ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
23 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
๑. ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์

ทูเรนิทาน



อดีตกาลย้อนหลังไป ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดเป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลใน อมรวดีนคร นามว่า สุเมธ เมื่อบิดามารดาล่วงลับไปแล้วสุเมธพราหมณ์พิจารณาว่าทรัพย์มรดกมากมายที่บิดามารดาปู่ย่าตาทวดสร้างไว้ เมื่อท่านเหล่านั้นไปสู่ปรโลกแล้ว ทรัพย์แม้เพียงกหาปณะเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้ มีเพียงผลบุญและผลกรรมที่ทำไว้เท่านั้นที่ติดตัวไป ต้องไปเวียนเกิดเวียนตายซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักจบสิ้น พิจารณาแล้วเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก จึงนำทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดหลายร้อยโกฏิบริจาคทานแล้วออกบวชเป็นดาบสสร้างอาศรมบำเพ็ญพรตอยู่ในป่า ต่อมาได้ทิ้งอาศรมเพื่อบำเพ็ญพรตให้อุกฤษณ์ยิ่งขึ้นโดยไปอาศัยอยู่ตามโคนไม้ อาศัยกินผลไม้ที่หล่นเองจากต้น เพียงไม่นานดาบสก็สำเร็จฌานสมาบัติ มีฤทธิ์อภิญญาเหาะเหินเดินอากาศได้
วันหนึ่งสุเมธดาบสเหาะเข้าไปในนคร มองเห็นมหาชนกำลังช่วยกันแผ้วถางทางและตกแต่งหนทางอยู่ ลงมาถามรู้ว่ามหาชนกำลังเตรียมทางรับเสด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า สุเมธดาบสพอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลกก็เกิดปีติ ใช้แรงกายช่วยชาวบ้านปรับแต่งหนทางช่วงหนึ่งซึ่งเป็นหลุมบ่อ ขนดินทรายมาเกลี่ยปิดหลุมโคลนตม แต่งานยังไม่ทันสำเร็จเหลือหลุมที่เป็นโคลนตมอยู่หน่อยหนึ่ง พระทีปังกรพุทธเจ้าก็เสด็จมาถึงพร้อมพระสาวกขีณาสพสี่แสน สุเมธดาบสจึงนอนทอดกายปิดหลุมบ่อและโคลนตมใช้ร่างตนเป็นสะพาน ประสงค์จะให้พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปบนแผ่นหลังไม่ให้โคลนตมเปื้อนพระบาท พร้อมกับตั้งความปรารถนาจะขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยว่า


เราตรัสรู้แล้ว จักให้ผู้อื่นรู้ด้วย
เราพ้นแล้ว จักให้ผู้อื่นพ้นด้วย
เราข้ามได้แล้ว จักให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย


พระทีปังกรพุทธเจ้าหยุดทอดพระเนตรดู รู้ด้วยพุทธญาณว่าดาบสนี้เป็นพระโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธางกูร จึงตรัสพยากรณ์เป็นลัทยาเทศสุเมธดาบสว่า


ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้
เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคตมะ
ในอัตภาพนั้นของเขา จักมีนครนามว่า กบิลพัสดุ์ เป็นที่อยู่อาศัย
พระมารดานามว่ามายา พระบิดานามว่าสุทโธทนะ
พระอุปติสสะเป็นอัครสาวก พระโกลิตะเป็นอัครสาวกที่สอง
พระเขมาเป็นอัครสาวิกา พระอุบลวรรณาเป็นอัครสาวิกาที่สอง
พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก
เขามีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่
รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา
ขึ้นสู่โพธิมณฑล และจักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์


มนุษย์และเทวดาเมื่อได้ฟังพุทธพยากรณ์ ต่างเปล่งวาจาสาธุการดังสนั่นไปทั่วทั้งไตรภูมิ จนแม้ผืนปฐพีก็สั่นไหว คนบางพวกตั้งจิตอธิษฐานด้วยว่าหากแม้นพวกเขาไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ใด ก็ขอให้ได้บรรลุธรรมในสมัยที่ท่านดาบสตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
หลังจากรับพุทธพยากรณ์แล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมีต่อมาอีกนานแสนนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษแสนกัป พานพบพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ มาอีก ๒๔ พระองค์ ในชาติสุดท้ายที่เกิดเป็นมนุษย์ ทรงเกิดเป็นพระเวสสันดร ได้บริจาคสัตตสตกมหาทานประกอบด้วย ช้าง ม้า รถ สตรี โคนม ทาสา ทาสี อย่างละ ๗๐๐ และยังได้สละโอรส ธิดา และพระชายา เป็นทานอีกด้วย
เมื่อละจากอัตภาพมนุษย์ครั้งนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศครบถ้วนบริบูรณ์แล้วได้ไปอุบัติเป็นเสตุเกตุเทพบุตรอยู่ในดุสิตสวรรค์ ทรงเป็นท้าวสันดุสิตผู้เป็นใหญ่ รอวันมาประสูติเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป




โกลาหล ๓

โลกและจักรวาลนี้ มีความแตกตื่นโกลาหลของมนุษย์และเทวดาครั้งใหญ่อยู่ ๓ อย่าง คือ โกลาหลเรื่องกัป โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า และโกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ
โกลาหลเรื่องกัปหรือกัปโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อเทวดาโลกพยุหะรู้ว่า อีกแสนปีกัปจะพินาศแล้วเพราะจะมีไฟประลัยกัปมาเผาโลก หรือมีน้ำประลัยกัปมาท่วมโลก หรือมีลมประลัยกัปมาทำลายโลก จึงนุ่งผ้าแดง สยายผม ร้องไห้ เที่ยวประกาศด้วยความตกใจให้ทั้งมนุษย์และเทวดารู้ว่ากัปจะสิ้นแล้ว พวกเราจะฉิบหายกันหมดแล้ว เทวดาและมนุษย์พอรู้ข่าวก็แตกตื่นตกใจไปตามๆ กันจนเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั้งจักรวาล
โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าหรือพุทธโกลาหล เกิดขึ้นเมื่อเทวดาโลกบาลรู้ว่าอีกพันปีพระพุทธเจ้าจะมาอุบัติแล้ว จึงออกมาประกาศข่าวมงคลให้รู้กันทั่วแดนสวรรค์ เทวดาและพระพรหมจากหมื่นจักรวาลได้ยินพากันตื่นเต้นดีใจมาชุมนุมกันเนืองแน่นอยู่ในจักรวาลเดียว ถามว่าพระโพธิสัตว์องค์ไหนจะตรัสรู้ และอยู่รอจะได้ฟังธรรม
โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ เกิดขึ้นเมื่อเทวดาโลกบาลรู้ว่าอีกร้อยปีจะมีพระเจ้าจักรพรรดิมาอุบัติ จึงออกมาประกาศข่าวมงคล เวลานั้นก็เกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั้งจักรวาลเหมือนกัน
[ ในอรรถกถานาลกสูตร อรรถกถาจารย์กล่าวถึงโกลาหลว่ามี ๕ อย่าง อีก ๒ อย่างที่เพิ่มขึ้นมา คือ มงคลโกลาหล เป็นโกลาหลก่อนพระพุทธเจ้าแสดงมงคลสูตร ๑๒ ปี และโมเนยยโกลาหล เป็นโกลาหลก่อนพระพุทธเจ้าแสดงโมเนยยปฏิปทา ๗ ปี ]




อาราธนาพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์เสวยทิพยสมบัติเป็นท้าวสันดุสิตอยู่ในดุสิตสวรรค์ จนพุทธกาลใกล้เข้ามา เทวดาโลกบาลจึงป่าวประกาศว่านับแต่นี้ล่วงไปพันปี พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาอุบัติในชมพูทวีป ผู้ใดประสงค์จะได้พบเห็นพระองค์ก็จงทำกุศลกรรมให้ถึงพร้อม ให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนากันเถิด เทวดาทั่วหมื่นจักรวาลพอได้ยินประกาศดังนั้นจึงมาชุมนุมกันถามไถ่ว่าพระโพธิสัตว์พระองค์ใดจะมาตรัสรู้ จนเกิดพุทธโกลาหลไปทั้งสวรรค์
เป็นที่ทราบกันว่าในแสนโกฏิจักรวาลนั้น มีแต่มงคลจักรวาลนี้เท่านั้นเป็นที่อุบัติของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ พระพรหมและเทวดาจากหมื่นจักรวาลจึงมาชุมนุมกันในมงคลจักรวาล พิจารณาดูพระโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์ผู้มีโพธิบารมีสมบูรณ์ จึงเห็นท้าวสันดุสิตโพธิสัตว์มีบุรพนิมิต ๕ ประการปรากฏ คือ ภูษาทรงเศร้าหมอง ทิพย์มาลาเหี่ยวแห้ง พระเสโทไหลออกจากพระกัจฉะ (รักแร้) พระฉวีวรรณเศร้าหมอง และทรงเบื่อหน่ายในทิพย์อาสน์ รู้ว่าพระโพธิสัตว์ผู้นี้คือผู้เที่ยงแท้ที่จะจุติไปอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า ท่านท้าวมหาพรหม ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี ท้าวนิมมานรดี ท้าวสันดุสิต ท้าวสุยามะ ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาราชทั้งสี่ จากทั้งหมื่นจักรวาล จึงเข้าไปเฝ้ากราบบังคมทูลว่า พระองค์บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ มิใช่เพื่อจักรพรรดิสมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือพรหมสมบัติ แต่เป็นไปเพื่อความเป็นพุทธะ บัดนี้กาลนั้นมาถึงพระองค์แล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จไปอุบัติในโลกมนุษย์เพื่อพระโพธิญาณเถิด
พระโพธิสัตว์สดับคำของเหล่าทวยเทพแล้วยังไม่รับอาราธนาในทันที แต่ทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะก่อน คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และมารดา ว่าพระองค์ควรไปเกิดที่ไหนหนอ
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณากาลอันสมควรเป็นลำดับแรกว่า กาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยยืนยาวเกินแสนปี กาลนั้นมนุษย์มีแต่ความสุขสบาย ไม่ค่อยได้เห็นความเกิด ความแก่ และความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันเป็นไตรลักษณ์ มนุษย์จะไม่เข้าใจ การบรรลุธรรมจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนกาลใดที่มนุษย์มีอายุขัยน้อยกว่าร้อยปี กาลนั้นมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นผู้มีกิเลสหนา ชีวิตประสบแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน จิตใจหาความสงบไม่ได้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผล มนุษย์ทั้งสองกาลนี้สั่งสอนไม่ได้ กาลที่มนุษย์สามารถเข้าใจไตรลักษณ์ได้ คือ ช่วงที่มีอายุขัยระหว่างแสนปีลงมาจนถึงร้อยปี และขณะนี้มนุษย์มีอายุขัยร้อยปีเศษ สามารถสั่งสอนได้ จึงเป็นกาลอันสมควรที่พระองค์จะไปอุบัติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาต่อไปถึงทวีป ทรงเห็นว่ามนุษย์ใน ๓ ทวีป คือ อุตตรกุรุทวีป บุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยความสุขสบาย การจะสั่งสอนให้เห็นความจริงแท้ของทุกข์นั้นคงยาก เพราะไม่รู้จักความทุกข์ ส่วนมนุษย์ในชมพูทวีปรู้จักความทุกข์จึงสามารถสั่งสอนธรรมได้ อีกทั้งเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เมื่อฟังธรรมแล้วก็พร้อมจะออกบวชปฏิบัติสมณธรรมด้วยความพากเพียร พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกที่จะอุบัติในชมพูทวีป ตามพุทธประเพณีที่พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์ก็ทรงอุบัติในทวีปนี้
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาประเทศเป็นลำดับต่อไปว่า พระพุทธเจ้าในอดีตทุกพระองค์อุบัติในมัชฌิมประเทศ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกสักกชนบทซึ่งอยู่ในเขตแดนของมัชฌิมประเทศเป็นสถานที่เกิด
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณาตระกูลต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีตอุบัติในตระกูลสูง คือ กษัตริย์หรือพราหมณ์ เวลานี้โลกยกย่องตระกูลกษัตริย์มากกว่าพราหมณ์ พระโพธิสัตว์จึงทรงเลือกศากยะราชตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนะกรุงกบิลพัสดุ์แห่งสักกชนบทเป็นตระกูลที่เกิด
พระโพธิสัตว์ทรงพิจารณามารดาว่า ผู้จะเป็นพุทธมารดานั้นต้องเคยตั้งความปรารถนาขอเป็นพุทธมารดามาก่อน และบำเพ็ญบารมีมาครบแสนกัปบริบูรณ์แล้ว พิจารณาแล้วจึงทรงเลือกพระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพุทธมารดา
ครั้นทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะแล้ว พระโพธิสัตว์จึงทรงรับอาราธนาของเหล่าทวยเทพ จุติจากสรวงสวรรค์ ไปปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา




พระโพธิสัตว์จุติ



ในครั้งนั้น กรุงกบิลพัสดุ์มีงานนักขัตฤกษ์เดือน ๘ พระนางสิริมหามายาทรงเข้าร่วมงานนักขัตฤกษ์ด้วย จนถึงวันเพ็ญบุรณมี พระนางตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ สรงสนานน้ำหอม บริจาคพระราชทรัพย์สี่แสนเป็นทาน แล้วสมาทานอุโบสถศีล
ราตรีนั้น เมื่อพระนางสิริมหามายาเสด็จเข้าที่บรรทม ทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ท้าวมหาราชทั้งสี่มายกพระแท่นบรรทมพาพระนางเหาะไปยังป่าหิมพานต์ มีพระเทวีของท้าวมหาราชทั้งสี่มาช่วยสรงสนานชำระล้างมลทินมนุษย์ในสระอโนดาต ให้ทรงผ้าทิพย์ ลูบไล้ของหอม แล้วพาไปประทับบรรทมในวิมานทอง ลำดับต่อมา มีช้างสีขาวจากภูเขาทอง มาเดินประทักษิณพระที่ไสยาสน์ของพระนาง ๓ ครั้ง แล้วเคลื่อนเข้าสู่พระครรภ์
วันรุ่งขึ้น พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้หาพราหมณ์ ๖๔ คน มาทำนายพระสุบินนิมิต พราหมณ์โหราจารย์กราบทูลว่า พระเทวีทรงพระครรภ์แล้ว เป็นพระครรภ์มหาบุรุษ ถ้าพระโอรสนี้ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าเสด็จออกบรรพชาจักได้เป็นพระพุทธเจ้า




บุรพนิมิต ๓๒ ประการ

ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิลงในพระครรภ์ของพระมารดานั้น หมื่นโลกธาตุได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งพัดวาลวิชนีที่กำลังโบก มีกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้ และเกิดความมหัศจรรย์บุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้นทั่วทั้งหมื่นจักรวาลพร้อมกัน คือ
๑. มีแสงสว่างแผ่ซ่านทั่วทั้งหมื่นจักรวาล
๒. คนตาบอดมองเห็นได้
๓. คนหูหนวกกลับได้ยิน
๔. คนใบ้กลับพูดได้
๕. คนค่อมกลับหายค่อม
๖. คนง่อยเดินได้
๗. เครื่องจองจำหลุดออกเอง
๘. ไฟนรกกลับดับ
๙. ความหิวกระหายของเปรตวิสัยกลับระงับ
๑๐. สัตว์ดิรัจฉานกลับไม่กลัว
๑๑. โรคทั้งหลายกลับสงบ
๑๒. สรรพสัตว์ทั้งหลายพูดจาน่ารัก
๑๓. ม้าต่างหัวเราะ
๑๔. ช้างต่างร้อง
๑๕. เครื่องดนตรีดังกังวาน
๑๖. เครื่องประดับเปล่งเสียงได้โดยไม่กระทบกัน
๑๗. ทั่วทุกทิศแจ่มใส
๑๘. มีสายลมอ่อนเย็น
๑๙. มีเมฆฝนตกลงมา
๒๐. มีน้ำพุจากแผ่นดิน
๒๑. นกหยุดบิน
๒๒. แม่น้ำหยุดไหล
๒๓. น้ำทะเลมีรสหวาน
๒๔. พื้นน้ำดารดาษด้วยปทุม ๕ สี
๒๕. ดอกไม้ทุกชนิดเบ่งบาน
๒๖. ดอกปทุมชนิดลำต้นก็บานที่ลำต้น
๒๗. ดอกปทุมชนิดกิ่งก็บานที่กิ่ง
๒๘. ดอกปทุมชนิดเครือเถาก็บานที่เครือเถา
๒๙. ดอกปทุมชนิดก้านก็ชำแรกพื้นศิลาทึบเป็นดอกบัวซ้อนๆ กันออกมา
๓๐. ดอกปทุมชนิดห้อยในอากาศก็บังเกิดขึ้น
๓๑. ฝนดอกไม้ตกลงมารอบด้าน
๓๒. มีเสียงดนตรีทิพย์บรรเลงในอากาศ
บุรพนิมิต ๓๒ ประการนี้ภายหลังยังปรากฏอีก ๓ ครั้ง คือ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ เมื่อตรัสรู้ และเมื่อแสดงปฐมเทศนา




ประสูติ

พระโพธิสัตว์เจริญอยู่ในพระครรภ์พระมารดา โดยประทับนั่งขัดสมาธิ พระนางสิริมหามายาสามารถทอดพระเนตรเห็นได้ ประหนึ่งว่าพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในห้องแก้ว ครั้นทรงพระครรภ์ได้ ๑๐ เดือน พระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงแต่งขบวนส่งเสด็จพระเทวีกลับไปนครเทวทหะ ตามพระประสงค์ของพระเทวีที่จะเสด็จกลับไปประสูติท่ามกลางพระญาติ
ครั้นเสด็จถึงลุมพินีวัน อันเป็นป่าระหว่างนครกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ พระนางสิริมหามายาเสด็จพักประทับที่โคนต้นสาละ เมื่อประทับยืนเพื่อผ่อนคลายพระอิริยาบถ กิ่งสาละก็โน้มลงมาให้พระนางทรงจับ
ขณะที่ประทับยืนเหนี่ยวกิ่งสาละอยู่นั้น พระนางสิริมหามายาเทวีก็ประสูติพระโอรสผู้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากรอยเปื้อนและมลทิน ดุจดังแก้วมณีที่วางบนผ้ากาสิกพัสตร์ เสด็จพุทธดำเนินจากพระครรภ์ประหนึ่งพระธรรมกถึกเสด็จลงจากธรรมาสน์ ดุจบุรุษลงจากบันได มีท้าวมหาพรหม ๔ องค์ถือตาข่ายทองมารองรับ แล้ววางพระโอรสลงต่อหน้าพระนางสิริมหามายาทูลว่า พระเทวีจงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรผู้มีศักดาใหญ่ของพระองค์อุบัติขึ้นแล้ว
ลำดับนั้น สายธารสองสายก็พลุ่งออกมาจากอากาศ สายหนึ่งเป็นธารน้ำอุ่น อีกสายหนึ่งเป็นธารน้ำเย็น สรงพระสรีระของพระโพธิสัตว์และพระมารดาให้อบอุ่น ต่อจากนั้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้รับพระโพธิสัตว์จากหัตถ์ท้าวมหาพรหมด้วยเครื่องปูลาดหนังเสือดาวอันอ่อนนุ่ม แล้วส่งต่อให้พวกมนุษย์ที่รองรับพระกุมารด้วยพระยี่ภู่ผ้าทุกูลพัสตร์




ประกาศอาสภิวาจา

พระโพธิสัตว์ประทับยืนบนแผ่นดิน ทอดพระเนตรตรวจดูทิศานุทิศทั้ง ๑๐ คือ ทิศใหญ่ทั้งสี่ ทิศเล็กทั้งสี่ ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง แลตลอดไปทั้งหมื่นจักรวาล ไม่แลเห็นผู้ใดที่จะเสมอเหมือนพระองค์อีก จึงเสด็จดำเนินไปทางทิศอุดร มีท้าวมหาพรหมตามกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามเทพบุตรถือพัดวาลวิชนี เทวดาเหล่าอื่นถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามเสด็จ
พระโพธิสัตว์หยุดประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงบันลือสีหนาทเป็นอาสภิวาจาว่า

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏโฐ เสฏโฐหมสฺมิ
อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว.
เราเป็นหนึ่ง เราเป็นยอด เราเป็นเลิศประเสริฐสุดในโลกนี้
การเกิดครั้งนี้ของเราเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย
ภพใหม่ต่อไปอีกไม่มีสำหรับเรา


บัดนั้น บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

และในขณะนั้นเอง สหชาติของพระโพธิสัตว์ ๗ ประการ ก็พลันอุบัติขึ้นพร้อมกัน คือ
๑. พระนางพิมพา คู่พระบารมี
๒. พระอานนท์ พระอุปัฏฐาก
๓. นายฉันนะ ผู้นำเสด็จบรรพชา
๔. กาฬุทายีอำมาตย์ พระสหายสนิท
๕. ม้ากัณฐกะ ม้าเสด็จบรรพชา
๖. ต้นมหาโพธิ์ ต้นไม้ตรัสรู้
๗. ขุมทรัพย์ทั้งสี่

ครั้นประสูติพระราชโอรสแล้ว พระนางสิริมหามายาจึงเลิกขบวน เสด็จกลับกรุงกบิลพัสดุ์





ที่มาเรื่องราวพุทธประวัติตอนนี้นำมาจากสองส่วน คือ จากอรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ตรงที่เรียกว่าทูเรนิทานและอวิทูเรนิทาน กับอีกส่วนหนึ่งมาจากพระสูตรชื่อมหาปทานสูตร
จริงๆ แล้วประวัติในอดีตชาติของพระโพธิสัตว์มีมากกว่านี้ เพราะพระองค์เริ่มตั้งความปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าตั้งแต่เมื่อครั้ง ๒๐ อสงไขยเศษแสนกัปก่อน คือก่อนเหตุการณ์ที่เล่าตอนต้นย้อนขึ้นไปอีก ๑๖ อสงไขย ซึ่งแม้จะดูว่านาน แต่ก็ถือว่าเร็วที่สุดสำหรับการจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะพระพุทธเจ้าอีกหลายองค์ต้องบำเพ็ญพุทธบารมีนานกว่านี้มาก ตัวอย่างเช่นพระศรีอาริยเมตไตรยที่จะมาตรัสรู้องค์ถัดไปนั้น พระองค์บำเพ็ญบารมีมานานถึง ๘๐ อสงไขยเศษแสนกัป นานเป็น ๔ เท่าของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเลยทีเดียว

ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องราวปาฏิหาริย์ในช่วงที่ยังเป็นพระกุมาร พร้อมกับข้อกังขามากมาย เช่น โกณฑัญญพราหมณ์ไม่ได้เป็นผู้ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเป็นคนแรกว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้เรียนวิชาจากครูวิศวามิตรสักหน่อย




Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2554 17:02:04 น. 13 comments
Counter : 1062 Pageviews.

 
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


โดย: Zen Entania IP: 203.131.208.115 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:00:33 น.  

 
แวะมาทักทายยามบ่ายแก่ๆ



โดย: gripenator วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:45:21 น.  

 
ความรู้ล้วนๆเลยครับ
ขอบคุณครับที่มาเยี่ยมที่บล็อก
เดี๋ยวนี้ชาวนาทำนาทุกฤดูกาล ยุงถึงชุม ในน้ำไม่มีปลากินลูกน้ำเหมือนแต่ก่อน ระบบนิเวศไม่เหมือนเดิม
ต้องทำใจครับ เรื่อง ยุงชุม



โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:18:16:45 น.  

 
อนุโมทนาสาธุครับ


โดย: shadee829 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:22:50 น.  

 
image by free.in.th

แวะมาทักทายยามดึกค่ะคุณอังคาร วันสองวันนี้มีเวลาเข้ามาbloggangน้อยมาก เพราะเตรียมsetชุด ขบวนกีฬาของ อบต.และเทศบาลในวันเสาร์นี้ แล้วจะนำภาพมาฝากกันนะคะ ระลึกถึงอยู่เสมอค่ะคุณอังคาร


โดย: เกศสุริยง วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:39:23 น.  

 


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:10:17:00 น.  

 

ขอบคุณกับบทความดีๆค่ะ


โดย: Sweety-around-the-world วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:35:03 น.  

 
แยะจริงๆด้วยแฮะ..แต่ก็อ่านเพลินทุกตอน..ขอโทษที่แวะมาทักทายกันช้านะค๊ะ ช่วงนี้ห่างบล๊อกแก๊งค์ไปนิ๊ดดด..

แต่ก็ระลึกถึงสำเมอค๊า..มีความสุขมากๆนะค๊ะ


โดย: Why England วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:0:42:24 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
วันนี้เรื่องยาวจัง แล้วจะมาอ่านอีกรอบนะคะ(รีบไปทำอาหารกลางวันค่ะ)


โดย: phunsud วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:11:44:35 น.  

 
หวัดดีค่ะ


โดย: TheShockTime วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:10:08 น.  

 
สวัสดีครับ ผมขอเสนอความเห็นนิด เพื่อจะทำให้ผู้อ่าน
อีกหลายคน รวมทั้งผมด้วย เกิดความนึกอยากอ่านและ
ติดตามได้ง่ายขึ้น

คือผมไม่แน่ใจว่า จะทำได้หรือมีข้อห้ามใดบ้าง

ผมเคยอ่านและศึกษาพระไตรปิฏกมาบ้าง เจอปัญหาใน
นั้น เป็นถ้อยวลี โบราณ ไม่มีประโยคที่เรียงแบบสมัยนี้
ถ้า นะครับ.

มีผู้ที่เรียบเรียงใหม่ เป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียนก็ได้
ทำให้เข้าใจง่าย เช่น "โกลาหล ๓" ถ้าเขียนขยายความ
อีกนิดคงจะดี เพราะพวกผมค่อนข้างด้อยปัญญานะครับ



โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:4:40:01 น.  

 
images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
ห่างหายไปเสียสองสามวัน มัวแต่ยุ่งกับเรื่องงานอยู่ค่ะ วันนี้ว่างสิ่งแรกที่ทำคืออัฟblogและนำรูปมาฝากกัน ระลึกถึงและขอบคุณมิตรภาพบนโลกไอทีค่ะคุณอังคาร


โดย: เกศสุริยง วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:38:35 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณอังคาร
สาธุ ค่ะ สาธุ


โดย: phunsud วันที่: 1 มีนาคม 2554 เวลา:18:49:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.