัตว์เกิดเป็นมโหสถ พระองค์ก็ไม่ได้เรียนวิชา แต่ฉลาดมาโดยกำเนิด หรือเมื่อเกิดเป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์ก็ทรงมีศิลปวิทยาโดยไม่ได้เรียนเหมือนกัน แต่ฝรั่งคงรับไม่ได้เลยเติมอาจารย์ให้เสียหน่อย
และบรรดาสรรพวิชาที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงแสดงนั้น มีแต่ชื่อแปลกๆ ผมไม่รู้ครับว่าแต่ละวิชาคืออะไร รู้แต่ว่าเป็นวิชาโบราณ ส่วนใหญ่เป็นวิชายิงธนู
จบเท่านี้ครับ
ตอนหน้าจะเป็นตอนออกบวชและได้ตรัสรู้ พร้อมกับประเด็นกังขาอีกสองข้อ คือ ไม่ได้มีเทวดามาดีดพิณให้พระโพธิสัตว์ดูสักหน่อย และไม่มีแม่พระธรณีมาช่วยบีบมวยผมสักหน่อย
Create Date : 02 มีนาคม 2554 |
Last Update : 2 มีนาคม 2554 21:38:45 น. |
|
7 comments
|
Counter : 968 Pageviews. |
|
ยามเช้าๆนี้อากาศไม่ร้อนมาก แต่พอสายลงนิดแทบจะนั่งไม่ได้เลย ร้อนมากมาย ต้องพึ่งแอร์คอนดิชั่นตลอดเลย พักผ่อนมาได้สามวันโดยไม่หยิบจับอะไรทั้งสิ้น วันนี้เตรียมsetชุดแสดงในงานแถลงข่าว"งานวีรชนปู่ดอก-ปู่ทองแก้ว"ของอำเภอวิเศษฯที่จะมีขึ้นในวันที่๑๖ที่จะถึงนี้ ระลึกถีงอยู่เสมอนะคะคุณอังคาร