ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
2 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
๒. ปาฏิหาริย์พระกุมาร

คุณไวน์ฝากไว้ในตอนที่แล้วว่าขอภาษาง่ายๆ กว่านี้อีก งานนี้เริ่มหนักใจ เพราะสงสัยว่าผมคงจะเริ่มซึมซับสำนวนโบราณในพระไตรปิฎกเข้าแล้วมั้ง เพราะสมัยก่อนอ่านพระไตรปิฎกผมก็มีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน แต่พออ่านมากๆ มันเลยกลายเป็นความเคยชิน เอาเป็นว่าจะพยายามให้ง่ายขึ้นครับ

ครั้งก่อนทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อกังขาว่า โกณฑัญญพราหมณ์ไม่ได้เป็นผู้ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนแรกว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้เรียนวิชาจากครูวิศวามิตรสักหน่อย
ผมจะเล่าพุทธประวัติในตอนนี้โดยอิงพระไตรปิฎกและอรรถกถาก่อน แล้วค่อยมาสรุปประเด็นนี้กันตอนท้าย




๒. ปาฏิหาริย์พระกุมาร




ดาบสร้องไห้

หลังจากที่พระโพธิสัตว์ประสูติที่สวนลุมพินีวันแล้ว ขบวนเสด็จของพระนางสิริมหามายาก็กลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์ นำความปลื้มปีติมาสู่ราชสำนักเป็นอันมาก พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้จัดงานสมโภชราชโอรสพระองค์น้อยอย่างเร่งด่วน

ครั้งนั้น กาฬเทวินปุโรหิต ผู้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะชราภาพมากแล้วจึงลาไปบวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตอยู่ข้างป่าหิมพานต์ ดาบสผู้นี้รับราชการเป็นปุโรหิตมาตั้งแต่พระเจ้าสุทโธทนะยังทรงพระเยาว์จึงคุ้นเคยกับราชสกุลเป็นอย่างดีจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า อสิตดาบส แปลว่า ดาบสผู้คุ้นเคยกับราชสกุล
อสิตดาบสบำเพ็ญพรตจนสำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทุกวันหลังฉันอาหาร ท่านมักจะเข้าฌานสมาบัติไปพักผ่อนอยู่ในดาวดึงส์เทวโลกบ้าง ในนาคพิภพบ้าง

วันที่พระโพธิสัตว์ประสูติอสิตดาบสไปพักผ่อนในดาวดึงส์เทวโลก เห็นท้าวสักกเทวราชพร้อมเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาจำนวนมาก ออกมาแห่แหนโบกสะบัดผ้าแสดงความรื่นเริงยินดีปานประหนึ่งว่าไปรบชนะพวกอสูรมา อสิตดาบสจึงถามว่าพวกท่านเฉลิมฉลองเรื่องใดกัน

เทวดาตอบว่า วันนี้พระโพธิสัตว์ประสูติแล้วที่สวนลุมพินีวัน เป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ อีกไม่นานพระองค์ก็จะเสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประกาศพระธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนะ

อสิตดาบสได้ฟังดังนั้นจึงรีบกลับมาเมืองมนุษย์ เข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะขอชมบารมีพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้แต่งราชโอรส อุ้มมาเพื่อจะไหว้พระอาจารย์ แต่แทนที่พระกุมารจะไหว้ท่านดาบส กลับกลายเป็นว่าพระบาทของพระกุมารกลับไปประทับบนชฎาของอสิตดาบสเป็นที่น่าอัศจรรย์ ท่ามกลางความตกใจของเหล่าราชสกุล

อสิตดาบสเป็นผู้เรียนจบลักษณะมนต์ และยังเป็นผู้ระลึกชาติได้ถึง ๘๐ กัป คือ ระลึกย้อนหลังได้ ๔๐ กัป และระลึกไปข้างหน้าได้อีก ๔๐ กัป เมื่อได้เห็นพุทธลักษณะของพระกุมารประกอบกับได้ฟังจากพวกเทวดาแล้ว รู้ว่าพระกุมารนี้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน อสิตดาบสจึงหัวเราะด้วยความปีติยินดี แต่แล้วก็กลับร้องไห้ด้วยความเสียใจ

พระเจ้าสุทโธทนะแปลกพระทัยในอากัปกริยาของพระอาจารย์ จึงตรัสถามว่าท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงทั้งหัวเราะและร้องไห้ดังนี้

อสิตดาบสกราบทูลว่า
มหาบพิตร อาตมาดีใจที่ได้เห็นพระกุมารนี้เที่ยงแท้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจึงได้หัวเราะ แต่อาตมาก็น้อยวาสนานักด้วยอายุมากแล้ว อีกไม่นานอาตมาจะต้องละสังขาร ทำกาละแล้วไปอุบัติเป็นอรูปพรหมอันไร้อินทรีย์ทวาร ไม่มีโอกาสจะได้สดับธรรมจากพระองค์ได้ อาตมาจึงร้องไห้ด้วยความเสียใจ

พระเจ้าสุทโธทนะสดับคำพระอาจารย์ดังนั้น ก็เกิดปีติซาบซ่าน ยกพระหัตถ์ขึ้นอภิวาทพระราชโอรสของพระองค์เองเป็นวาระแรก



เฉลิมพระนามและทำนายลักษณะ

วันที่ ๕ หลังการประสูติ พระเจ้าสุทโธทนะได้จัดงานโสรจสรงองค์พระกุมารในสระโบกขรณีเพื่อถวายพระนามตามขัตติยราชประเพณี มีเชื้อพระวงศ์ พราหมณ์ คหบดี และมุขอำมาตย์ ชุมนุมพร้อมกันในราชนิเวศน์ ทรงนิมนต์พราหมณ์ ๑๐๘ คน มาเลี้ยงโภชนะ แล้วให้พราหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพท ๘ คน คือ รามะพราหมณ์ ธชะพราหมณ์ ลักขณะพราหมณ์ สุชาติมันตีพราหมณ์ โภชะพราหมณ์ อสุยามะพราหมณ์ สุทัตตะพราหมณ์ และโกณฑัญญะพราหมณ์ ตรวจดูพระลักษณะของพระกุมาร

พราหมณ์ทั้ง ๘ ตรวจดูพระลักษณะประกอบกับพิจารณาสุบินนิมิตของพระนางสิริมหามายาในวันปฏิสนธิ แล้วพราหมณ์ ๗ คน ก็ยกสองนิ้ว พยากรณ์เป็นสองทางว่า หากพระโอรสอยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้มีอาวุโสน้อยสุด อายุเพียง ๗๒ ปี พิจารณาดูมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ของพระกุมารเด่นชัดสมบูรณ์ จึงชูนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้น พยากรณ์ว่าพระกุมารนี้ไม่มีเหตุที่จะครองเรือน พระกุมารจะต้องออกบวชและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศในโลกสถานเดียวเท่านั้น

พระโพธิสัตว์ได้รับการถวายพระนามว่า อังคีรส คือ ผู้มีรัศมีงามแผ่ซ่านจากกาย หรือ สิทธัตถะ คือ ผู้สำเร็จสมความปราถนา แต่บางทีก็เรียกว่า ศากยบุตร หรือโคตมะ อันเป็นโคตรวงศ์ของพระองค์นั่นเอง

หลังจากพิธีเฉลิมพระนามแล้ว พระประยูรญาติซึ่งมีความเลื่อมใสในเจ้าชายพระองค์น้อย เนื่องจากเห็นอาการของอสิตดาบสและได้ฟังคำทำนายของพวกพราหมณ์ จึงได้นำราชกุมารสกุลละองค์สององค์มาถวายประสงค์จะให้เป็นบริวารในอนาคต

ส่วนพระนางสิริมหามายานั้น พระนางทิวงคตหลังจากประสูติเจ้าชายสิทธัตถะได้เพียง ๗ วัน ไปบังเกิดเป็นมหามายาเทพบุตรอยู่ในดุสิตสวรรค์ พระเจ้าสุทโธทนะจึงอภิเษกเจ้าหญิงโคตมีซึ่งเป็นพระมาตุจฉาของพระกุมารขึ้นเป็นมเหสีองค์ใหม่ ทำหน้าที่เลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะสืบมาดุจพระโอรสในอุทร



มหาบุรุษลักษณะ
เจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ คือ
๑. พื้นเท้าเรียบเสมอกัน
๒. ฝ่าเท้าทั้งสองข้างมีรูปกงจักร
๓. ส้นเท้ายาว
๔. นิ้วเรียวยาว
๕. ฝ่ามือและฝ่าเท้าอ่อนนุ่ม
๖. ลายมือและลายเท้าเหมือนลายตาข่าย
๗. รูปเท้าเหมือนสังข์คว่ำ
๘. หน้าแข้งเหมือนเนื้อทราย
๙. ฝ่ามือยาวถึงหัวเข่าโดยไม่ต้องก้ม
๑๐. คุยหะลับซ่อนอยู่ในฝัก
๑๑. ผิวงามดังผิวทองคำ
๑๒. ผิวละเอียด ไม่เปื้อนฝุ่นละออง
๑๓. มีขนขุมละเส้น
๑๔. เส้นขนสีเขียวเหมือนดอกอัญชัญ เวียนขวาและงอนขึ้น
๑๕. กายตั้งตรงเหมือนกายพรหม
๑๖. เนื้อเต็ม ๗ แห่ง คือ หลังมือหลังเท้าทั้งสอง ไหล่ทั้งสอง และลำคอ
๑๗. กายท่อนบนล่ำพีเหมือนราชสีห์
๑๘. แผ่นหลังเรียบเสมอกัน
๑๙. สูงเท่ากับวาตัวเอง (ปลายแขนซ้ายถึงปลายแขนขวา)
๒๐. ลำคอกลม
๒๑. มีเส้นประสาทรับรสอาหารดี
๒๒. คางเหมือนราชสีห์
๒๓. มีฟัน ๔๐ ซี่
๒๔. ฟันเรียบเสมอกัน
๒๕. ฟันไม่ห่าง
๒๖. เขี้ยวขาวงาม
๒๗. ลิ้นยาวใหญ่ (แผ่ปกหน้าผากได้)
๒๘. เสียงเหมือนเสียงพรหม สำเนียงเหมือนนกการเวก
๒๙. ตาดำสนิท
๓๐. ดวงตาแจ่มใสเหมือนตาโคเพิ่งคลอด
๓๑. ขนระหว่างคิ้วสีขาวเวียนขวา อ่อนนุ่มเหมือนนุ่น
๓๒. ศีรษะงามบริบูรณ์ดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์



ปาฏิหาริย์ใต้ต้นหว้า

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๕ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะเสด็จไปทำพิธีวัปปมงคลแรกนาขวัญ

วันนั้น นครกบิลพัสดุ์ถูกประดับประดาจนงดงามราวเทพนคร ชาวนครและทาสกรรมกรนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับของหอมและดอกไม้ ไปร่วมงานราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าสุทโธทนะทรงเป็นประธานถือพระนังคัลทองคำ อำมาตย์ถือคันไถเงิน ๑๐๗ คัน ชาวนาถือคันไถที่เหลือ รวมเป็นขบวนไถอันโอฬารทั้งสิ้นถึงพันคัน

ขณะที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงทำราชพิธีอยู่นั้น พระองค์รับสั่งให้ปูลาดพระแท่นบรรทมให้พระโอรสที่ใต้ต้นหว้า ให้นางสนมพี่เลี้ยงคอยดูแล แต่พวกนางสนมพี่เลี้ยงอยากดูราชพิธี จึงปล่อยพระกุมารให้บรรทมอยู่ลำพังพระองค์เดียว

เจ้าชายสิทธัตถะตื่นบรรทมทอดพระเนตรไม่เห็นใคร จึงลุกนั่งขัดสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออกจนจิตสงบเป็นสมาธิขั้นปฐมฌาน จวบจนตะวันบ่ายคล้อยและแดดแรงแต่เงาของต้นหว้าก็ยังคงบังเป็นร่มเงาให้เจ้าชายสิทธัตถะดังเดิม ไม่เคลื่อนย้ายไปตามตะวัน

พวกนางนมกลับมาเห็นความอัศจรรย์ จึงไปกราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบ พระเจ้าสุทโธทนะรีบเสด็จมาดู เห็นอัศจรรย์ดังนั้นจึงประนมมืออภิวาทพระโอรสของพระองค์เอง นับเป็นการอภิวาทเป็นครั้งที่สอง



สระโบกขรณี

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๗-๘ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้สร้างสนามเด็กเล่นและขุดดินสร้างสระโบกขรณี ท้าวสักกเทวราชดำริว่าของเล่นของใช้ของมนุษย์ไม่สมควรแก่พระโพธิสัตว์ จึงรับสั่งให้วิสสุกรรมเทพบุตรไปเนรมิตสระโบกขรณีให้ใหม่

วิสสุกรรมเทพบุตรจึงลงมาเนรมิตสระโบกขรณีที่ไม่มีโคลนเลน เกลื่อนกล่นด้วยแก้วมณี แก้วมุกดา และแก้วประพาฬ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว ๗ ประการ มีบันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้วมณี มีราวและซุ้มบันไดเป็นแก้วมณีและแก้วประพาฬ ภายในสระมีเรือทอง เรือเงิน เรือแก้วมณี และเรือแก้วประพาฬ ในเรือทองมีบัลลังก์เงิน ในเรือเงินมีบัลลังก์ทอง ในเรือแก้วมณีมีบัลลังก์แก้วประพาฬ ในเรือแก้วประพาฬมีบัลลังก์แก้วมณี มีทะนานตักน้ำเป็นทอง เงิน แก้วมณี และแก้วประพาฬ

ภายใต้สระมีเรือทอง เงิน แก้วมณี และแก้วประพาฬ ลำเล็กๆ ที่บรรจุโคลนเลนในลำเรือเป็นที่เจริญของปทุม ๕ ชนิด ส่งกลิ่นขจรขจายไปทั่วสระ

เจ้าชายสิทธัตถะทรงพระสำราญในสวนเด็กเล่นและสระโบกขรณีนี้



แสดงศิลปวิทยา

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้สร้างปราสาท ๓ หลังแก่พระโอรส ชื่อรัมมะ สุรัมมะ และสุภะ ปราสาทแต่ละหลังสูงเท่ากันแต่จำนวนชั้นต่างกัน ปราสาทหลังหนึ่งสูง ๙ ชั้น มีความอบอุ่น สำหรับประทับในฤดูหนาว หลังหนึ่งสูง ๗ ชั้น มีแต่ความรื่นรมย์ สำหรับประทับในฤดูฝน และอีกหลังหนึ่งสูง ๕ ชั้น สูงโปร่งเย็นสบาย สำหรับประทับในฤดูร้อน

พระเจ้าสุทโธทนะประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะมีคู่ครอง แต่เชื้อพระวงศ์ติว่าเจ้าชายเอาแต่สำราญ ขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น มิได้ศึกษาศิลปะใดๆ เลย วันหน้าถ้าเกิดศึกสงครามจะทำอย่างไร เจ้าชายสิทธัตถะจึงกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่าข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปะ ขอพระองค์ได้โปรดให้ตีกลองป่าวร้องให้พระญาติและชาวพระนครมาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองค์ในอีก ๗ วันข้างหน้าเถิด

พระเจ้าสุทโธทนะจึงรับสั่งให้ป่าวประกาศไปตามนั้น หมู่พระประยูรญาติและฝูงชนพากันมาดูเจ้าชายสิทธัตถะแสดงศิลปะจนเต็มพระลานหลวง

เจ้าชายสิทธัตถะได้ประลองฝีมือการยิงธนูกับนายขมังธนู ทรงเอาชนะได้ทั้งการยิงเร็วดังสายฟ้าแลบ ยิงขนหางสัตว์ได้ ยิงต้านลูกศรได้ ยิงตามเสียงได้ และยิงลูกศรตามลูกศรได้ และได้แสดงศิลปะอื่นที่ไม่มีใครทำได้ ได้แก่ ศิลปะชื่อจักกวิทธ สรลัฏฐิ สรรัชชุ สรเวณิ สรปาสาทะ สรมัณฑปะ สรโสปาณะ สรมัณฑละ สรปาการะ สรวนะ สรโปกขรณี สรปทุมะ สรปุปผะ สรวัสสะ

นอกจากนี้ยังทรงแสดงการยิงศรทะลุแผ่นไม้สะแกหนา ๘ นิ้ว แผ่นไม้ประดู่หนา ๔ นิ้ว แผ่นทองแดงหนา ๒ นิ้ว แผ่นเหล็กหนา ๑ นิ้ว ยิงแผ่นกระดาน ๑๐๐ ครั้งให้ติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน เป็นต้น

จบการแสดงศิลปะทั้งหลายแล้ว หมู่พระประยูรญาติก็หมดความลังเลสงสัย พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพา ราชธิดาแห่งกรุงเทวทหะ ส่วนศากยะตระกูลอื่นๆ นำธิดามาถวายให้เป็นบาทบริจาริกา ๔๐,๐๐๐ นาง แวดล้อมเจ้าชายสิทธัตถะดังนางอัปสรแวดล้อมเทพบุตร





จบเรื่องราวพุทธประวัติตอนเด็ก ต่อไปก็ถึงเรื่องประเด็นข้อสงสัย

โกณฑัญญพราหมณ์
ตอนเด็กครูสอนว่า โกณฑัญญพราหมณ์เป็นผู้ทำนายพระกุมารโดยสถานเดียวว่าจะออกบวชและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเน้นว่าโกณฑัญญพราหมณ์ผู้นี้เป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุด เรียนไปก็จินตนาการไปว่าคงอายุราวๆ 35 ปีมั้ง (แค่นี้ก็หนุ่มปลายๆ แล้ว) มารู้ทีหลังตอนอ่านพระไตรปิฎก ปรากฏว่าแม้จะหนุ่มที่สุด แต่ก็ต้องถือว่าแก่มาก เพราะอายุโกณฑัญญพราหมณ์ตอนนั้นปาเข้าไปตั้ง 72 ขวบ ไปออกบวชตอนเจ้าชายสิทธัตถะอายุ 29 ปี แปลว่าออกบวชตอนอายุ 101 ปี อีก 6 ปีต่อมาจึงได้ฟังปฐมเทศนา ซึ่งก็ควรจะเป็น 107 ปี แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่า 108 ปี ตรงนี้ไม่เป็นไร อาจจะคาบเกี่ยวนิดหน่อย แต่ที่รับไม่ได้เลยก็คือ ครูหนอครู สอนมาได้ยังไงว่าโกณฑัญญพราหมณ์เป็นพราหมณ์หนุ่ม
ถ้าตามไปศึกษาประวัติโกณฑัญญพราหมณ์อีกนิดจะพบว่า โกณฑัญญพราหมณ์ผู้นี้มีบทบาทมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนที่พระเจ้าสุทโธทนะจะอภิเษก ก็มีโกณฑัญญพราหมณ์นี่แหละเป็นหนึ่งในขบวนพราหมณ์ที่ไปค้นหาหญิงทั้งชมพูทวีปมาให้เป็นพระมเหสี สุดท้ายจึงมาได้พระนางสิริมหามายา เจ้าหญิงนครติดกันนี่เอง

เรื่องการทำนายครั้งแรก
ถ้าอ่านพุทธประวัติตามที่เล่ามานี้ ผู้ที่ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนแรกว่าต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น คือ อสิตดาบส แต่แปลกที่หนังสือพุทธประวัติส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าวถึงท่านเลย
อสิตดาบสผู้นี้คล้ายกับท่านอาฬารดาบสและท่านอุทกดาบส เพราะภายหลังจากสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหมทั้งหมด เป็นบุคคลที่ฉิบหายแล้ว คือพลาดโอกาสจะได้พบพระพุทธเจ้าไปอีกถึง 84,000 กัป ซึ่งในช่วงระยะเวลานานเท่านี้อาจจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกนับร้อยนับพันองค์ทีเดียว

เรื่องการแย่งนกกับพระเทวทัตและเรื่องครูวิศวามิตร
บางคนอาจเคยอ่านเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะแย่งนกกับพระเทวทัต และทุกคนน่าจะเคยเรียนมาตั้งแต่เด็กว่าเจ้าชายสิทธัตถะเรียนวิชากับครูชื่อวิศวามิตร แต่จะบอกว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎกเล่มไหนเลย
แต่เรื่องนี้เพิ่งมีปรากฏในหนังสือที่แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2422 นี้เอง หนังสือเล่มนั้นชื่อ Light of Asia เขียนโดย Sir Edwin Arnold แปลเป็นไทยชื่อ ประทีปแห่งทวีปอาเซีย ซึ่งอยากจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ใช้ดุลยพินิจกันเอง
ส่วนตัวผมไม่เชื่อ
กบิลพัสกุ์กับเทวทหะนั้นเป็นนครที่อยู่ใกล้กัน ตามประวัติเจ้าหญิงเจ้าชายสองนครนี้แต่งงานกันเป็นประจำก็จริง แต่น่าจะไม่ใกล้ชิดกันมากถึงขนาดปล่อยให้เด็กๆ มาเล่นไกลถึงอีกนครหนึ่งจนถึงขั้นมาแย่งนกกันได้ เหตุผลที่ว่าไม่น่าจะใกล้กันขนาดนั้น เพราะประวัติตอนพระนางมายาเสด็จกลับเทวทหะเพื่อไปประสูติ พระนางทรงแวะพักที่ป่าระหว่างทาง ระหว่างสองเมืองมีป่ามาคั่นก็น่าจะไกลกันน่าดู และในพุทธประวัติตอนอื่นยังบอกอีกว่าสองนครนี้มีแม่น้ำโรหิณีขวางกลางด้วย ยิ่งทำให้ไปมาลำบากมากขึ้นไปอีก ทำให้เชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะกับเจ้าชายเทวทัตไม่น่าจะมาเจอกันถึงขั้นแย่งนกกันได้ (แต่กับเจ้าชายองค์อื่นๆ เช่น เจ้าชายกิมพิละ ภคุ อนุรุทธ มหานามะ พวกนี้ไม่น่าเป็นปัญหาเพราะเป็นฝ่ายศากยวงศ์ด้วยกัน)

เรื่องครูวิศวามิตรก็เช่นเดียวกัน มีปรากฏในหนังสือ Light of Asia แต่ในพุทธประวัติบอกไว้ชัดว่า เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้เรียนหนังสือ จึงเชื่อได้ว่าครูวิศวามิตรน่าจะมาจากจินตนาการของฝรั่งที่ต้องการใส่ตัวละครเข้าไปเพื่อให้เป็นอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะ
เรื่องการไม่มีอาจารย์นี้ หากอ่านในชาดก จะเห็นว่าตอนพระโพธิสัตว์เกิดเป็นมโหสถ พระองค์ก็ไม่ได้เรียนวิชา แต่ฉลาดมาโดยกำเนิด หรือเมื่อเกิดเป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์ก็ทรงมีศิลปวิทยาโดยไม่ได้เรียนเหมือนกัน แต่ฝรั่งคงรับไม่ได้เลยเติมอาจารย์ให้เสียหน่อย

และบรรดาสรรพวิชาที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงแสดงนั้น มีแต่ชื่อแปลกๆ ผมไม่รู้ครับว่าแต่ละวิชาคืออะไร รู้แต่ว่าเป็นวิชาโบราณ ส่วนใหญ่เป็นวิชายิงธนู



จบเท่านี้ครับ
ตอนหน้าจะเป็นตอนออกบวชและได้ตรัสรู้ พร้อมกับประเด็นกังขาอีกสองข้อ คือ ไม่ได้มีเทวดามาดีดพิณให้พระโพธิสัตว์ดูสักหน่อย และไม่มีแม่พระธรณีมาช่วยบีบมวยผมสักหน่อย


Create Date : 02 มีนาคม 2554
Last Update : 2 มีนาคม 2554 21:38:45 น. 7 comments
Counter : 968 Pageviews.

 


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 3 มีนาคม 2554 เวลา:14:25:18 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
ยามเช้าๆนี้อากาศไม่ร้อนมาก แต่พอสายลงนิดแทบจะนั่งไม่ได้เลย ร้อนมากมาย ต้องพึ่งแอร์คอนดิชั่นตลอดเลย พักผ่อนมาได้สามวันโดยไม่หยิบจับอะไรทั้งสิ้น วันนี้เตรียมsetชุดแสดงในงานแถลงข่าว"งานวีรชนปู่ดอก-ปู่ทองแก้ว"ของอำเภอวิเศษฯที่จะมีขึ้นในวันที่๑๖ที่จะถึงนี้ ระลึกถีงอยู่เสมอนะคะคุณอังคาร


โดย: เกศสุริยง วันที่: 4 มีนาคม 2554 เวลา:9:47:20 น.  

 
สวัสดีวันศุกร์ตอนบ่ายๆค่ะคุณอังคาร

ขอบคุณนะคะ แล้วจะมาติดตามตอนต่อไปค่ะ(ตอนออกบวช)
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...



โดย: phunsud วันที่: 4 มีนาคม 2554 เวลา:14:50:26 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
สวัสดียามเช้าค่ะคุณอังคาร อากาศร้อนใจคนอย่าร้อนนะคะ คิดถึงคร่าาาาาา


โดย: เกศสุริยง วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:9:48:11 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณอังคาร..

พาหนุ่มหล่อมาเยี่ยมค่ะ..



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 13 มีนาคม 2554 เวลา:12:08:59 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
เห็นภัยธรรมชาติที่เกิดกับญี่ปุ่นน่ากลัวจังเลยโลกใบนี้เริ่มปรวนแปรแล้ว ช่วงสองวันไม่สบายนิดหน่อยอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนมากมาย แอบหน้ามืดเป้นลมเลยค่ะ แต่ตอนนี้สบายดีแล้ว ช่วงนี้ซ้อมการแสดงหนักเหมือนกัน งานจะมีขึ้นในวันพุธนี้แล้วค่ะ ระลึกถึงอยู่เป็นนิจนะคะคุณอังคาร


โดย: เกศสุริยง วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:10:59:22 น.  

 


กลับมาแล้วค่ะ
หลังจากที่หายไปหลายวัน
คุณอังคารสบายดีนะคะ


โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 17 มีนาคม 2554 เวลา:4:38:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.