life sucks
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
28 กันยายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX5XXX

“มึงทรยศกู มึงหักหลังกู” ดูท่าไอ้วิศวะกับผมเนี่ยจะสนิท มึง-กู เร็วกว่าที่คิดนะ มันยังคงนั่งกุมเป้า ตาแดงก่ำ ใบหน้าโกรธแค้นผสมเจ็บปวด มันพยายามจะยันตัวลุกขึ้นมาแต่ก็ล้มลงไปอีก เมื่อเทียบจากความแรงที่ผมเตะออกไปก็บอกได้เลยว่ามันคงลุกขึ้นยืนไม่ไหวอีกสักพักหนึ่งเลยล่ะ 


“มึงเป็นเหี้ยอะไร” ผมถามอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่อารมณ์จะพาไปได้ ผมมองหน้ามัน มองร่างกายผอมๆบอบบางที่กำลังสั่นเทิ้มของมัน มันทำท่าราวกับหมาบ้า ดูท่ามันจะโกรธแค้นผมมาตั้งแต่ชาติปางก่อน


“มึงทำอะไรเอาไว้มึงก็น่าจะรู้ ไอ้เหี้ย ไอ้ระยำ ไอ้ลูกกะหรี่” มันตอบ มันเอาอีกแล้วสิครับ มันวอนเองนะครับ พอผมทำท่าง้างจะหวดแข้งใส่มัน มันก็ร้องลั่น ยกแขนขึ้นกันแบบคนไร้ทางสู้ และนั่นทำให้ผมรู้สึกเวทนาขึ้นมา


ในตอนนั้น ณ ห้องล็อคเกอร์ มันไม่ได้เหลือผมกับไอ้วิศวะไว้สองคนอีกแล้วละครับ จากข้อเท็จจริงที่มีนักศึกษาสอบติดคณะนี้ปีละเกือบพันคน เรียนสี่ปีก็สี่พันคน อัดรวมกันอยู่ในพื้นที่ไม่ถึงครึ่งตารางกิโลเมตร ดังนั้นเหล่านักศึกษาหน้าตาสอดรู้สอดเห็นที่ได้ยินเสียงคนทะเลาะต่อยตีกันดังลั่นก็มายืนมุงดูพวกผมราวกับเป็นตัวประหลาด เพราะในสังคมนี้การต่อยตีกันถือเป็นเรื่องไร้อารยะธรรมอย่างยิ่ง เท่าที่พวกเขาทำคือยืนดู บ้างก็ขยับแว่นเพื่อให้มองเห็นได้ชัดๆ ส่วนใหญ่ทำท่าซุบซิบกันอย่างน่าหมั่นไส้ เมื่อเหตุการณ์มันออกมาในรูปนี้ผมก็อายสิครับ เพราะถ้าผมเป็นหนึ่งในคนดูผมก็จะคิดว่าไอ้เหี้ยนี่มันทำร้ายคนที่ไร้ทางสู้นี่หว่า ผมสูง 183 ซม และดูมีกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายค่อนข้างบ่อย ส่วนไอ้วิศวะมันตัวเล็กและผอมแห้งเหมือนเด็กขาดสารอาหาร ผมก็อายสิครับ ในใจคิดว่าถ้ามันโกรธผมได้ขนาดนี้มันเองก็คงจะมีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน และเดี๋ยวผมค่อยไปหาเวลาคุยกับมันนอกรอบ แต่ตอนนี้ผมขอคว้าอุปกรณ์ทำแลปแล้วเผ่นก่อนละครับ


ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างจะวุ่นวายกับสิ่งที่ผมไม่ได้ก่อ บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเวรกรรมแต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติของการมีชีวิต ทัศนะคติในแง่บวกเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตเพราะชีวิตคือการต่อสู้ เพราะฉะนั้นผมจะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เป็นโอกาสในการบริหารจินตนาการของตนเองให้เต็มที่ ตั้งแต่เด็กแล้วที่ผมเต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ คือผมชอบอ่านการ์ตูนสืบสวนครับ เช่นคินดะอิจิกับคดีฆาตกรรมปริศนานี่ผมอ่านตั้งแต่อยู่ประถม หลังๆมาก็เริ่มอ่านนิยายพวกเชอร์ล็อคโฮมหรือปัวโรนี่ก็ของโปรด ถ้าเป็นนิยายสยองก็ต้องยกนิ้วให้สตีเฟนคิง (หาอ่านฉบับแปลได้ยากมาก ต้องไปเดินร้านหนังสือเก่าที่จตุจักรเป็นวันๆ) ผมยอมรับว่าผมรักการอ่านครับ และที่มีปัญญามานั่งเล่าประสบการณ์ของตัวเองก็เพราะการรักการอ่าน เพราะการอ่านให้จินตนาการที่ภาพยนต์ ละคร หรือพวกภาพเคลื่อนไหวไม่มีทางจะให้ได้ ผมเชื่อการแปลงข้อมูลจากเสียงหรือตัวหนังสือเป็นภาพในสมองเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตเพราะมันเกี่ยวกับความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูล แต่นั่นเป็นความเชื่อส่วนตัวนะครับ โปรดอย่าถือสาถ้าผมพูดอะไรไม่เข้าหู


ที่ผมพล่ามมาทั้งหมดเพราะผมต้องการจะบอกว่าผมได้เชื่อมโยงเรื่องราวของไอ้วิศวะไว้อย่างไร ผมว่ามันคงโดนรุ่นพี่ตุ๋ยครับ นี่เป็นจิ๊กซอว์ที่ผมได้มาเพียงไม่กี่ชิ้นแต่ผมจะลองต่อให้คุณดูก่อนนะครับ หนึ่งคือบุคลิกของไอ้วิศวะที่ถึงมันจะกระจอกแต่มันก็กล้ายืนหยัดสู้กับคนที่เข้มแข็งกว่าอย่างนี้เรียกว่าน่าหมั่นไส้ครับเพราะว่ามันไม่ได้ประเมินกำลังของตนเองกับคู่ต่อสู้ ยกตัวอย่างที่มันมาด่าพ่อล่อแม่ผมทั้งๆที่สู้ผมไม่ได้พอจะโดนต่อยก็ร้องโวยวาย ไอ้อย่างนี้เขาเรียกว่าน่าหมั่นไส้ครับ และจากเรื่องความน่าหมั่นไส้ของมันโยงมาถึงจิ๊กซอชิ้นที่สองคือรุ่นพี่กระเทยในหอเองก็คงจะหมั่นไส้มันเหมือนกัน เพราะตอนที่พี่เขาบังคับมันซ้อมเชียร์นี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะไปทำตัวน่าหมั่นไส้อย่างไรบ้าง อย่างถ้าสมมุติว่าพี่ที่เค้าจับมันไปเข้าเชียร์แล้วมันไปด่าเขาว่า “ไอ้เหี้ยกระเทยควาย ปล่อยกูเดี๋ยวนี้” ลองคิดดูสิครับว่าพวกรุ่นพี่กระเทยที่เล่นวอลเล่ย์บอลกันทุกวัน-กระโดดตบลูกทีดังเปรี้ยง-จะมีปฏิกริยาต่อคำสบประมาทนี้อย่างไร ลองคิดดูว่าถ้าคุณไปด่าพระเจ้าในโบสคาร์ทอริก ไปด่าพระพุทธเจ้ากลางอุโบสถแล้ว หรือไปด่าพระ... กลาง... (อันตรายครับ เล่นไม่ได้ของเค้าแรง) คริสศาสนิกชน พุทธศาสนิกชนหรือ ...จะสหะบาทาคุณอย่างไร ยิ่งถ้าคุณตัวเล็กๆผอมๆและมีหน้าตาท่าทางน่าหมั่นไส้อย่างไอ้วิศวะด้วยแล้ว เละสิครับ...


จากการเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันแล้วมันก็คงโดนไม่น้อยเลยละครับ ยิ่งต้องขึ้นไปชั้น 13 อันเป็นที่ล่ำลือถึงการสิงสถิตอยู่ของราชินีของหอชายด้วยแล้วละก็ บอกได้คำเดียวครับว่าขี้คล่อง แต่จิ๊กซอสำคัญที่ผมยังหาไม่เจอคือ ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับผมอย่างไรและไอ้วิศวะมันมาโกรธผมเรื่องอะไร เรื่องนี้ผมคงต้องสืบจากศพละครับ ผมเดินมาถึงหน้าห้องแล้วคงต้องเข้าไปทำแลปก่อนนะครับ แค่ชั่วโมงเดียวแล้วเดี๋ยวออกมาคุยกันต่อ ผมใส่เสื้อเข้าในกางเกง แล้วจึงเดินไปเช็คชื่อกับ TA สาว ป. โท หน้าตาจิ้มลิ้มแบบสาวหมวยที่จะทำให้ชั่วโมงแลปของผมผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ตอนเที่ยงผมก็นั่งกินข้าวคนเดียว เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ผมจะกินข้าวทุกๆมื้ออยู่คนเดียวเพราะเด็กปีหนึ่งเกือบทุกคนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องอยู่รวมกันเป็นกรุ๊ป แบบว่าไปกินข้าวเป็นกลุ่มๆหนุ่มๆล้วน มีรุ่นพี่พาไปโชว์พาวตาคณะต่างๆที่สาวๆเยอะ เช่นโรงอาหารของพวกอักษร บัญชี หรือรัฐศาสตร์ นี่ของโปรดของเด็กวิศวะเลยครับ ไปทีก็ไปส่งเสียงดังกลายเป็นตัวน่ารังเกียจของสาวๆไปโดยปริยาย


ผมเท่ห์กว่านั้นเพราะถ้าผมจะนั่งดูสาวผมก็ไปด้วยตัวของผมเอง ไปคนเดียวเลยครับ แต่ผมไม่ใช่คนที่มั่นใจนักดังนั้นถ้าจะไปผมก็ไปนั่งหลบๆมุมเหมือนเป็นนักศึกษา ป. โท ความจริงตอนนี้ผมก็นั่งอยู่ที่โรงอาหารของอักษรศาสตร์ กำลังมองความหลากหลายของดีไซน์เครื่องแบบนักศึกษาที่กำลังทำหน้าที่ปกคลุมร่างกายของพวกหล่อนอยู่ ผมมองโดยที่พวกหล่อนค่อยๆถือจานอาหารก้าวย่างผ่านผมไปอย่างช้าๆ แช่มช้อย และงดงาม ผมเห็นอย่างนี้แล้วก็รำคาญผู้ใหญ่คร่ำครึแบบโง่ๆที่ชอบออกมาด่านักศึกษานุ่งสั้นเสื้อฟิต เฒ่าจริธรรมสูงถ้าเป็นผู้ชายผมก็ไม่เชื่อหรอกครับว่ามันจะไม่ชอบมองยกเว้นแต่มันจะเป็นเกย์หรือพวกปากว่าตาขยิบ ถ้าเป็นผู้หญิงแก่ๆก็ยิ่งแล้วไปใหญ่ ผมว่าอคติบางอย่างมันมีพื้นฐานอยู่ที่ความไม่ทันยุคเห็นๆ ผู้ใหญ่ที่ทำท่าเป็นศีลธรรมสูงบางคนแค่เห็นคนรุ่นใหม่ทำอะไรที่ยุคตัวไม่มีก็ร้องด่าว่าเด็กเสื่อมทราม ถ้าวัฒนธรรมเก่าๆมันดีนักแล้วทำไมคนรุ่นคุณไม่กลับไปเคี้ยวหมากนุ่งโสร่งเหมือนคนรุ่นปู่ย่าผมละครับ ผมว่าพวกคุณที่แก่ๆแล้วไม่สามารถปรับตัวไปตามยุคสมัยได้ก็รีบตายๆไปเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้เถอะครับ ประเทศนี้จะได้เจริญขึ้น


  ผมว่าชุดนักศึกษาหญิงเป็นอะไรที่สวยงามและมีดีไซน์หลากหลายน่ามองมากโดยเฉพาะกระโปรง (เสื้อแฟชั่นส่วนใหญ่จะเป็นแพลทเทินเดียวกันอยู่แล้วคือรัดรูป) ทั้งเอวต่ำ เอวสูง กระโปรงสั้น กระโปรงจีบ(สุ่ม) ผ่าข้าง ผ่าหน้า โชว์เรียวขาสวยๆ ส่วนที่นิยมในช่วงนี้คือกระโปรงสั้นเอวต่ำกับเข็มขัดหนังสีน้ำตาลที่ให้ความรู้สึกมีชาติตระกูลเอามากๆ ส่วนกระโปรงสั้นเอวสูงถ้างดได้ก็ควรงดครับเพราะถึงแม้คนสวยๆใส่ก็ยังดูไม่งามตา ส่วนสุ่มก็ให้อารมณ์เป็นเด็กเรียนเรียบร้อย ความจริงนักศึกษาหญิงแห่งสถาบันอันทรงเกียรติแห่งนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กเรียบร้อยกันทั้งนั้นละครับ ถึงแม้บางคนจะแต่งตัวเปรี้ยวมากๆ แต่ถ้าได้ลองคุยกันดูแล้วก็จะรู้ว่าคุณเธอเหล่านี้หัวอนุรักษ์จารีตกุลสตรีอันดีงามกันแค่ไหน บุหรี่เหล้าไม่แตะ กิจวัตรของพวกเธอก็คือแต่งตัวสวยๆตามนิตยสารแฟชั่น ตั้งใจเรียน พอมีเวลาว่างก็ไปช้อปในห้างหรูระยับ อย่าหวังเลยครับว่าพวกเธอจะพบรักกับหนุ่มบ้านนอกอุดมการณ์สูงเหมือนในนิยาย สังคมไหนๆก็มีวรรณะที่มองไม่เห็นแอบแฝงอยู่ทั้งนั้น ผมมองพวกเธอขณะกำลังตักข้าวใส่ปากตัวเองแต่ละคำแสนยากเย็น ทันใดนั้นก็มีมือมาตบที่หลังผมอย่างแรงจนแทบจะสำลัก


“ว่าไงเฒ่าหัวงู”    


ผมหันไปหาต้นเสียง


“เดี๋ยวนี้เค้าเรียกรุ่นพี่เป็นเฒ่าหัวงูกันแล้วหรอ” ผมถามกลับ


เธอหัวเราะคิกคัก วันนี้เธอดูสดใสกว่าวันนั้นที่เราพบกันที่บันไดหนีไฟห้องสมุดเอามากๆ


“ดีใจที่ได้เจอน้องอีกนะครับ” ผมพูดอย่างจริงใจเพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมดีใจที่โลกนี้ยังมีคนรู้จักผมอยู่บ้าง ที่สำคัญเธอน่ารักเสียด้วยสิ


“เช่นกันค่ะ” เธอตอบ ยื่นมือมาในท่าเชคแฮนด์ ผมจับมือเธอฉันมิตร มือเธอนิ่มสไตล์ลูกคุณหนูที่ไม่เคยทำงานหนักมาก่อน “ขอนั่งด้วยคนนะคะ” แล้วเธอก็นั่งลงตรงข้ามผม ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใบไม้เหลืองหลุดร่วงไปตามกระแสลม ผู้คนเดินไปเดินมาพลุกพล่าน แสงแดดยามเที่ยงส่องให้โลกทั้งโลกเป็นสีทอง แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำให้ที่นี่เป็นเพียงแบคกราวของเธอละครับ สาวน้อยที่ผมยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ


“เป็นไงครับ” ผมถาม “ชีวิตมหาลัยเริ่มจะเป็นสิ่งที่พอทนทานได้หรือยัง”


เธอยักไหล่ ไม่พูดอะไร เพียงยิ้มให้


“แล้วได้เพื่อนบ้างหรือยัง?” ผมถามอีกคำถาม


เธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลยกับคำถามนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปพูดอะไรที่สะกิดใจเธอหรือเปล่า


เมื่อเธอไม่พูดอะไรผมก็ขออนุญาตกินข้าวต่อนะครับ ดูเหมือนเธอจะเป็นสาวอารมณ์แปรปรวน จะมีผู้ชายสักกี่คนที่เข้าใจจิตใจผู้หญิงได้ เมื่อกี้เธอยังหัวเราะยิ้มแย้มอยู่เลย แต่บัดนี้เธอดูเหมือนเหม่อลอย เธอมองผมแต่ก็เหมือนมองทะลุผมออกไปข้างหลัง ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ถ้าเธออยากจะอยู่ในโลกส่วนตัว ผมก็จะปล่อยให้เธออยู่ในโลกส่วนตัวได้เต็มที่เลย เธอเป็นมนุษย์ในระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะทำอะไรก็ตามที่ไม่ขัดกับสิทธิ์ของผู้อื่น โดยผมก็ยินดีอย่างยิ่งครับที่ได้นั่งอยู่กับเธออย่างนี้ ลมจากใต้ถุนตึกพัดอากาศร้อนๆมาปะทะใบหน้าของเราทั้งสอง ลมที่ทำให้เรือนผมของเธอปลิวสยายจนเธอต้องใช้นิ้วเรียวเล็กเกี่ยวไปเก็บไว้ที่หลังหู ผมมองหูเธอ ไม่น่าเชื่อว่าหูเธอไม่มีรอยเจาะซึ่งก็คือเธอไม่เคยใส่ต่างหู กลิ่นกับข้าว นกพิราบที่บินร่อนลงมาจิกกินอาหารเหลือๆในโต๊ะวางจาน นักศึกษาเดินกันขวักไขว่ ผู้ชายคุยเรื่องฟุตบอล ผู้หญิงจับกลุ่มนินทา อาจารย์มองเด็กที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยด้วยสายตาจับผิด ทั้งหมดนั้นให้มิติที่แบนราบราวกับภาพสองมิติ ณ วินาทีนั้นโลกทั้งโลกดูเหมือนมีเธอคนเดียวที่มีชีวิต เธอผู้ซึ่งเหม่อลอยออกไปยังจักรวาลแสนไกล ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ที่ผมเริ่มจับจังหวะการหายใจของเธอ ผมพยายามปรับจังหวะหายใจของตนจนเราหายใจด้วยจังหวะหายใจเดียวกัน ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่วิเศษมากถึงแม้เธอจะไม่รู้ตัวเลยก็ตามว่าผมกำลังพยายามสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับการดำรงอยู่ของเธอในโลกของผม


ที่ผมเล่ามาทั้งหมดอย่าเพิ่งนึกว่าผมโรคจิต หรือว่าเป็นพวกหลงรักคนอื่นง่ายๆนะครับ เพียงแค่บรรยากาศมันพาไปเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันอยู่ในจินตนาการของผมโดยที่เธอไม่มีวันได้รู้ตัวหรอก ผมเองก็ไม่มีวันที่จะแตะต้องเธอเหมือนกัน ผมว่าเธอก็รู้ตัวนะครับว่าเธอมีสิทธิ์ ความน่ารักสบายตาของเธอทำให้เธอมีอภิสิทธิ์ที่จะนั่งอยู่ต่อหน้าผมอย่างนี้ขณะที่เธอเหม่อลอยคิดเรื่องอื่นๆโดยที่หวังให้ผมอยู่นิ่งๆโดยไม่ขัดจังหวะกระแสความคิดของเธอ ผมยอมรับว่าเธอน่ามองด้วยการทำแบบนี้และผมก็ไม่มีวันที่จะไปขัดจังหวะเธอเหมือนกัน มันเป็นกระแสลมแปลกๆแล้วจู่ๆนกพิราบก็กระพือปีกบินร่อนลงตรงกลางโต๊ะของเรา เธอสะดุ้งส่งเสียงว๊าย! ผมเองก็ตกใจเหมือนกันแต่การเป็นลูกผู้ชายทำให้ผมต้องเก็บอาการเอาไว้ นกตัวนี้มันร่อนลงมาจิกกินอาหารในจานของผมที่ยังเหลืออยู่กว่าครึ่งโดยไม่ได้เกรงใจผมเลยแม้แต่น้อย มันเป็นนกพิราบขาวที่ดูองอาจและเย่อหยิ่งด้วยขนขาวสะอาดจนเปล่งประกายและคอที่มักจะเชิดไว้สูงๆของมัน มันก้มลงไปจิกกินด้วยคอยาวๆของมัน แล้วผงกหัวขึ้นมาจ้องตาผมอย่างดูถูกเสร็จแล้วก็จิกกินข้าวในจานของผมต่อ


“มันสวยจังเลยนะคะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะกับความไม่กลัวคนของนกตัวนี้


ผมไม่ตอบเธอครับ เพราะผมยังทำอารมณ์ให้ดีขึ้นไม่ได้ ผมว่านกสมัยนี้มันจะทำเกินไปแล้วนะครับ มันคงเห็นคนแถวนี้ใจดีจนกล้าที่จะแหยมศักดิ์ศรีบนโต๊ะกินข้าวของมนุษย์ได้ขนาดนี้ ผมผู้ซึ่งทรนงในประวัติศาสตร์หลายพันปีของมนุษย์ชาติที่ปกครองโลกนี้มาจะยอมให้นกมาหมิ่นอย่างนี้ก็กระไรอยู่ เธอที่นั่งมองมันอยู่ก็คงจะจับความรู้สึกโกรธของผมได้จึงกล่าวออกมาว่า


“พี่คะ พี่มีบุหรี่หรือเปล่าคะ” เธอถาม


“มีครับ” ผมตอบพร้อมกับตบกระเป๋าเสื้อ


“เราไปหาที่สูบกันเถอะค่ะ”


ขณะที่ผมเดินตามเธอไปผมก็หันกลับมามองที่โต๊ะ โดยทุกครั้งที่ผมมองกลับไปนกตัวนั้นก็ยังคงอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นจ้องมองผมด้วยสายตากวนตีนสุดๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับ ผมขอออกตัวอีกครั้งว่าผมไม่ได้บ้านะครับที่อยากจะมีเรื่องกับนกพิราบ เพียงแค่ทนไม่ค่อยได้ที่จะให้ใครมาหยามเกียรติโดยเฉพาะไอ้นกประเภทนี้ มันเป็นนกพิราบขาวที่คนยกให้มันเป็นเครื่องหมายของเสรีภาพ เมื่อมันคิดว่ามันมีเสรีภาพและถ้ามันคิดจะมาโปรดสัตว์อย่างพวกมนุษย์ที่ยังไม่มีเสรีภาพละก็ ผมอยากว่ามันคิดผิดเพราะเสรีภาพจริงๆอยู่ที่ใจไม่ใช่ร่างกายโว้ย! (บางทีผมก็อยากจะหาหมอตรวจสภาพจิตเหมือนกัน เพราะบ่อยครั้งที่เรื่องไม่เป็นเรื่องผมก็ทำให้มันเป็นเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ)


เมื่อถึงสวนห่างไกลจากความชุกชุมผมก็ควักซองบุหรี่ขึ้นมาแล้วจึงถามเธอว่าเธอดูด L&M แดงได้หรือไม่ เพราะถ้าจำไม่ผิดครั้งที่แล้วผมเห็นเธอดูด Dunhill Frost ที่รสชาติและราคาค่อนข้างจะต่างกับไอ้ที่ผมมีอยู่ แต่เธอก็ดึงออกไปตัวหนึ่งโดยดี ผมจุดให้เธอ แล้วเราจึงเริ่มบทสนทนากันจริงๆจังๆเมื่อได้ดูดจนหายอยากไปบ้างแล้ว แสงส่องผ่านคลอโรฟิลจนทำให้บรรยากาศรอบๆตัวเราเป็นสีเขียวรื่นรมย์


“ช่วงนี้มีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าครับ” ผมถาม “เห็นท่าทางน้องเครียดๆ”


“ก็เรื่องเดิมๆละค่ะ พ่อแม่ เพื่อน แล้วก็แฟน”


แฟน... อืม... ผมไม่ได้ผิดหวังนะครับ ความจริงผมก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าน้องเขามีแฟนแล้ว


“สามปัญหาหลักในโลกแห่งความเป็นจริง” ผมตอบ “พ่อแม่ เพื่อน และแฟน เรียงจากสำคัญน้อยไปมาก”


ผมพูดไปอย่างนี้เธอก็หัวเราะสิครับ เธอตีผมเบาๆหนึ่งทีแล้วก็หัวเราะ แน่นอน... เสียงหัวเราะคือจุดเริ่มต้นของการละลายพฤติกรรม ใครจะไปรู้ละครับ ในอนาคตเราอาจจะซี้กันเลยก็ได้


ในบ่ายวันนั้นเราได้คุยกันพอสมควรเพราะเธอไม่มีเรียนตอนบ่ายส่วนผมโดดเรียน เรานั่งใต้ต้นไม้ คุยกันในส่วนที่เป็นปัญหาในส่วนของเธอกับพ่อแม่ ปัญหาโลกแตกสำหรับเด็กวัยรุ่นใจแตกที่มีครอบครัวอบอุ่นละครับ เป็นสิ่งหนึ่งในหลายๆสิ่งที่ผมเริ่มจะเรียนรู้เมื่อโตขึ้นแล้วคือเด็กใจแตกไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กที่บ้านแตก เด็กใจแตกอาจจะเป็นเด็กที่มีครอบครัวอบอุ่บสุดๆแบบพ่อแม่รักกันปานจะกลืนกินก็ได้ ในกรณีของเธอเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญกับผม เธอเป็นลูกคุณหนูแบบที่ที่บ้านจะมีพี่เลี้ยงคนใช้และคนขับรถ พ่อแม่เธอก็เป็นมนุษย์เหตุผล ซึ่งพ่อแม่ของเธอเท่าที่เล่ามาทั้งหมดสำหรับผมแล้วเป็นพ่อแม่ในอุดมคติเลยครับ พ่อแม่เธอจบด็อกเตอร์เมืองนอกทั้งคู่ เธอเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก มีแฟนพ่อแม่ก็ไม่เคยว่า เท่าที่พวกท่านทำคือให้คำปรึกษาทุกอย่างแก่ลูกสาวคนเดียว เธออยากได้อะไรแพงแค่ไหนพ่อแม่ก็มีปัญญาหามาให้ แต่นั่นแตกต่างจากการเลี้ยงลูกด้วยเงินนะครับ เพราะท่านก็มีเวลาให้ลูกสาวคนเดียวมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนจะเลี้ยงแบบปล่อยให้มีอิสระในการเลือกการตัดสินใจด้วยซ้ำ ที่โรงเรียนเธอก็เป็นที่รักของคุณครูและเพื่อนๆ เมื่อ need ทุกอย่างได้รับการตอบสนองหมด นั่นละครับที่ทำให้เธอเพี้ยนๆ เพราะตามทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ เมื่อมนุษย์มีความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ความต้องการพื้นฐานได้รับการตอบสนองจนหมดแล้วดังนั้นเธอจึงมีความต้องการแปลกๆที่ผมจะหาโอกาสเล่าให้ฟังภายหลังนะครับ เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบ่ายวันนี้ไม่ใช่การพูดคุยกับเธอแต่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของผมอย่างใหญ่หลวงอย่างที่เรียกได้ว่ามันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยทีเดียว


ขณะที่ผมกำลังคุยกับเธออย่างออกรสออกชาติอยู่นั้นผมก็ได้ยินเสียงหวอรถพยาบาลมาแต่ไกล มันค่อยๆเข้ามาใกล้เรื่อยๆและวิ่งผ่านถนนตรงจุดที่เรากำลังคุยกันอยู่แล้ววิ่งเข้าไปในคณะของผม เอาแล้วสิครับ ผมสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอไม่ให้เรื่องนี้เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับผมเลย ผมขอโทษเธอที่ต้องขอตัวกลับก่อน จากนั้นก็วิ่งเข้าคณะตามเสียงไซเรนรถพยาบาลไป สักพักก็มีรถกระบะเหลืองๆของมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้ามาด้วย อย่างนี้แปลได้อย่างเดียวว่าต้องมีคนตาย จุดเกิดเหตุมันอยู่กลางลานกิจกรรมของคณะ ผมวิ่งฝ่าไทยมุงเข้าไปตรงใจกลางของฝูงชนที่ล้อมอย่างยากลำบาก โอ้ย...ผมลมจับ เข่าอ่อน แทบจะเป็นลม ผมเห็นเขาในระยะใกล้ ศีรษะแตกละเอียด รูปร่างผอมบางนั่น และแว่นตาที่หักเหลือครึ่งเดียวอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงพยายามฝ่าฝูงชนออกมาอย่างยากลำบากยิ่งกว่าตอนเข้าไป สมองเบลอ ผมพยายามจะคิดอะไรแต่ก็คิดไม่ออก พอถึงถังขยะเท่านั้นละ ผมก็ทิ้งตัวโก่งคออ้วกออกมาจนหมดพุง


 


 


  






Free TextEditor




 

Create Date : 28 กันยายน 2552
1 comments
Last Update : 29 กันยายน 2552 2:19:50 น.
Counter : 362 Pageviews.

 

รออ่านอยู่นะคะ ^^

 

โดย: kirill 28 กันยายน 2552 16:10:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]