: : "อะไร" ที่เป็นบริทิช I : :
ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนมากมายเดินทางไปประเทศอังกฤษ บ้างก็ไปเรียน ไปทำงาน ไปดูฟุตบอล ไปช็อปปิ้ง ไปเที่ยว หรือไปตั้งถิ่นฐานที่อยู่ในประเทศนี้เลยก็มาก...
จนทุกวันนี้ อังกฤษหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ "บริเทนใหญ่" (Great Britain) ไม่ได้มีแต่คนบริทิชผมทอง ผิวขาวซีดๆ บุคลิกดูลึกลับหรือสงวนท่าที... แต่ยังเต็มไปด้วยชาวต่างชาติหลากสีผิว หลายเชื้อชาติ จากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะชาวเอเชีย และยุโรปตะวันออก ที่อาจจะถูกใจการใช้ชีวิตในบริเทนมากกว่าประเทศเดิมของตนเอง มาฝังตัวอยู่ในหมู่เกาะบริทิช จนมีลูกหลานหลายชั่วคน ส่วนใหญ่ได้สัญชาติบริทิช มีบ้านสวยงามน่าอยู่ในบริเทน และกลายเป็นพลเมืองของประเทศนี้ไปแล้วอย่างเต็มภาคภูมิ...
อย่างไรก็ตาม คนบริทิชรุ่นใหม่ในทุกวันนี้ อาจจะไม่ได้คุ้นเคยกับวิถีวัฒนธรรมแบบฉบับ "บริทิช"ที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น... ซึ่งบางครั้งก็ถูกมองว่ามีอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนประเทศอื่นเขา แต่บางอย่างก็ดูเป็นเสน่ห์น่าสนใจไปอีกแบบ...
ชวนให้เราพลอยเกิดความสงสัยไปด้วยว่า... เออ...แล้วอะไรล่ะที่ว่ากันว่าเป็น "บริทิช"...
เมื่อสงสัยแล้วก็เลยเกิดแรงบันดาลใจให้อยากรู้อยากเห็น เราเก็บความปะติดปะต่อมาจากหลายแหล่ง ทั้งจากประสบการณ์ส่วนตัว แหล่งข้อมูลจากคนรู้จัก และหนังสือจากท้องถิ่นเดิม (ไม่ใช่ฉบับแปลมาแน่นอน)... ลองไล่เรียงมาจาก A ถึง Z ก็พบว่า น่าจะมีอะไรให้ค้นพบอยู่ไม่น้อย บางอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นที่คุ้นเคย แต่บางอย่างไม่เป็นที่รู้จักเอาเสียเลย... ดังนั้น เราจะขอบันทึกไว้เฉพาะที่เราพอจะรู้จักๆ กันมั่งก็แล้วกัน...
วันนี้ ขอประเดิมบล็อกแรกด้วยตัวอักษร A ถึง E ตัวละ 1 เรื่อง... ซึ่งที่จริงแล้วในแต่ละตัวอักษรก็มีอีกหลายเรื่อง...เช่น... A - Apologising, Ale, Amateurism B - Bond (James), Britpop, BBC C - Custard, Class, Corner shop D - Dogs, Dog poo, Double-deckers, Dr Martens boots E - Empire, English Channel, Exploration ...etc... ว่างๆ จะได้เข้ามาเพิ่มเติมตัวอักษรอื่นๆ อีกเรื่อยๆ ตามแต่เวลาจะอำนวย... ...ขอขอบคุณ คุณ tuktikmatt สำหรับภาพการ์ตูนตัวอักษร A to Z น่ารักๆ...
A for Argos B for Bed and Breakfast C for Commonwealth D for Daffodils E for Eccentricity
"อาร์กอส" เป็นชื่อของเมืองท่าบนเกาะๆ หนึ่งของประเทศกรีซ ซึ่งได้ชื่อตามนักรบกรีกโบราณ... เรื่องปรัมปราอะไรพวกนี้เราไม่ค่อยถนัดเลยไม่อาจขยายความได้ คงต้องรอให้คุณน้องแห่งเมืองต้นโอ๊คเธอว่างๆ มาช่วยอนุเคราะห์เขียนเล่าให้ฟังกัน..เรื่องเทพปกรณัมนี่เธอถนัดนัก..
แต่ "อาร์กอส" ที่เราจะเขียนถึงนี้ เป็นชื่อของร้านขายสินค้าราคาประหยัดสำหรับคนบริทิชที่ไม่ค่อยมีสตางค์มากนัก... รวมทั้งนักเรียนไทยบางคนที่ไม่ค่อยมีตังค์เยอะๆ ด้วย... (แถวๆ นี้ก็มีอยู่คนนึงละ)
ไม่น่าเชื่อว่าหลายสิบปีผ่านไป กิจการอาร์กอสก็ยังคงดำรงคงอยู่ในบริเทนจนถึงทุกวันนี้ อาจจะปรับโฉมหน้าร้านไปบ้างเล็กน้อย แต่แนวคิดและกลยุทธ์การดำเนินงานของเขาก็ยังเหมือนเดิม เคล็ดลับความสำเร็จของอาร์กอส คือ กลยุทธ์ราคานั่นเอง..เอาชนะใจลูกค้าระดับรายได้บีลบลงมาได้อย่างราบคาบ วิธีการขายสินค้าของเขา คือ ให้ลูกค้าเข้าไปเลือกชมสินค้าจากแคตตาล็อกในร้าน ดูรูปบนหน้ากระดาษนั่นละ... ถูกใจพอใจสินค้าตัวไหนแล้วก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ แล้วก็ไปรอรับสินค้าที่แผนกรับของ... ในแง่ผู้บริโภค ต้องพกแว่นตาไปอ่านรายละเอียดสเปคสินค้าให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ส่วนใหญ่ ลูกค้ามักจะทำการบ้านมาก่อน คือใจคิดไว้แล้วว่าต้องการจะซื้ออะไร พอมาถึงร้าน ซึ่งมีแต่หน้าร้านโล่งๆ มีสินค้าโชว์นิดๆ หน่อยๆ พอเป็นน้ำจิ้ม กับมีแคตตาล็อกเล่มใหญ่วางไว้ให้ดู ลูกค้าก็เลือกของได้รวดเร็วในเวลาอันสั้น...ก็จะให้อ้อยอิ่งอะไรเล่า...ร้านเค้าไม่มีอะไรให้ดูชมเลยนี่นะ...
เนื่องจากอาร์กอสเป็นกิจการที่ประหยัดต้นทุนการดำเนินงานไปได้มากในงานจัดการค้าปลีกทั้งหลาย ทั้งในเรื่องการจัดแสดงสินค้า การโฆษณา การส่งเสริมการขาย ค่าจ้างพนักงาน ฯลฯ อาร์กอสจึงสามารถขายสินค้าบางอย่างที่หน้าตาเหมือนของในห้างหรูๆ ได้ในราคาถูกมากๆ... เราเคยซื้อของใช้จำเป็นประเภทกาต้มน้ำ เครื่องปิ้งขนมปัง หม้อข้าวหม้อแกงอะไรพวกนี้ละ ของคุณภาพดีและทนทานดีด้วยนะ ยังขนกลับมาเมืองไทยด้วยเลย...
จะว่าไปแล้ว แนวคิดของอาร์กอสนี่ก็ละม้ายคล้ายคลึงการช็อปปิ้งออนไลน์ในยุคสมัยนี้อยู่เหมือนกันนะ คือ คนซื้อไม่ต้องเจอหน้าคนขาย ไม่จำเป็นต้องเห็นของ แต่เลือกจากสิ่งที่เห็นด้วยสายตา... จ่ายสตางค์แล้วได้ของที่มีหน้าตาอาจจะผิดเพี้ยนไปจากภาพก็ค่อยว่ากันอีกที อาร์กอสเขาก็รับผิดชอบนะถ้าหากสินค้ามีตำหนิ มีปัญหา...
ที่พักแบบ "เตียงและอาหารเช้า" นี้จะมีต้นกำเนิดในบริเทนหรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจ เพราะเดี๋ยวนี้ที่พักแบบนี้ดูจะเป็นที่นิยมแพร่หลายในเกือบทุกประเทศทั่วโลกไปแล้ว ไม่ว่าไปเที่ยวบ้านไหนเมืองไหนก็มี "เบดแอนด์เบรคฟัสต์" เยอะแยะไปหมด
เดิมที่พักประเภท "บีบี" (เราเรียกเองแบบนี้ ไม่รู้คนอื่นเรียกไร) เป็นทางเลือกของคนงบน้อย เพราะราคาห้องพร้อมอาหารเช้าจัดว่าถูกกว่าโรงแรมสามดาวห้าดาวอยู่มาก แต่ระยะหลังนี้ เราเคยลองเช็คดูราคาบีบีที่บริหารโดยคนท้องถิ่น อาจดูแลโดยสามีภริยาที่เกษียณแล้ว เปรียบเทียบกับโรงแรมที่เป็นเครือข่ายข้ามชาติที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี ไม่ว่าเครือใหญ่บ้างเล็กบ้าง เราพบว่าค่าห้องของบีบีบางแห่งกลับแพงกว่าโรงแรมเชนเหล่านั้นเสียอีก ยิ่งบีบีในชนบทยิ่งแพงอย่างเหลือเชื่อ
แต่อย่างไรก็ตาม การพักบีบีโดยเฉพาะจำพวกบ้านฟาร์มในชนบท ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย จุดเด่นจุดแข็งของบีบี คือความเป็นท้องถิ่นและความเป็นกันเองฉันมิตร ที่หาไม่ได้ในโรงแรมใหญ่ๆ โดยเฉพาะบีบีที่เจ้าของทำเอง...หลายแห่งให้ความรู้สึกสบายในบรรยากาศแบบบ้านๆ แม้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างอาจจะขาดๆ ไปบ้าง ไม่ได้สบายร้อยเปอร์เซนต์เหมือนบ้านเราเอง ...ไปเที่ยวก็ต้องลำบากบ้างซินะ จะให้สบายไปทุกอย่างได้ยังไง...
เรื่องนึงที่เราให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ คือ...ห้องน้ำ ไม่ต้องใหญ่โตอลังการหรอก แต่ขอให้สะอาด ไม่มีกลิ่นร้ายกาจนัก มิดชิด ปลอดภัยเป็นใช้ได้ ..เข้าป่าหลังต้นกระบากใหญ่ไปเลยก็ยังไหวนะ...ลมเย็นสบายดีออก...ฮ่าๆๆๆ.... สมัยก่อนบีบีที่เราเคยไปพักไม่ค่อยจะมีห้องน้ำในห้องนอน ต้องออกไปเข้าห้องน้ำรวมข้างนอก คงเป็นเพราะบีบีส่วนมาก มักจะดัดแปลงมาจากบ้านพักของคนท้องถิ่น ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า บ้านช่องส่วนใหญ่ในบริเทน มักจะเป็นบ้านตึกทึบๆ แบบโบราณๆ ห้องน้ำห้องท่าก็โบราณ (และมีน้อยห้อง) ตามไปด้วย แต่ทุกวันนี้ได้ข่าวว่า บีบีเริ่มมีห้องน้ำในห้องนอนกันบ้างแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ค่าห้องพักแพงกว่าเดิมกระมัง...
อาหารเช้าที่รวมในค่าห้องของบีบี ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารเช้าคล้ายๆ กินในบ้าน กล่าวคือ มีไข่ (จะดาว คน หรือลวก หรือโพช - เอ..เขาเรียกว่าไข่น้ำหรือเปล่าไม่แน่ใจ - ก็สั่งคุณแม่บ้านเธอได้ตามใจ) มีขนมปัง เนย แยม กาแฟหรือชา นม น้ำผลไม้
แม้ว่าอาจจะไม่ครบเครื่องเท่า "อาหารเช้าแบบอังกฤษ" ที่ขายกันตามร้านอาหาร (ราคาหลายปอนด์นะนั่น) ซึ่งจะมีสารพัดของกินเต็มจานเบ้อเริ่มเทิ่ม มีทั้งเบคอน เบคบีน ไส้กรอก เห็ดผัด มะเขือเทศจี่ ฯลฯ แต่อาหารเช้าในบีบี ก็น่าจะมีอะไรให้รับประทานมากกว่า "อาหารเช้าแบบภาคพื้นทวีป"
...ขอแอบนินทา "ภาคพื้นทวีป" นิดนึงเถอะ... อาหารเช้าแบบคอนติเนนตัลในยุโรปส่วนใหญ่ มีเพียงขนมปังหลากชนิด เนย แยม นม กาแฟหรือชา ไร้โปรตีนและผัก...ซึ่งอาจจะเป็นเพราะวิถีชีวิตเขาเป็นอย่างนั้นเอง...เช้าๆ ไม่ต้องกินอะไรกันมากมายนัก มองโลกในแง่ดี...ไปยุโรปภาคพื้นทวีป ก็อร่อยได้กับขนมปังอบหอมอร่อยหลากหลายชนิดให้เลือก ที่ดีก็คือว่ามักจะมีขนมปังที่ทำจากแป้งไม่ขัดขาว ทั้งโฮลวีท โฮลเกรน ฯลฯ ที่มีวิตามินสูง ไม่ได้วิตามินจากผัก แต่ก็ยังได้วิตามินจากขนมปังแข็งๆ สากๆ ฝืดคอเหล่านี้หละน่า
เป็นที่ทราบกันดีว่าบริเทนใหญ่เป็นเจ้าแห่งอาณานิคม ครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน... เพราะฉะนั้นในวันนี้ คำว่า "เครือรัฐ" หรือ Commonwealth จึงเป็นอะไรที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความเป็นบริทิชที่ไม่มีใครเหมือน... มีอย่างที่ไหน เปิดแผนที่โลกมาดูแล้ว แทบทุกทวีปต้องมีประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของจักรภพอังกฤษจนได้...
ในปัจจุบัน ๕๓ ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษแยกตัวไปเป็นเอกราชกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ก็ยังมีหลายประเทศที่ยังให้ความเคารพนับถือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ และยังรวมตัวกันแบบหลวมๆ ด้วยความสมัครใจ เป็นลักษณะของ "เครือรัฐ" ที่มีเครือข่ายความร่วมมือกันในด้านส่งเสริมประชาธิปไตย เศรษฐกิจ สังคม การค้าขาย ฯลฯ
รายละเอียดเรื่องเครือรัฐนี่เราไม่ค่อยรู้เรื่องมากนัก...สนใจอยู่เหมืือนกันแต่ยังไม่มีเวลาศึกษา... มีแต่เบาะแสให้ผู้สนใจเชิญเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของเครือรัฐเขา... เชิญคลิกที่รูปธงชาติของเครือรัฐเขาด้านล่างได้เลย...
ดอกไม้สีเหลืองรูปทรงคล้ายแคทลียาที่ชื่อว่า แดฟโฟดิล นี้ เป็นดอกไม้ชนิดแรกที่เราพบเห็นทั่วไป ตามทุ่งหญ้าป่าละเมาะในชนบทของอังกฤษ เมื่อแรกเจอก็เป็นรักแรกพบเลยทีเดียว อู้ฮู..ดอกไม้อะไรนี่ช่างน่ารักจริง ขึ้นเป็นทุ่งสีเหลืองลออบานสะพรั่งเต็มไปหมด
Picture by courtesy of //www.guardian.co.uk
ต่อมาถึงได้รู้ว่าแดฟโฟดิลเป็นดอกไม้ที่มีความผูกพันเป็นพิเศษกับชาวเวลช์ เนื่องในโอกาสเทศกาลเฉลิมฉลองวันนักบุญดาวิด (St David's Day) แต่ที่แน่ๆ แดฟโฟดิลเป็นสัญลักษณ์แรกเพื่อบอกการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิในแต่ละปี เมื่อใดที่เห็นทุ่งหญ้าที่มีต้นแดฟโฟดิลเป็นตุ่มๆ เตรียมบานละก้อ ฮะฮ้า...อีกไม่ช้าไม่นาน ฤดูดอกไม้บานก็จะมาถึงแล้วซินะ...
สำหรับคนท้องถิ่น แดฟฯ ก็ยังเป็นเครื่องหมายเตือนใจบอกให้รู้ว่า "วันแม่" ใกล้จะมาถึงแล้ว และแดฟฯ ก็เป็นดอกไม้ที่คนเขาหาซื้อไปฝากคุณแม่กันด้วย (เราไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ เพราะแม่เราอยู่เมืองไทยนี่นา...นี่ฟังเขาว่ามา)
Picture by courtesy of //www.dailymail.co.uk
วันแดดใสๆ ในฤดูดอกไม้บาน เราก็มักจะมีกิจกรรมเช่นเดียวกับผู้คนแถวนี้ คือ ออกไปเดินเล่นนั่งเล่นนอนเล่นในสวนสาธารณะที่มีแดฟฯ บานสะพรั่ง เป็นบรรยากาศแห่งความสุขใจสบายตา ชวนให้อารมณ์รื่นเริงไปกับสีเหลืองอร่ามสดใสของแดฟโฟดิล ที่ชูช่อต้อนรับฤดูกาลอันสดชื่น...
สุดท้าย...แต่ไม่ท้ายสุด คือคำที่แปลกๆ พิลึก...ความหมายก็แปลกสมคำ...นั่นคือ Eccentricity ... ความหมายของคำนี้ เราก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ภาษาไทยอย่างไรดีจึงจะเหมาะสม เอาตามความเข้าใจ มันคงจะประมาณว่า "ความมีวัฒนธรรมเฉพาะตัวแบบแปลกๆ" (ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้...)
ผู้มาเยือนชาวต่างชาติมักจะไม่คุ้นเคยกับ "ความมีวัฒนธรรมเฉพาะตัวแบบแปลกๆ" ของคนบริทิช บางครั้งก็ขบขัน บางครั้งก็หมั่นไส้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนบริทิชเขาออกจะภูมิใจในเอกลักษณ์แปลกๆ ของเขาอยู่ไม่น้อย เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่มาก และเขาก็คิดว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่ควรได้รับการสืบทอดต่อไป... เราเองเคยมีประสบการณ์เรียนห้องเดียวกับคนบริทิช นอนห้องนอนเดียวกับ (สาว) คนบริทิช ก็รู้สึกขำๆ แต่ตอนหลังก็เข้าใจชินกับวิธีพูด วิธีคิด และวิธีการแสดงออกของพวกเขา บางอย่างก็รับไปใช้เองด้วย เช่น วัฒนธรรมการไม่อาบน้ำในวันหนาวๆ (หลายวันซะด้วย)...555...
วิธีสังเกตสังกาความ "แปลก" อย่างที่ว่า อาจจะดูได้จากวีธีการดำเนินชีวิตประจำวัน ลักษณะการพูด ถ้อยคำที่เลือกใช้ กิริยาท่าทาง พฤติกรรม การกินอยู่ หรือมารยาทสังคม ซึ่งทุกอย่างไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี เพราะเรื่องวัฒนธรรมนี่เราไม่ควรไปด่วนตัดสินใครจากมุมมองของตัวเราเองเป็นอันขาด... เราควรให้ความเคารพนับถือในวัฒนธรรมหรือสิ่งที่เป็นตัวของเขาเอง... เห็นอะไรแปลกหูแปลกตาแล้ว ก็ควรจะมีมารยาทในการหุบปากสนิทไว้เป็นดี จะได้คบกันได้นานๆ อย่าไปเปิดปากถามเชียวว่า...เธอ...เสื้อเหม็นจังใส่อยู่ได้ทำไมไม่ซัก.. หรือ...คุณป้าขา...อาหารนั่นน่ะมันเหม็นเน่าแล้วทำไมไม่ทิ้งซะที ฯลฯ
ลองเทียบดูกันง่ายๆ ก็ได้เอ้า...อย่างวัฒนธรรมการกินชีสกลิ่นตุ๊ยตุ่ยของเขา... กับรสนิยมการกินปลาร้าหรือสะตอของเรา... ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์กันและกันเลย... ของใคร ใครก็ว่าหอมละเนอะ...
...บันทึกวันสีม่วง... ..๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒..
วันนี้เป็นวันเสาร์ แต่เมื่อเช้าตื่นมาอย่างงงๆ คิดว่าเป็นวันอาทิตย์ โอ...ท่าเราจะอาการแย่แล้ว หลงวันลืมคืนได้ไงเนี่ย หรือจะเป็นอาการแรกเริ่มของอัลไซเมอร์ โดยปกติแล้ว วันไหนที่เรานอนน้อย วันนั้นจะมีอาการมึนๆ ปวดหัว หรือไม่ก็เบลอๆ อย่างนี้ละ ที่จริงแล้ว เราก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการนอนมาก อย่างน้อยต้องนอนให้ได้วันละห้าชั่วโมง เพราะการนอนมีประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ชำรุดสึกหรอ...เหี่ยวย่นยู่ยี่...บรื๋อ วันไหนปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นไข้หรืออ่อนเพลีย นอนหัวค่ำช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องกินยา เมื่อคืนมัวเขียนบล็อกเพลิน กว่าจะหลับปาเข้าไปเกือบตีสอง...เป็นไปได้ว่าหลงลืมเพราะนอนไม่พอ และอาจได้ของแถมเป็นตีนกา หน้าย่นอีกด้วยนะเรา...คืนนี้ต้องนอนหัวค่ำหน่อยละ ...คงยังไม่ถึงวัยอัลไซเมอร์หรอกน่า...ปลอบใจตัวเอง ยังมีภารกิจหนักหนาสาหัสมากมายรออยู่อีกตั้งเยอะ จะรีบแก่ไปได้ไง
ทริปไปทำงานที่ยะลาและนราธิวาสของทีมงานเรา เลือนไปเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้ คือประมาณ ๒๗ ถึง ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒...ดีเหมือนกันช่วงนี้จะได้รีบสะสางงานในเมืองกรุง ส่วนทริปอีสานใต้และอุบลฯ ก็ขยับไปเป็นสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคม การทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัดนี่ดีจริงๆ ช่วยเปิดโลกทรรศน์ให้คนที่ทำงานนั่งโต๊ะมานานๆ ได้รู้ได้เห็นโลกภายนอกว่า ตอนนี้ผู้คนในต่างจังหวัดเขาอยู่กันยังไง เขาคิดกันยังไง เขาทำมาหากินอะไรกัน เขามีปัญหาอุปสรรคอะไรกันบ้างไหม การฟังเขาบอกมา รายงานมา ไม่ใช่ข้อมูลที่แท้จริงเสมอไป เพราะผ่านการกรองมาแล้วหลายขั้นตอน และการลงไปดูด้วยตาตนเอง ก็ต้องไปแบบไม่ต้องมีปี่มีกลองประโคม จะได้ไม่มีรายการ "ผักชีโรยหน้า" ไง เราไม่ใช่คนประเภทวีไอพี...เป็นแค่คนทำงานระดับปฏิบัติงานธรรมดา เพราะฉะนั้นรอดตัวไปเรื่องเปิบผักชี
ที่แน่ๆ เราได้พบความจริงที่ดีดีและน่ารักหลายประการ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำมาหากิน ฤดูนี้เป็นหน้าฝน ชาวบ้านหว่านกล้าและถอนกล้ากันเสร็จเกือบหมดแล้ว อยู่ในระหว่างการปักกล้าดำนากัน เห็นนาข้าวที่มีกล้าต้นน้อยๆ ปลิวระบัดเต็มท้องทุ่งแล้วก็ชื่นตาชื่นใจ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวสดชื่น ฮะฮะฮ่า...ปีหน้าเรามีข้าวหอมมะลิอร่อยๆ กินแน่นอน...อย่าส่งออกนอกหมดละกันคุณพ่อค้าข้าวทั้งหลาย
สิ่งที่ได้พบเห็นมา ล้วนน่าชื่นชมยินดีในความตั้งใจและอุตสาหะของชาวบ้านที่ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต อย่างไรก็ตาม เรายังได้พบข้อเท็จจริงอันน่าตกใจหลายอย่าง...แม้จะไม่ใช่เรื่องของเราโดยตรงแต่เมื่อได้รู้ก็อึ้งไป ปัญหาอุปสรรคด้านความแตกต่างทางความคิด...เป็นเรื่องสามัญในโลกปัจจุบัน ที่ต้องทำใจและยอมรับ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนที่อยู่ภายใต้แผ่นดินเดียวกันจะต้องคิดอะไรเหมือนกันไปหมดเสียทุกอย่าง ...ก็เราไม่ใช่ "สังคมบอร์ก" ที่ทุกคนต้องคิดเหมือนกันไปหมดนี่นะ....
...บันทึกวันสีเหลือง... ..๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒..
วันแรกของการทำงานในสัปดาห์ที่สองเดือนกรกฎาคม ดูท่าทางว่าอาทิตย์นี้เราคงจะมีปฏิทินการทำงานที่แน่นขนัดเช่นเดิม ตราบใดที่ยังไม่สามารถแกะดินพอกหางหมูออกไปได้ เมื่อวานนี้..ขับรถตั้งแต่เช้าถึงเย็นยังกับแท็กซี่ควบกะ เหตุปัจจัยสำคัญเนื่องจากว่า เมื่อกลางสัปดาห์ก่อน คนข้างตัวขี่รถไปจ๊ะเอ๋กับจักรยานยนต์ (ที่ควบมาทางเอก) ทำให้รถเก๋งคันงาม (ที่มาทางโท) เสียหาย คนขี่สองล้อบาดเจ็บทางกายพอประมาณ แต่คนขับสี่ล้อดูจะเสียความรู้สึกทางใจไปไม่น้อย อย่างนึงคือตะแกยังงงๆ ว่าใครผิดใครถูก..แกว่าก้ำกึ่ง.. แต่เราว่าคนมาทางโทน่าจะต้องดูตาม้าตาเรือก่อนพุ่งรถออกไป ผลก็คือ..แกก็เลยไม่ยอมขับรถมาหลายวันแล้ว..เหมือนจะเสียเซลฟ์ไปเลย เราก็เลยปุเลงๆ ซะปวดเมื่อยแขนขาไปหมด... เรื่องนี้สอนใจให้รู้ว่า..ขับรถขับรา ต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา อย่าได้คาดคะเนว่า รถเขาจะหยุดให้เราไป รถในเลนข้างๆ จะไม่แฉลบออกมาเลนเรา ฯลฯ ....
..สุขสันต์วันจันทร์ค่ะ.. จะขับรถให้ดูคน จักรยานยนต์ สามล้อ แท็กซี่ ซาเล้ง รถเมล์ รถชาวบ้าน ฯลฯ ด้วยเน้อค้า...
Create Date : 11 กรกฎาคม 2552 |
|
15 comments |
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2552 0:29:26 น. |
Counter : 2725 Pageviews. |
|
|
|
อ่านบล็อกพี่แดงวันนี้
ได้ความรู้หลายอย่างกลับไปด้วยครับ อิอิอิ
สถานการณ์หวัดน่ากลัวนะครับ
เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่า
มาตราฐานสาธารณสุขของบ้านเรา
ยังคงมีปัญหา
และต้องทำงานเชิงรุกอีกมากเลยครับ