life sucks
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
1 ธันวาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX43XXX



เป็นเธอนั่นเองที่มาสะกิดผม ด้วยมือเล็กๆที่บอบบางนั่นที่มาขัดจังหวะการล้วงกระเป๋าของผม ผมได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว หายไปกับสายลม หายไปกับเสียงเพลง หายไปกับการสัมผัสเบาๆของเธอ โอเคครับ... โอกาสที่มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผมเดินตามเธอออกไปนอกร้าน ดูเหมือนว่าเธอกำลังพูดอะไรไปเรื่อยของเธอ ผมเองก็ทำท่าเหมือนรับฟังแต่สมองของผมมีเรื่องที่ต้องคิดเยอะเกินกว่าจะจับใจความเรื่องราวที่พลั่งพลูออกมาจากริมฝีปากบางๆนั่นได้เลย ทำไมเธอถึงพูดอะไรได้มากมายขนาดนี้? เธอไม่รู้เลยหรือว่าผมกำลังโกรธเธออยู่ เพราะเธอที่ทำให้ผมพลาดโอกาสทำสิ่งที่สำคัญถึงเพียงนั้น


“หายไปไหน เราตามหาตั้งนาน” เธอถามผม ผมได้แต่พยักหน้ารับ


เธอเรียกแท็กซี่ ผมถามตัวเอง... แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนกัน อย่างที่ผมมักจะคิดตลอดเวลาว่าทุกๆสิ่งล้วนมีเหตุผล เพียงแต่ว่าเราจะรู้ถึงเหตุผลของมันหรือเปล่า ครั้งหนึ่งเจนเคยถามผมว่าทำไมผมถึงรักเธอ “ทำไมเธอถึงรักเรา?” “ทำไมมันถึงเป็นความรัก?” ผมตอบเธอได้ง่ายมาก... ด้วยอารมณ์โรแมนติกที่ทำให้ผมเชื่อว่าความรักไม่ใช่เรื่องของเหตุผล จะมีวัยรุ่นคนไหนที่จะมานั่งหาเหตุผลของความรักทั้งที่อารมณ์ความรู้สึกมันก็มีน้ำหนักในตัวมันเองมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับสิ่งที่มั่นคงอยู่แล้ว เมื่อผมถามกลับไปด้วยคำถามเดียวกัน เธอเองก็ไม่อาจจะตอบได้ ผมเองก็ไม่ได้อยากรู้ ทุกอย่างถูกปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตแห่งความเชื่อมั่น แต่หลังจากที่เราเลิกกัน ก้าวถอยห่างจากความสัมพันธ์แล้วมองกลับเข้าไปจะเห็นว่าคำถามทั้งหมดเกิดจากความไม่มั่นใจ ถ้าคุณแน่ใจคุณก็แทบไม่ต้องหาเหตุผลสำหรับอะไรเลย แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณเริ่มเกิดข้อสงสัยขึ้นมาแล้ว คุณก็ต้องการเหตุผลสนับสนุนเพื่อเพิ่มเติมความว่างเปล่าในส่วนของความรู้สึกที่ขาดหายไป แต่มันก็เหมือนกับเป็นการเคลือบสีทับรอยร้าว ในไม่ช้ามันก็จะปรากฏชัดเจนจนแตกออก และคนที่เสียใจที่สุดก็คือคนที่เคยเป็นของตายเช่นผม


ผมกับเจนอยู่บนเบาะหลังแท็กซี่ นั่งอยู่คนละฟากโดยที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดไปสัมผัสมือเธอ ถึงเราจะไม่ได้เจอกันมานานแต่ผมก็ยังจดจำทุกรายละเอียดบนเรือนร่างเธอได้อย่างชัดเจน ส่วนไหนที่ผมเคยแนบใบหน้าลงไปเพื่อสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆที่ระเหยออกจากผิวเนื้อของเธอหลังอาบน้ำ รสของซอกคอเธอหลังจากผ่านแต่ละวัน ผมสามารถมองผ่นชุดบางๆของเธอเพื่อมองทะลุเข้าไปเห็นสิ่งที่มันเคยดำรงอยู่ เธอผอมลง สังเกตได้จากข้อมือเล็กๆนั่น ผู้คนบนโลกนี้มีตั้งมากมาย ทำไมเราจึงได้เจอกัน ทำไมผมจึงรักเธอ ชีวิตเป็นเรื่องของโชคชะตาผสมผสานกับสิ่งที่เราสามารถลิขิตเองได้ ผมสามารถควบคุมอะไรได้บ้างนอกเหนือจากอารมณ์ความรู้สึกตัวเองและเรื่องเล็กๆน้อยๆรอบตัว ถ้าจะว่ากันตามตรงบางครั้งความรู้สึกตัวเองแท้ๆก็แทบจะควบคุมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มันจะเป็นอย่างไรถ้าผมไม่เคยรู้จักเธอเลย เจน... ผมจะยังเป็นผมที่อยู่ตรงนี้หรือไม่ หรือผมจะกลายเป็นคนอีกประเภทที่เกิดมายังไม่เคยรู้จักความรักที่ร้อนแรงดั่งไฟบัลลัยกัลป์ ความรักที่จะเผาผลาญทุกสิ่งแม้กระทั้งความรักตัวกลัวตาย ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าผมพร้อมที่จะตายแทนเธอได้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันก็จากไปนานมากจนลืมไปแล้วว่ามันมีสัมผัสอย่างไร


ถึงแม้ทุกอย่างจะเหลือเพียงความทรงจำก็ตามแต่เจนก็มีบางอย่างที่อูฐไม่สามารถให้กับผมได้ สิ่งนั้นคือความรักที่เต็มเปี่ยมได้ด้วยความโง่เง่าและมืดบอดซึ่งในขณะเดียวกันก็ร้อนแรงจนแทบจะหลอมละลายเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ชีวิตวัยรุ่นตอนต้นของผมมีฉากหลังอยู่ที่เชียงใหม่ เมืองเล็กๆแห่งความขี้เกียจและความโรแมนติก ถ้าจะนับถึงช่วงเวลาที่ผมกำลังนั่งเขียนอยู่นี่ ผมได้ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมาเกือบแปดปีแล้ว แปดปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึกราวกับว่าชีวิตมันเป็นของผมจริงๆ มันเป็นดั่งความเหลวแหลกที่เกิดขึ้นและจบลง ณ จุดที่ผมได้ความรู้สึกแห่งความพอใจ อิศระอย่างไร้การควบคุม จะนอนเมื่อไรก็นอน อยากตื่นเมื่อไรก็ตื่น กินได้ทุกเวลาที่อยากกิน บางวันผมก็กินเพียงมื้อเดียว บางวันก็กินมากถึงห้ามื้อ และเมื่อใดก็ตามที่มีความเครียดเกิดขึ้นก็อาจจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ได้ นอกจากเหล้า... เครื่องดื่มมึนเมาที่เป็นเพื่อนแท้สำหรับชีวิตบัดซบ มีอยู่หลายเดือนที่ผมเที่ยวติดต่อกันทุกวัน ห้าทุ่มเที่ยงคืนก็แต่งตัวออกไปเที่ยว ตื่นขึ้นมาก็นัดเจอสาวที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อคืนไปนั่งสยามด้วยกัน พอตกดึกก็ออกเที่ยวอีก บางครั้งก็จัดการเธอได้ในคืนนั้นเลย บางครั้งก็ต้องรอวันต่อไป บ่อยครั้งที่ต้องรอต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด


บ่อยครั้งที่ผมถามตัวเองว่าทำไมผมจึงติดเที่ยวได้มากมายขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าลึกๆแล้วมนุษย์เราทุกคนโหยหาอะไรบางอย่าง ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวที่มีคุรค่าแตกต่างไปจากชีวิตจริงอันน่าเบื่อหน่ายที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ บ้างก็ติดละครหลังข่าว บ้างก็ติด Reality Show ร่วมโหวตดาราที่ตนชอบ เพื่อจะได้รู้สึกว่าเรามีส่วนร่วมกับอะไรสักอย่าง อะไรที่น่าตื่นเต้นพอเช่นการเที่ยวเป็นต้น...


มันเป็นความตื่นเต้นเท่านั้นที่สามารถสร้างความสุขให้กับชีวิตวัยรุ่นของผม เพื่อหลุดออกจากกรอบแห่งความเป็นวิศวะที่ต้องใช้เวลาทั่งวันอยู่กับตัวเลขและการคำนวณที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้คุณค่าในความรู้สึกผม ความฝันในวัยเด็กจะกลายเป็นจริงได้อย่างไรเมื่อจบมหาลัย สมมุติว่า start เงินเดือนที่ 15000 ตั้งใจทำงานไปอีกสักสองปีเงินเดือนอัพขึ้นเป็น 30000 แล้วไง? ลองคูณสิบสองเข้าไปก็จะเห็นว่าปีนึงได้รายรับรวมโบนัสสัก 400000 หักค่ากินอยู่ไปสักสามในสี่ก็จะเหลือตังเก็บ 100000 เงินเก็บเท่านี้ถ้าเทียบกับ Benz C-class รุ่นใหม่คันละ 3000000 กว่าๆก็เท่ากับกว่าคุณต้องทำงานถึงสามสิบปีกว่าจะได้เจ้าตราสามแฉกสักคัน ถ้าผ่อนก็โดนดอกทบเข้าไปอีกจนอาจจะตายก่อนผ่อนหมด นี่ยังไม่รวมถึงคอนโด มือถือที่ต้องเปลี่ยนรุ่นไปเรื่อยๆตามแฟชั่น แล้วถ้าแต่งงานมีเมียมีลูกอีกล่ะ เราอยู่ในสังคมบริโภคที่คุณค่าของคนอยู่ที่วัตถุที่คุณถือครองอยู่ คิดง่ายๆแค่นี้ก็จะเห็นได้ว่าการเล่าเรียนและการทำงานในระบบมันไม่ work ซะแล้ว ด้วยความต้องการอันไม่สิ้นสุดทำให้เกิดเทคนิกทางการตลาด อย่างธุรกิจเครือข่ายที่จะทำให้การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนกลายเป็นธุรกิจไปซะหมด ไม่เถียงว่าเงินดีจริง แค่เสียความรู้สึกเวลาเห็นคนเราถูกล้างสมองให้กลายเป็นหุ่นยนต์ที่พูดเป็นแพลทเทินเดียวกัน จะพูดแต่ละประโยคก็ต้องอ้างความคิดของ โดนัล ทรัมป์ หรือ คิโรซากิ พูดถึงรายได้เดือนละล้าน พูดถึงอิศระทางการเงิน แต่สินค้าทั้งหมดที่เอาเข้ามาก็เป็นของต่างประเทศ คนรุ่นใหม่ไม่มีความฝันอะไรเลยนอกจากฝันจะเที่ยวจะใช้เงิน สำหรับผม... ใครจะรวยเป็นร้อยล้านพันล้านก็ช่าง ผมขอให้ชีวิตพัฒนาความคิดไปตามมีตามเกิดอย่างนี้ก็พอใจแล้ว


  มันเป็นยุคสมัยของคนรุ่นผมเท่านั้นที่จะรับปรากฏการณ์นี้ได้ มนุษย์แต่ละยุคสมัยไม่เคยเหมือนกันหรอก ถ้ารุ่นคุณปู่ก็เป็นยุคหลังสงครามโลก ถ้ารุ่นพ่อก็ต้องเป็นยุคบุพผาชน ถ้ารุ่นผมก็คือยุคโลกาภิวัติ สมัยนี้เด็กทุกคนมีมือถือ เล่นเนตเป็น ข้อมูลการติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็วจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลก เด็กสมัยนี้สามารถเล่นเกมส์ออนไลน์กับเด็กอเมริกา ต่างจากสมัยพ่อที่คงต้องวิ่งเล่นไล่จับกับเด็กแถวบ้านเท่านั้น... จากมุมมองของตัวเอง ผมสามารถแบ่งเพื่อนในวัยเดียวกันได้เป็น 3 lifestyle หนึ่งคือพนักงานเงินเดือนตามระบบ สองคือมนุษย์ระบบเครือข่าย สามคือคนที่เล่นกับงานส่วนตัว ตามทัศนะของผมสองประเภทแรกถ้าไม่ได้อยู่ในระดับหัวหน้าที่มีส่วนในการพัฒนาหลักๆขององค์กรก็ค่อนข้างที่จะเป็นคนน่าเบื่อ ประเภททำงานไปเรื่อยไร้ความคิดสร้างสรรค์ ตามฝันของคนอื่น ส่วนประเภทที่สามส่วนใหญ่แล้วจะมีชีวิตที่น่าสนใจ เหล่าผู้กล้าพอจะแหกกรอบ กล้าที่จะเสี่ยงอยู่อย่างอดอยากเพื่อทำงานที่ตนรัก เชื่อมั่นในฝีมือตนเอง พวกเขาต่างมีความฝันเป็นของตัวเองและคนที่มีความฝันมักจะเป็นคนที่น่าสนใจและสนุกที่จะอยู่ใกล้เสมอ ส่วนใหญ่มักจะมี skill บางอย่างที่โดดเด่น นักดนตรี นักแสดง นักคิด นักเขียน มือปืนรับจ้าง เหล่าผู้คนที่กำลังตามฝันและดูดกินความฝันเหล่านั้นเพื่อประทังชีวิต เจน... หญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่เคียงข้างผม ผู้หญิงตัวเล็กกับฝันอันยิ่งใหญ่ เธอน่าสนใจ หญิงสาวที่ผมจะดูดกลืนพลังชีวิตได้อย่างไม่มีวันอิ่ม ดื่มด่ำไปกับแต่ละก้าวของเธอ เพื่อให้วันธรรมดาๆของผมไม่มีทางที่จะน่าเบื่ออีกต่อไป ผมมองหน้าเธออีกครั้ง ใบหน้าทางด้านข้าง... ใช่... ผมต้องยอมรับว่าเธอสวยขึ้น งดงามขึ้นกว่าเจนที่ผมเคยรู้จัก เธอสวย เธอเสียงดี เธอคืออัญมณีที่ผ่านการเจียระไนจนสุกปลั่ง เธอพร้อมแล้วที่จะโด่งดัง ด้วยเสียงของเธอที่จะปลอบประโลมโลกใบนี้ ด้วยใบหน้าของเธอที่จะปลุกเร้าให้ชายหนุ่มคลั่งจนแทบบ้าตาย มันมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปจนผมอดใจไม่ไหวที่จะถามเธอว่า


“นี่” ผมเรียก “เจนทำจมูกมาหรอ?”


“ใช่...” เธอตอบอย่างอายๆจบผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่ควรจะถามเธอเลย


แท็กซี่จอดป้าย... มันถึงหอของผมแล้ว


“เดี๋ยวเราพาเธอทัวร์มหาลัยละกัน” ผมชวนเธอ


บรรยากาศในมหาลัยยามค่ำคืนค่อนข้างสงบเงียบ ห้องสมุดปิดแล้วแต่สวนรอบๆยังคงสว่างไสวสวยงามด้วยโคมไฟสีขาวนวล แมลงเล่นไฟ ผมเดินนำหน้าเธอไปเพียงก้าวเดียว เป็นก้าวเดียวที่ใกล้พอให้ร่างกายของเราสองรับและซึมซาบไออุ่นของกันและกัน เมื่อไรที่ลมพัดเส้นผมของเธอจะปลิวมาสัมผัสเบาๆที่ต้นแขนของผม ผมปิดมือถือไปเรียบร้อยแล้ว... เผื่ออูฐโทรมาตอนนี้จะได้อ้างว่าแบตหมด


“ทำมานานหรือยัง?” ผมถาม


“อะไรหรอ?” เธอถามกลับ


“จมูกน่ะ” ผมตอบ มันเป็นความกวนตีนของผมล้วนๆที่ชอบเอาปมที่รู้ว่าคนไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมาล้อเลียน แน่นอนสิครับ... เจนนิ่งเงียบไปเหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมัน


ผมมองหน้าเธออย่างสำรวจ ใครรู้จักกับผมก็จะรู้ว่าผมมันกวนส้นตีนขนาดไหน เมื่อไรก็ตามที่ผมเปิดโหมดแล้วก็ยากครับที่จะหยุดได้ ผมมองหน้าเธอแล้วก็พยายามส่งยิ้มอย่างมีเลสนัยไปให้ เธอเองก็ก้มหน้าก้มตา การทำศัลยกรรมมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอกครับ มันก็ร่างกายตัวเองทั้งนั้น อยากทำอะไรก็ทำเหอะ... คนเรามีสิทธิเต็มที่ที่จะทำอะไรกับร่างกายของตัวเองก็ได้อยู่แล้ว เสริมจมูก กรีดตา เสริมคาง เจาะลักยิ้ม ฉีดแก้ม เหลากราม ทำนม ฯลฯ เธอทำอะไรบ้าง เธอผอมลง ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าเธอดูเข้ารูปขึ้น ผมเข้าใจว่าเธอคงอาย คนที่ทำมามักไม่ค่อยยอมรับหรอกว่าตัวเองทำมา ส่วนใหญ่ก็อยากให้คนอื่นคิดว่าแม่ให้มากันทั้งนั้น แต่ผมรู้จักเธอดีเกินกว่าที่เธอจะปฏิเสธได้


“ไม่ชอบหรอ?” เธอถาม


“ไม่ชอบอะไร?” ผมถามกลับเหมือนกัน


“คนทำศัลยกรรมน่ะ...”


 เท่านั้นละครับ... ผมระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังจนนกตกใจโผบินจากต้นไม้


“คิดมากไปป่าว” ผมบอกเจน “เธอสวยขึ้นเราก็ต้องชอบสิ”


เธอยิ้ม... ผมแน่ใจว่ามันเป็นยิ้มแห่งความสุข ในที่สุดผมก็ทำลายมนต์สะกดของคนที่ไม่ได้เจอกันมาสองปีเสียสิ้น เป็นเสียงหัวเราะเพื่อละลายพฤติกรรมของเราให้กลับมาคุยกันในสภาพปกติ


“แล้วเธอทำอะไรมาบ้าง” ผมถาม


“จมูกกับตา” เธอตอบ


ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ ปกติเธอก็เป็นคนตาสองชั้นอยู่แล้ว ผมเลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอทำอะไรกับตาเพียงแต่รู้สึกว่ามันโตขึ้นนิดหน่อย ถ้าจะว่ากันตามศาสนาพุทธของเราแล้ว หน้าตาเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง แต่ในความเป็นจริงเราก็ไม่อาจใช้ชีวิตในสังคมให้เป็นสุขหากปราศจากของนอกกายเหล่านี้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และจะทำอย่างไรได้ถ้าทั้งโลกให้ความสำคัญกับดาราเอามากๆ เราเก่งพอที่จะฝืนกระแสได้หรือ คนเราไม่ได้เกิดมาแข็งแกร่งกันทุกคน ถ้าโลกนี้มีแต่คนคิดเป็นโลกคงน่าเบื่อขึ้นเยอะ คนน่านับถืออย่างเหล่าผู้นำทางด้านจิตวิญญาณเองก็ตามก็มีสิ่งที่ตนยึดติดทั้งนั้น ไม่ศาสนาก็อุดมการณ์ แต่มันก็ยากเหมือนกันที่จะบอกได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีกว่าอะไร เพราะคนเรามีความต้องการอันหลากหลายและแตกต่าง ผมเดินไปคุยกับเธอไปเรื่อยๆ ผมถามตัวเอง... ความต้องการของมึงตอนนี้คืออะไร? อยู่กับเธอ กุมมือเธอ จูบเธอ ผมบอกไม่ได้หรอก เพราะแม้แต่ความต้องการขอตนเองยังหลากหลายและซับซ้อนเกินกว่าที่จะระบุให้ชัดเจนลงไป


อย่างที่ผมมักจะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าการยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่างจนเกินไปก็ไม่แตกต่างอะไรจากการหาบ่วงมาผูกคอตาย ในเวลาหนึ่งที่เธอเคยรอผมและยังคงรอผมเสมอมา รู้ได้จากประกายตาในทุกครั้งที่เธอสบตาผม เธออาจจะอยากให้มันเหมือนเดิมแต่ทุกอย่างจะแตกต่างออกไป ครั้งหนึ่งที่ความรู้สึกได้เปลี่ยนและมันจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ผมต้องการเธอแต่ก็ไม่อาจจะอยู่ในความสัมพันธ์ มันยากเกินไปและเร็วเกินไปที่ผมจะบังอาจระบุได้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไรในเวลานี้ บางอย่างสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่ก็มีเรื่องอีกมากมายที่จะบอกได้ด้วยการกระทำเท่านั้น ผมจะทำอย่างไรเมื่อความรักกับความไคร่ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้


เรานั่งอยู่ใต้ตึกโปร่ง ลมพัดแรงจนเธอบ่นหนาว ผมจะทำอะไรได้นอกจากโอบไหล่เธอเพื่อสร้างความอบอุ่น อย่างที่เขาบอกกันว่าหนาวเนื้อห่มเนื้อให้หายหนาว ผมคุยกับเธออย่างสับสนในอารมณ์ความรู้สึก บางทีก็สลัวด้วยแสงไฟ บางทีก็มืดมิดราวกับจักรวาลมีเราเพียงสองคน แต่ส่วนใหญ่แล้วมันเงียบจนได้ยินเสียงหายใจของเราทั้งสองที่แรงขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะชีพจรแห่งอารมณ์พลุ่งพล่านที่แทบจะระเบิดออกมา ร่างกายผมราวกับอัดแน่นด้วยไนโตรกลีเซอร์รีนที่พร้อมจะระเบิดแม้มีเพียงแรงจากภายนอกมากระทำเพียงน้อยนิด เราเหมือนอดัมกับอีฟที่กำลังจะกัดกินผลแอ๊ปเปิ้ลต้องสาบอันหวานกรอบ ถึงจะรู้ว่าไม่ควรแต่ก็พร้อมที่จะโดนลงโทษ พร้อมที่จะโดนไฟนรกเผาผลาญไปด้วยกัน เพราะความสุขมักจะมากับความทุกข์เสมอ คนที่ไม่รู้จักความทุกข์จะมีความสุขได้อย่างไร ขณะที่บทสนทนาเดินทางมาถึงจุดที่เราไม่มีอะไรจะพูดคุยกันอีกต่อไป จุดที่เราจะใช้ปากประกบกันแทนที่จะใช้เปล่งเสียง ณ จุดนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นเงาคนเคลื่อนไหวที่พุ่มไม้อีกด้านหนึ่ง!


       






Free TextEditor


Create Date : 01 ธันวาคม 2552
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 15:42:25 น. 0 comments
Counter : 423 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]