life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
3 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX10XXX


“จำได้ครับผม” ผมตอบเธอไปด้วยน้ำเสียงที่สุภาพชนพึงกระทำ “มีอะไรให้รับใช้ครับ”  


เอาผมอีกแล้วสิครับเธอคนนี้ อะไรมันจะร้องไห้ได้มากมายขนาดนั้น ผมเบื่อจริงๆครับผู้หญิงที่บ่อน้ำตาตื้นจนเกินงามเนี่ย ผมถอนหายใจแล้วนับ 1 2... 10 แค่นั้นละครับที่ผมจะให้เวลาเธอคร่ำครวญ


“แฟนทิ้งคุณไปใช่ไหม” ผมถามไปตรงๆ เพราะจะมีสักกี่เรื่องละครับที่จะทำให้คนเราทุกข์ทรมานกับชีวิตในสภาวะสันติได้มากมายขนาดนี้ ผมก้มหัวลงไปเกือบใต้โต๊ะและคุยด้วยเสียงกระซิบ 


“หนูให้เขาทุกอย่าง” เธอพูดราวกับกรีดร้อง และเธอก็พูดเพียงเท่านั้นละแล้วจึงร้องไห้ต่อไป


มันก็เห็นๆกันอยู่แล้ว ผมไม่ยอมให้เธอทำให้ผมเสียเวลานานนักหรอกครับ ไม่อยากจะพูดมากหรืออยากจะอวดอะไรหรอกนะครับ แต่สำหรับผมแล้วผมค่อนข้างจะผ่านประสบการณ์ความรักมาอย่างโชกโชน มีทั้งไปหักอกเค้าและโดนเค้าหักอก จนรู้ครับว่าความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานมักจะประกอบด้วยสองส่วน หนึ่งคือความรักความเข้าใจ สองคือแทกติค แล้วผมค่อยกลับมาคุยเรื่องนี้ทีหลังนะครับ ตอนนี้ผมคงต้องจัดการเรื่องวุ่นวายใจที่อยู่ตรงหน้าก่อน


“คุณครับ” ผมเรียก “หยุดร้องไห้ก่อนได้หรือเปล่า?”


ผมถามไปแต่ก็ดูเหมือนเธอไม่ได้ยิน หรืออาจจะไม่สนใจ เธอยังคงร้องไห้คร่ำครวญของเธอต่อไป ผมเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดที่จะต้องมานั่งฟังใครร้องไห้ทางโทรศัพท์ และการอยู่ในห้องเรียนก็ทำให้พูดคุยได้ไม่สะดวกนัก ผมจึงขอตัวออกจากห้อง แล้วจึงเริ่มพูดเสียงดังขึ้นด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างจะเสียเลยทีเดียว สาเหตุที่ผมอารมณ์เสียก็เป็นเพราะผมเดาแล้วว่ามันจะต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น กับผู้หญิงที่ไม่เป็นตัวของตัวเองและทำเพื่อผู้ชายทุกอย่างจนกลายเป็นของตายที่หาคุณค่าได้น้อยมาก เมื่อคุณกลายเป็นของตายคุณก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป สุดท้ายคุณก็โดนทิ้งไปตามระเบียบ ผมละอยากเปิดสายตรงปรึกษาปัญหาความรักแข่งกับสายด่วนทำนายดวงชะตาด้วยไพ่ทาโร่เหลือเกิน ผมจะได้หาเงินเองได้และเลิกเรียนสักที


“คุณครับ” ผมเรียกเธอดังๆ (เพราะกับคนบางประเภทเราก็ต้องตบให้เข้าเรื่องด้วยภาวะการเป็นผู้นำ) “ถ้าคุณยังร้องไห้อยู่อย่างนี้ผมก็ไม่รู้เรื่องสิครับ” ถึงผมจะรู้ว่า... สมมุติว่าเรากำลังจะให้คำปรึกษาใครเราก็ต้องใช้ความอดทนเพราะบางครั้งคนๆนั้นเค้ากำลังอยู่ในความทุกข์และเขาก็ต้องการการปลอบโยน ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วผมก็ควรจะพูดจาให้นุ่มนวลสุดๆทะนุถนอมแบบบัวไม่ให้ช้ำ แต่... แต่... แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้ครับ เพราะผมไม่ใช่คนดีและก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษขนาดนั้น และผมก็จะพูดกับเธอตรงๆ


“นี่หมูน้อย ผมเรียกเธอด้วยชื่อของเธอ และผมจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองด้วย “นี่ถ้าเธอยังไม่เลิกร้องไห้ไม่รู้เรื่องอย่างนี้เราคงไม่คุยด้วยแล้วนะ


เจอความเด็ดขาดของผมเข้าเธอก็หยุดสิครับ


“ได้ค่ะ” เธอตอบผม ยังคงได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นนิดๆ แต่ผมรู้สึกโอเคขึ้นเพราะอย่างน้อยเธอก็ได้พยายามควบคุมตัวเองบ้างแล้ว


“โอเคจ้ะ” ผมจะใช้ภาษาเป็นกันเองกับเธอแล้ว “คือเราว่าเธอค่อยๆเล่าให้เราฟังหน่อยละกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ยังไงผมก็ยังอยากให้เธอเล่าออกจากปากถึงแม้พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้วก็ตาม


 “เมื่อวานนี้หนูเปิดดูโทรศัพท์เค้าแล้วเจอแมสเสจ ของผู้หญิงอีกคน” เธอเล่าเสียงสั่นๆ “พอหนูถามเค้า เค้าก็บอกเฉไฉว่าเป็นเพื่อน แต่เพื่อนที่ไหนจะบอกรัก บอกคิดถึง พอหนูเริ่มจะโกรธเค้าก็โกรธตอบและถามว่าหนูไม่ไว้ใจเค้าเลยใช่ไหม หนูก็พูดอะไรไม่ออก และพอวันนี้เค้ายังไม่ยอมรับโทรศัพท์หนูเลย”


ผมว่าด้วยความทุกข์ที่เธอได้รับมันอาจจะทำให้เธอยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่ค่อยมีเหตุผลนะครับ เอาล่ะ.... อย่างน้อยทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด เธอโดนแฟนทิ้งแน่ๆแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะให้คำปรึกษาอะไรได้ อย่างแรกเลยคือ... เราต้องเริ่มจากการวิเคราะห์บุคลิกภาพของเธอก่อน


เท่าที่ผมใช้เวลาเกือบทั้งคืนกับเธอในการพบกันครั้งที่แล้วทำให้ผมสามารถสรุปได้ว่าเธอเป็นคนหัวอ่อนครับ เป็นเด็กหัวอ่อนอย่างบัดซบเลยทีเดียว คุณคิดดูสิครับ จะมีใครที่ไหนอยากได้เงินก็มาขายตัวที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาลัย  สมมุติว่าในคืนนั้นเธอเกิดโชคร้ายเกิดเจอโจรขึ้นมาแทนที่จะเจอผม ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้แล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะจัดเธอคนนี้ให้อยู่ในกลุ่มไหน จะว่าสก็อยก็ไม่ใช่ โสเภณีก็ไม่ใช่ สรุปว่าเธอน่าจะเป็นแค่สาวฐานะไม่ค่อยดีนักที่อินโนเซนแบบหลุดโลกคนหนึ่งที่ผมรู้จัก 


เธอคนนี้เป็นคนแบบที่เพียงแค่เจอกันไม่กี่นาทีผมก็สามารถใช้ความเหนือกว่าทั้งทางธรรมและทางโลกควบคุมเธอได้อย่างเบ็ดเสร็จ สั่งอะไรก็ทำ พาไปไหนก็ไป เงินได้มาก็เอาไปให้แฟนจนหมด แฟนเธอก็คงเอาไปใช้หนี้พนันแล้วก็คงจะเริ่มพนันอีกเพราะเงินมันสั่งได้ขนาดนั้น ไอ้ที่เธอหาเงินให้แฟนแล้วหวังจะให้ผู้ชายมันสำนึกบุญคุณนี่รอชาติหน้าตอนบ่ายๆเถอะครับ ยิ่งคุณทุ่มเทให้กับมันมากเท่าไร ยิ่งยอมมัน ให้เงินมันใช้ มันก็ยิ่งลำพองว่ามันเก่ง เป็นชายหนุ่มแบบที่มีเสน่ห์ เป็นเสือผู้หญิงหลอกให้ผู้หญิงรักได้ง่ายๆ เป็นเทพเจ้าแห่งความเจ้าชู้ที่ชายหนุ่มทุกคนต้องอิจฉา ไอ้พวกนี้สุดท้ายก็จะปั่นหัวผู้หญิงได้ราวกับแมงดาทะเล ส่วนผู้หญิงที่หลงมันก็จะเสียทั้งตัวเสียทั้งหัวใจ


ที่ผมสามารถมาพูดได้ตอนนี้ก็ต้องยอมรับครับว่าผมรู้จักผู้ชายเลวๆเพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ชายเลวๆเหล่านั้นเหมือนกัน สไตล์อย่างผมนี่ถ้าเป็นในหนังเกาหลีก็คงเป็นพวกผู้ชายเลือดกรุ๊ป B ละครับ แบบที่ว่าเมื่อแรกรักก็ทุ่มเทเต็ม 100% เทคแคร์เอาใจสารพัดจนผู้หญิงรัก พอผู้หญิงเริ่มรักแล้วเราก็เริ่มเบื่อจนกลายเป็นการทำร้ายจิตใจเค้า บางคนอาจจะคิดไปจนเกินเลยขนาดว่านั่นเป็นการฟันแล้วทิ้ง สไตล์พวกเลวร้ายทำลายผู้หญิงซึ่งเป็นเพศแม่อะไรอย่างนี้ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ครับ (ใช้หลักเหตุผลและประสบการณ์ของคุณเป็นตัวตัดสินนะครับว่าที่ผมพยายามจะอธิบายมันเป็นแค่ข้ออ้างหรือเปล่า) พวกเราแค่เบื่อง่ายเฉยๆ อย่างคำสุภาษิตว่า เมื่อแรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่สำหรับผู้ชายเลวๆอย่างผมนี่ช่วงเวลาแรกรักมันสั้นสุดๆไปเลยละครับ สำหรับผมแล้วถามว่าชีวิตนี้เป็นฝ่ายได้เปรียบตลอดเลยหรือ? ผมคงตอบได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะในความสัมพันธ์กับหญิงสาวพวกนั้นทั้งหมดก็มีบางนางที่เป็นความสัมพันธ์ที่เรียกได้ว่ามันเป็นรักจริงครับ แต่มันก็เหมือนเป็นเวรกรรมตามทันในชาตินี้ เพราะเวลาผมรักใครสิ่งที่ผมเคยทำเลวไว้กับผู้หญิงคนอื่นก็มักจะย้อนกลับมาคืนสนองผมเสมอ สรุปคือเมื่อไรก็ตามที่ผมเริ่มรักใครจริงผมก็จะโดนทิ้งอยู่ร่ำไป และประสบการณ์เหล่านั้นทำให้ผมเกิดพุทธิปัญญานำมาสร้างทฤษฎีเกม ซึ่งเป็นทฤษฎีการคุมเกมที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติตลอดชีวิตรักที่เหลือของผม ส่วนทฤษฎีนี้จะเป็นอย่างไรนั้นผมขออนุญาตอธิบายให้ฟังในภายหลังนะครับ เพราะบางทีเราต้องลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ออก ตอนนี้สาวท่านนี้กำลังรอคำแนะนำของผมอยู่อย่างทุรนทุรายจนความโกรธในตอนแรกเริ่มจะเปลี่ยนเป็นความสงสารเสียแล้ว


“ตั้งแต่เธอจับได้ว่าเขามีคนอื่นนี่เธอยังไม่ได้คุยกับเขาเลยหรอ?” ผมถาม


“ยังเลยค่ะ” เธอตอบ “หนูโทรไปเขาก็ไม่รับ โทรไปหลังๆก็เริ่มตัดสาย พอโทรถี่มากๆเข้าเขาก็ปิดเครื่อง ตอนนี้หนูเครียดมากเลยค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไปที่บ้านเขาก็ไม่อยู่ หนูไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่กับผู้หญิงอื่นหรือเปล่า และถ้าเขาเป็นอย่างนั้นหนูจะทำอย่างไร หนูมืดแปดด้าน”


คือผู้ชายคนนี้ คนที่เป็นแฟนเธอนั้นสุดๆไปเลยละครับ พอได้เงินปุ๊บก็ชิ่งปั๊บ ให้มันได้อย่างนี้สิครับคนเรา


“เธอต้องใจเย็นๆก่อนนะ” ผมแนะนำ “ตอนนี้เธออยู่ไหนหรอ?”


“อยู่บ้านค่ะ” เธอตอบด้วยคำตอบที่มาพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นอีกเล็กน้อย


“เอาอย่างนี้ไหม” ผมว่าแล้วจึงดูเวลาตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว “เราจะว่างตอนประมาณหกโมง เธออยากจะออกมาไหม”


“ค่ะ” เธอตอบ “หนูเครียดมากเลยค่ะ”


“โอเคๆ ผมรู้แล้ว” ผมเปลี่ยนการเรียกตัวเองจาก เรา มาเป็น ผม อีกครั้ง เพราะการที่เธอเรียกตัวเองว่าหนูนี่ทำให้ผมรู้สึกอยู่ในฐานะสูงกว่าจนเริ่มกระดากใจที่จะเรียกกัน เรา เธอ เหมือนเป็นรุ่นเดียวกัน “สะดวกเจอกันที่สยามไหมครับ ถ้าถึงเมื่อไรก็โทรหาผมนะครับ... บายครับ”


“ค่ะ” เธอตอบเสร็จแล้วผมจึงรีบวางสายแล้วเข้าไปนั่งช่วยเพื่อนทำแลปต่อ ไม่ให้เพื่อนมันด่าได้ว่าผมเป็นพวกเห็นแก่ตัว (ซึ่งมันคงคิดอย่างนั้นไปแล้ว ผมเล่นไม่เคยทำอะไรเองเลยนี่ครับ) ความจริงผมว่าผมคงต้องเริ่มทบทวนตัวเองดูดีๆแล้วว่าทำไมช่วงนี้ผมถึงดูจะวุ่นวายเป็นพิเศษ อาจจะเป็นไปได้นะครับว่าความจริงแล้วผมมันเป็นพวกชอบแส่หาเรื่อง อย่างเช่นเรื่องของหมูน้อยคนนี้เป็นต้นที่ความจริงแล้วผมไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับเรื่องราวในชีวิตของเธอเลยแต่ผมก็ยื่นมือเข้าไปจนได้ อาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเวลาที่ผมเริ่มที่จะช่วยเหลือคนอื่นแล้วผมก็อยากจะช่วยให้สุด อะไรครึ่งๆกลางๆนี่ผมไม่ชอบทำครับ (ยกเว้นเรื่องเรียน) เวลาดูหน้าตัวเองในกระจกผมก็มักจะเห็นตัวเองที่นิ่งสงบดูมีความคิด และนั่นทำให้ผมรู้สึกเลยครับว่าคนเราดูกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ


มหาลัยผมไม่ห่างจากสยามนัก ผมจะไม่บอกว่ามันใกล้สยามขนาดไหนนะครับเพราะมันจะดูเหมือนเป็นการชี้นำกันเกินไป ผมเข้าไปทำแลปอีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็เลิกเรียน เอ้อ!ลืมไปเลย... ผมยุ่งกับทั้งแลป ทั้งสาวคนนี้ จนลืมเล่าให้คุณฟังเลยว่าก่อนหน้าจะเรียน ผมแวะยืนอ่านหนังสือพิมพ์ที่ร้านอาม่าหน้ามหาลัย และก็เป็นอย่างที่รู้ๆกันอยู่ก็คือเรื่องไอ้วิศวะกลายเป็นข่าวแผ่หลาอยู่หน้าหนึ่งเลยครับ ผมละสงสารมันจริงๆ ตอนมีชีวิตอยู่ก็โดนสังคมเอาเปรียบต่างๆนาๆ พอตายไปแล้วก็ยังหนีไม่พ้นถูกเอาเปรียบโดยหนังสือพิมพ์ที่ลงรูปศพเละๆของมันในหน้าหนึ่งเพื่อขายข่าวให้อายกันอีก หวังว่าวิญญาณของมันที่ไม่ว่าจะวนเวียนอยู่แถวนี้หรืออยู่ในปรโลกคงจะไม่รู้สึกแย่มากกับการขายข่าวแบบไทยๆอย่างนี้ ที่สำคัญในพาดหัวเขียนว่า –หนุ่มวิศวะรักคุดกระโดดตึกตาย- รักคุด???? ผมยังไม่เคยได้ยินเลยว่าไอ้เด็กเรียนอย่างวิศวะเนี่ยมันไปแอบชอบสาวที่ไหนและนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันจะอกหักได้อย่างไรในเมื่อมันไม่ได้มีความรัก ผมเริ่มได้กลิ่นตุๆเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วสิครับ เป็นไปได้ว่าความตายของมันอาจจะซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลหรือสถาบันที่สำคัญพอที่จะบิดเบือนข่าวการตายของมันได้ เอาแล้วสิครับ นี่ผมก้าวเข้าไปในบ่อจระเข้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดครับ เท่าที่ผมทำในตอนนั้นคือหลับตาลง ปลดปล่อยความคิดไปยังความมืดบนเปลือกตา ยิ่งผมคิดมากก็ยิ่งเครียดสิครับ คิดซะว่าทุกอย่างอยู่ที่ทัศนะคติที่ผมต้องปรับจนเรื่องราวทุกอย่างกลายเป็นเรื่องในเชิงบวก  


มือถือสั่นปลุกสติผม เวลา 17.45 นาฬิกา เธอก็โทรมาอีกครั้ง ผมยังไม่ได้เมมเบอร์เธอเลยนะครับ เพียงแค่คุ้นๆลำดับตัวเลขแล้ว ผมกดรับด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะแจ่มใสนัก


“หนูอยู่สยามแล้วนะคะ” เธอบอก


เฮ้อ... เธอมาถึงเร็วมากๆ ดูเหมือนว่าความเครียดจะทำให้คนเราตรงต่อเวลาจนเกินควรนะครับ


“รับทราบครับ..” ผมถอนหายใจ “รอแป๊บละกัน”  


    


  


 






Free TextEditor


Create Date : 03 ตุลาคม 2552
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 19:18:05 น. 1 comments
Counter : 482 Pageviews.  

 

หวัดดีคะแวะมาทักทาย และแวะมาเอากล่องแชทมาติดไว้เพื่อไว้พูดคุยกับเพื่อนๆคะ ขออนูญาติเอามาติดไว้นะคะ


โค้ดห้องแชท  friendly11.com



(ถ้าเคยเอาไปใส่แล้วใส่ซ้ำ ต้องขออภัยด้วยนะคะ หรือถ้าไม่ชอบก็ลบไปได้เลยน้า)






โดย: benji2 วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:20:22:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]