life sucks
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
29 กันยายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX6XXX


โอ้โห ทั้งสำนักข่าวช่อง 3 5 7 9 11 มากันอย่างครบครันราวกับปลาฉลามได้กลิ่นเลือด นักข่าวถ่ายรูป โทรทัศน์เก็บภาพสดๆเอาไว้หมด  นักศึกษาที่มุงดูอยู่บางคนถูกสัมภาษณ์ด้วยนักข่าวสาวสวยพรมน้ำหอมจนกลิ่นฉุน ผมมึนตึ๊บสุดชีวิตเลย เวียนหัวเหมือนถูกเหวี่ยงไปรอบโลกสักร้อยรอบ เท่าที่ผมต้องการในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะต้องการมาก่อน ที่ปรึกษาทางกฎหมายครับ ถึงผมจะบ้าแต่ผมไม่ได้โง่นะครับ ตอนเช้ามีพยานหลายคนเห็นว่าผมมีเรื่องชกต่อยกับมัน ผมเครียดก็เพราะอย่างที่บอกว่าผมเคยอ่านนิยายสืบสวนมาเยอะนั่นละครับ ใครที่คิดเยอะๆจินตนาการเก่งๆก็พอจะมองออกว่าเรื่องนี้จะต้องดำเนินต่อไปอย่างไร อย่างแรกเลยคือผมต้องยุ่งกับกลุ่มคนที่ผมเกลียดยิ่งกว่าแมลงสาบนั่นก็คือตำรวจ


ผมไม่รู้นะครับว่าตำรวจของประเทศอื่นมันเป็นอย่างไรแต่ระบบตำรวจเมืองไทยนี่มันบัดซบสิ้นดี ที่ผมด่าเพราะมันเป็นประสบการณ์ตรงของผมเอง ตอนอยู่บ้านนอกผมขี่มอเตอร์ไซค์ไม่สวมหมวกกันน็อคแม่งก็จับ มาอยู่กรุงเทพฯขับรถไม่คาดเข็มขัด คุยมือถือ เปลี่ยนเลนบนสะพาน แม่งจับหมด ความจริงผมก็เข้าใจครับว่ามันเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนน แต่ที่มันบัดซบสุดๆเพราะมันยัดเงินได้ ผับเทคแถวบ้านผมก็ส่งเสียงดังสร้างมลพิษให้กับผู้อยู่อาศัยโดยไม่ต้องให้เงินตำรวจด้วยซ้ำ เราก็เอาอะไรกับมันไม่ได้ไปฟ้องก็ไม่มีใครฟังเพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะเจ้าของผับมันเป็นตำรวจซะเอง ชนิดที่มีอำนาจล้นฟ้านั่นละครับ นี่ยังไม่รวมคนที่โดนยัดยา ยัดข้อหา จับแพะ วิสามัญผิดคน อุ้ม และอีกสารพัด ผมรู้สึกว่าพวกนี้มันไม่ได้ตั้งด่านเพื่อรักษากฏหมาย แต่มันตั้งด่านเพื่อไถเงินมากกว่า ผมโดนจับแต่ละทีก็ต้องคุยกับมันอย่างนอบน้อม ยื่นตังให้มัน ที่สำคัญต้องยื่นต่ำๆด้วยเพราะมันอายคนอื่นเห็น รู้ไหมครับว่าอะไรที่บัดซบยิ่งกว่าตำรวจที่รีดไถตัง (ผมยกมือขึ้น) ใช่ครับ...ที่เลวกว่าตำรวจก็คือประชาชนอย่างผมเองที่เสือกไปยอมให้ตังมันแทนที่จะยอมรับผิดชอบตามกฏหมาย บ้านเมืองเราไม่พัฒนาก็เพราะมีคนอย่างผมที่รักในสิทธิของตนโดยไม่รู้จักหน้าที่ ถึงตรงนี้ก็ต้องวนกลับไปที่ระบบการศึกษาและระบบสังคมที่ไม่ได้สอนให้คนรู้จักรับผิดชอบ ระบบศาสนาที่สอนให้คนเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นเวรกรรม


ผมไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม ผมเชื่อในเจตจำนงเสรี ผมเชื่อในตัวเอง ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ยังรักความสะดวกสบายนี่ครับไม่ใช่วีรบุรุษแบบคานธีหรือแมนเดลาที่จะยอมเข้าคุกเพื่ออุดมการณ์ บางครั้งผมก็เอาเปรียบสังคมเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง บางทีถ้าทนไม่ไหวผมก็ออกมาด่า ใช่ครับ...ผมมันกระจอก ผมมันก็ดีแต่เห่าหอนอยู่อย่างนี้ ถ้าประเทศไทยมันเจริญแล้วแบบที่ทุกคนในประเทศไม่ว่าจะรวยมาจากไหนก็โดนลงโทษเหมือนกันหมดไม่มีการคอรัปชั่นอีกต่อไป เมื่อนั้นละครับผมถึงจะสะดวกใจที่จะยอมให้ตัวเองอยู่ภายใต้กฏหมายจริงๆ ถ้าบ้านเมืองยังเป็นอย่างนี้ถึงพรุ่งนี้ผมจะดื่มเมาเจอด่านผมก็จะยัดเงินมันอีก ยัดมัน 3000 ยังดีกว่าเสีย 5000 แถมติดคอกอีกหนึ่งคืน แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือมันจะมีพรุ่งนี้สำหรับผมหรือเปล่าเนี่ยนะสิครับ ถ้าตำรวจคิดว่ามันเป็นการฆาตกรรม ผมคงเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกอย่างแน่นอน


 ผมหลบไปสูบบุหรี่อยู่หลังห้องน้ำเพื่อให้จิตใจสงบ สูบอยู่ครึ่งชั่วโมงหมดไปหนึ่งซอง แขนขาหยุดสั่นแล้วแต่หัวยังคงมึนอยู่ ผมค่อยๆเดินกลับไปยังจุดเกิดเหตุ ฝูงชนสลายไปแล้ว ศพหายไปแล้ว แต่รอยเลือดยังคงอยู่ตรงนั้น ตรงจุดนั้นยังมีเทปพลาสติกของตำรวจล้อมกรอบอยู่ราวพิธีกรรมกักวิญญาณ ถ้าเข้าไปดูใกล้ๆจะเห็นรอยคอนกรีตร้าว เลือดกระจายอยู่ตรงนั้นซึมเข้าไปในจุดที่ร้าวนั้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม สมองผมยังเบลอพอที่จะอุปมาภาพของไอ้วิศวะซ้อนทับกับภาพรอยเลือด


อย่าว่าผมเป็นคนเลือดเย็นเลยนะครับ ยอมรับว่าความรู้สึกในตอนนั้นไม่ได้สงสารหรืออาลัยอาวรณ์มันเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความรู้สึกกลัว กลัวกับอนาคตที่ผมต้องสู้กับระบบที่ผมยังมองไม่เห็น ทั้งระบบตำรวจ ระบบศาล มันต้องผ่านกระบวนการยุ่งยากขนาดไหน คนอื่นจะมองผมยังไง แล้วพ่อแม่ผมอีกล่ะ ทั้งหมดนี้มันสร้างความเครียดให้ผมจนหัวแทบระเบิด ที่สำคัญคือผมต้องตั้งสติ มองไปรอบๆเห็นตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบเดินกันให้วุ่น นักศึกษาจับกลุ่มคุยกันด้วยความเงียบที่วังเวง ตึกที่เขากระโดดลงมาเป็นตึกสูงขนาด 20 ชั้น ผมไม่รู้ว่ามันต้องตกมาจากชั้นไหนถึงจะทำให้กระโหลกแตกได้ขนาดนั้น ผมอยากรู้ว่ามันเป็นการฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย ถ้ามันเป็นการฆาตกรรมคำถามคือใครฆ่า แล้วถ้ามันเป็นการฆ่าตัวตายคำถามก็คือเขาฆ่าตัวตายเพราะอะไร เพราะถูกอัดถั่วข่มขืน อับอายเพราะถูกถ่ายวีดีโอแบล็คเมล์ ผมต้องสืบจนรู้ให้ได้เพราะมันเป็นความอยู่รอดของผม เป็นความเป็นความตายของผม ถึงแม้พวกคุณรู้ว่าผมบริสุทธิ์แต่ตำรวจไม่รู้


ใช่แล้ว! มีอีกคนหนึ่งที่เป็นพยานที่สามารถยืนยันสถานที่และเวลาให้ผมได้ แม่สาวคนนั้น! น่าเสียดายที่ผมควรจะถามชื่อเธอ ถึงแม้เธอจะเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ผมฟังมากมายแต่เชื่อไหมครับว่าเราไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของกันและกัน ผมว่าความรู้สึกระหว่างเธอกับผมคงเป็นได้เพียงคนแปลกหน้า เพราะคนเราบางครั้งจะกล้าเล่าความลับของตนเองให้กับคนแปลกหน้าเท่านั้น เพราะคนแปลกหน้าไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เธอเพียงแค่ต้องการระบายเรื่องราวโดยไม่ได้ต้องการจะรู้จักผมเป็นการส่วนตัว แต่ตอนนี้ผมต้องรู้จักเธอเป็นการส่วนตัวแล้วล่ะ แม่สาวคนนั้น พยานคนเดียวของผม


เธอสำคัญก็จริง แต่หมอฟันของผมเคยสอนว่าก่อนจะจัดฟันก็ต้องถอนฟันซี่ที่เป็นปัญหาออกก่อน ถ้ามีสติจริงๆจะรู้ว่าปัญหาของผมตอนนี้คือข้อมูลครับ ผมแทบจะไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นเรื่องที่ผมต้องทำเป็นอันดับแรกคือการหาข่าว และแหล่งข่าวที่สำคัญที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกลุ่มคนที่คลุกคลี มีเครือข่ายในการนินทาเรื่องลับเรื่องลวงเรื่องซุบซิบที่ส่งต่อกันไปอย่างรวดเร็วด้วยระบบเครือข่ายไร้สาย เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงเดินไปหายามหนุ่มไฟแรงใต้ตึก (ที่รู้ว่าไฟแรงเพราะชุดสีกากีรีดเรียบและรองเท้าหนังขัดเงาวับ) ผมเห็นพี่ยามกำลังยืนยืดกอดอกอยู่หน้าตึก ผมจึงเข้าไปยืนข้างๆแล้วจึงเริ่มเจรจาพาที


“พี่ครับ ตรงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นอะครับพี่ ทำไมเค้าต้องเอาอะไรมากั้นอย่างนั้น?” ผมถามด้วยความนอบน้อมแบบเฟกๆของผม (เป็นเรื่องปกติ ถ้าอยากได้อะไรจากใครก็ต้องมามุกละครับ)


“นักศึกษากระโดดตึก” พี่ยามเขาก็ตอบผมตรงๆ “ตำรวจเขาเลยกั้นเอาไว้”


“โห! จริงหรอครับพี่” ผมนี่มันโครตเฟกเลย “ตายหรือเปล่าครับ”


“จะเหลือหรอน้อง โดดมาจากชั้น 18 หัวนี่เหมือนลูกแตงโมถูกทุบ” อืมม... ผมพยายามรวบรวมข้อมูล ชั้น 18 แต่ที่ว่าหัวเหมือนแตงโมนี่มันเกินไปจริงๆ


“จริงหรอพี่ พี่เห็นกับตาเลยหรอ”


“เห็นสิครับพี่น้อง พี่กำลังเดินตรวจรถที่ไม่ได้ติดตราอยู่ ไอ้เด็กคนนั้นมันร่วงลงมาห่างจากพี่ไม่ถึงเมตร คือแบบถ้าพี่หลบไม่ทันนี่พี่โดนทับตายไปแล้ว” พี่ยามพูด(เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มสนุกปากแล้ว) “พี่เป็นคนแรกที่โทรบอกตำรวจ”


ผมคิดในใจ ไอ้พี่นี่แม่งโคตรขี้โม้เลย


“แล้วพี่รู้หรือเปล่าครับว่าเขากระโดดลงมาเองหรือยังไง?” ผมเริ่มกระบวนการเจาะข้อมูลสำคัญ


“พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่เขาตอบพร้อมกับเช็ดตรายามบนหมวก “ตอนนี้พวกคุณตำรวจเขากำลังเดินหาข้อมูลอยู่” พี่เขาชี้กราดไปหลายจุดที่ตำรวจกระจายกัน “แต่อย่าว่าอย่างงั้นอย่างนี้เลยนะ พี่รู้เลยว่าไม่เครียดเรื่องเรียนก็เรื่องแฟนนะแหละ พี่เคยเป็นยามคอนโด หนุ่มสาวทะเลาะกัน หนุ่มน้อยใจจัดกระโดดตึกเลย เป็นข่าวใหญ่โตเลยตอนนั้น แต่เดี๋ยวพี่ต้องทำงานต่อก่อนนะ คุณตำรวจเขาให้พี่ยืนดูตรงนี้เอาไว้ ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง เอาละน้องเห็นทีพี่ต้องทำหน้าที่พลเมืองดีต่อล่ะ”


ผมขอบคุณเขาแล้วก็เดินขึ้นตึกไป ผมเห็นนักข่าวถ่ายรูปจุดเกิดเหตุ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปถ่ายรอยเลือดทำไม เพราะปกติแล้วนักข่าวพวกนี้หูไวตาไวมาเห็นถ่ายรูปศพทุกที บางทีนักข่าวผู้นี้อาจจะมาจากหนังสือพิมพ์เล็กๆ เส้นเล็กๆ ข่าวจึงไปถึงหูช้า ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเสียดายหรือเปล่าที่ไม่ได้เก็บภาพรูปศพหัวแตงโม แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแน่คือพรุ่งนี้เช้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องลงข่าวหน้าหนึ่งถึงโศกนาฏกรรมนี้ พาดหัวต้องมาในแนว –กระโดดดับเด็กวิศวะมหาลัยดัง- ข่าวโทรทัศน์ภาคเย็น ภาคค่ำ ก็ต้องลงเรื่องราว ทุกแง่มุมในชีวิตของเขาก็จะถูกขุดขึ้นมาขุดลึกยิ่งกว่าการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน สส คอรัปชั่นเสียอีก และก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเรื่องนี้อาจจะสาวมาถึงผมในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ ผมเริ่มเครียดขึ้นมาจนปวดท้องอีกแล้ว เอาละผมต้องเริ่มหาทางหนีทีไล่ก่อน


ผมพยายามเดินเลี่ยงจุดที่มีกล้องวงจรปิดเพื่อขึ้นไปบนตึก ผมทำไปทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะหนีกล้องวงจรปิดไปเพื่ออะไร อาจจะดูหนังมากเกินไป แต่เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองครับ และนั่นทำให้ผมต้องเดินขึ้นบันไดหนีไฟ กว่าจะถึงชั้น 18 ก็ขาลาก ลิ้นห้อย เหงื่อหงดย้อยด้วยความร้อน ต้นขาก็ปวดเมื่อยไปหมด เรื่องนี้สอนผมให้รู้ว่าอย่าดูหนังมากไปจนโอเวอร์เพราะถึงแม้ผมจะอนทนเดินขึ้นมาถึง 18 ชั้นแต่พอถึงและเปิดประตูหนีไฟเพื่อออกไปข้างนอก ผมก็พบกับตำรวจนายหนึ่งพอดี เขาเรียกผมไว้และถามว่าผมไปทำอะไรตรงนั้น ผมก็โกหกไปว่าผมเพิ่งออกมาจากชั้น 17 เดินมาทางนี้เพราะขี้เกียจรอลิฟท์ เขาก็ไม่ถามอะไรมากมายครับ ไม่ได้ถามว่าผมเกี่ยวข้องกับผู้ตายหรือไม่ หรือขอจดชื่อผมไว้เหมือนในหนัง เท่าที่เขาทำก็เพียงเดินตรวจรอบๆ ผมเดินไปจนถึงจุดที่มีตำรวจเยอะๆ มันเป็นห้องสมุดของภาคเคมี พอผมกำลังจะเข้าไปตำรวจอีกนายหนึ่งก็กันผมออกมาแล้วบอกว่าผมยังเข้าไปไม่ได้เพราะตำรวจกำลังเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ


 “มันเกิดอะไรขึ้นหรอครับพี่” ผมถามคุณตำรวจเหมือนไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน เป็นอีกครั้งที่ผมต้องตีหน้าซื่อถามไป ซึ่งผมก็รู้ว่าการโกหกอย่างนี้อาจจะส่งผลเสียในภายหลัง แต่มันจะมีทางเลือกอะไรบ้างละครับ


“มีคนตกตึกตายครับน้อง” นายตำรวจตอบ เขาเป็นตำรวจวัยกลางคน มีพุง แต่ก็คงไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากเพราะเราคงได้เจอกันแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่การที่เขาตอบว่า-มีคนตกตึกตาย- แสดงว่าทางตำรวจยังไม่รู้ว่ามันเป็นการฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย


“กระโดดตึกหรอครับ” ผมถามออกแนวชี้นำ


“ยังไม่รู้เลยน้อง” นายตำรวจตอบพร้อมกับทำสีหน้ารำคาญ และผมเองก็รู้ตัวว่าถึงเวลาสมควรที่ต้องไปแล้วจะได้ไม่น่าสงสัย ผมกล่าวขอบคุณเขาแล้วจึงเดินไปปะปนอยู่กับกลุ่มนึกศึกษาที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น


ก่อนที่ผมจะคิดลงมือทำอะไรต่อไป มันสำคัญอย่างยิ่งที่ผมต้องจัดระเบียบความคิดเพื่อให้มองเห็นภาพรวมของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพื่อจะได้วางแผนรับมือให้เหมาะสม ผมตื่นเต้นมากๆครับ ผมเป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุงที่อายุเพียง 19 ขวบ ผู้ซึ่งไม่รู้ว่าตนเองกำลังต่อสู้อยู่กับอะไร มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ ไอ้วิศวะมันอาจจะแค่กระโดดตึกตาย แต่ยังไงผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าผมมีศัตรูคือการต่อปากต่อคำกับไอ้วิศวะเมื่อเช้านี้ที่ทำให้รู้ว่ามีการใส่ร้ายป้ายสีผมอยู่ ไม่ว่ามันจะใส่ร้ายผมเรื่องอะไร แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร เรื่องนี้ก็มีคนต้องสังเวยชีวิตกับมันไปแล้ว แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ข้อสรุปอย่างแรกคือผมไม่ควรประมาท


ตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อยจากการโง่ที่เดินขึ้นตึก 18 ชั้นและอยากนั่งพักสงบๆ แต่พอนั่งไปสักพักก็เริ่มหลอนสิครับ คนเราเวลามันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ปกติมันก็ไม่มีอารมณ์มานั่งชมนกชมไม้ พอนั่งเฉยๆก็เครียดก็คิดมาก และมันทำให้ผมต้องลุกขึ้นไปหาอะไรทำ พูดง่ายๆก็คือผมไม่สามารถอยู่เฉยๆปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไร ดังนั้นผมจึงยืนขึ้น เดินไปสำรวจรอบๆตึก


อย่างที่ผมบอกนั่นละครับ ตึกนี้เป็นตึกสูง 20 ชั้นและมีคนเข้าออกพลุกพล่าน คือเป็นตึกที่เด็กปีหนึ่งต้องเข้าเรียนวิชาเบื้องต้นของวิศวะ พวกวัสดุศาสตร์หรือกลศาสตร์ ชั้นบนๆก็จะเป็นที่ตั้งของห้องสมุด ห้องของภาคต่างๆ ห้องแลป และห้องพักอาจารย์ ซึ่งมีคนเดินเข้าออกห้องต่างๆอยู่ตลอดเวลา ที่น่าสงสัยก็คือการที่ตำรวจบอกว่ายังไม่สามารถสรุปได้ว่ามันเป็นฆาตกรรมหรือไม่ ที่สรุปไม่ได้ก็เพราะว่าไม่มีใครเห็นตอนไอ้วิศวะตกลงไปตายทั้งๆที่ตรงนั้นมันเป็นห้องสมุดภาคที่น่าจะเป็นจุดที่คนพลุกพล่านมาก หรือว่ามันมีจุดอับที่ไม่มีคนเห็น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงจดลงไปในกระดาษว่าผมจะกลับมาตรวจสอบเรื่องนี้ในภายหลัง


อยู่ดีๆผมก็รู้สึกอยากตะโกน มันเป็นความรู้สึกอัดอั้นสุดๆที่อยากจะตะโกนบนหน้าผาที่เสียงของผมจะสะท้อนก้องกลับไปกลับมา ผมอยากจะเอาไม้เบสบอลไปฟาดกระจกให้หมดเพื่อระบายความเครียด มันเป็นความเครียดครับ... แล้วผมรู้สึกเลยว่าสติผมอาจจะขาดไปเมื่อไรก็ได้ถ้ามีแรงกดดันในชีวิตมากกว่านี้ เรื่องราวมันบ้ามากๆ ผมเองก็ไม่ค่อยจะปกติอยู่แล้ว มันก็เลยจะพากันออกทะเลไปใหญ่ แต่ผมจะไม่ยอมเข้าคุก ฆ่าผมให้ตายแต่ผมจะไม่ยอมเข้าคุก ผมต่อยผนังดังปัง! เฮ้ย... ผมถามตัวเอง... หรือกูบ้าไปแล้ววะ






Free TextEditor




 

Create Date : 29 กันยายน 2552
2 comments
Last Update : 30 กันยายน 2552 1:59:41 น.
Counter : 340 Pageviews.

 

เรื่องจริงหรือเปล่าคะเนี่ย . .. ลุ้นจัง

 

โดย: peeshin 29 กันยายน 2552 15:19:45 น.  

 

น่าติดตามมากเลยค่ะ ^^

ชอบๆ

 

โดย: kirill 29 กันยายน 2552 21:44:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]