life sucks
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
29 ตุลาคม 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX33XXX



           


การมานอนโรงบาลอย่างนี้จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด ทุกอย่างเหมือนเหรียญที่มีสองด้าน โลกใบนี้ก็มีทั้งด้านที่มืดและด้านสว่าง มันก็คล้ายๆกับการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสนั่นละครับ การนอนนิ่งๆอย่างนี้มีดีตรงที่ทำให้ผมมีเวลาว่างพอที่จะทบทวนเรื่องของตัวเองอีกครั้ง ผมมีหนังสือดีๆสี่ห้าเล่มที่ขอให้ไอ้เอกไปยืมมาจากห้องสมุด เป็นหนังสือที่ผมเล็งเอาไว้นานแล้วแต่ก็ยังไม่มีเวลาอ่านสักที เด่นๆเลยก็มี Shogun ของ James Clavell ที่บรรยายเกี่ยวกับแนวทางของบูชิโด สงครามของซามูไร ในสายตาของชาวตะวันตกได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและสมจริงสุดๆ ผมอินกะมันมากจนรู้สึกอยากจะคว้านท้องตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ น่าเสียดายที่ไอ้เอกมันยืมมาแค่สามเล่ม ผมไม่แน่ใจว่าครบทั้งชุดนี้มีกี่เล่ม แต่ทั้งสามเล่มนั้นแต่ละเล่มหนาขนาด Dictionary Oxford ฉบับสมบูรณ์ ลองหามาอ่านดูสิครับ สามเล่มหนานั้นสนุกมากขนาดที่ว่าผมใช้เวลาวันครึ่งก็อ่านจบ


อีกชุดก็เป็นของนักเขียนรางวัลโนเบลอเมริกันหญิงคนแรกอย่าง Pearl S. Buck เล่มที่ผมกำลังอ่านอยู่นี่ชื่อ The Good Earth เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาวนาจีนที่มีชีวิตขึ้นลงไปตามดินฟ้าอากาศ อีกครั้งครับที่ผมรู้สึกอินไปกับเรื่อง การเดินเรื่องกระชับ สมจริงเหมือนหลุดเข้าไปในจีนสมัยที่ยังไม่ได้ปฏิวัติคอมมิวนิสต์ เรื่องที่ผมถืออยู่นี่เหมือนจะได้รางวัล Pulitzer ซึ่งน่าจะเป็นรางวัลสูงสุดในโลกวรรณกรรมของพวกอเมริกันแล้วนะครับ ทั้ง James Clavell และ Pearl S. Buck เป็นพวกฝรั่งที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับชาวตะวันออกในสายตาของชาวตะวันตก คนแรกนั้นเป็นทหารเคยมาประจำการแถวนี้ คนที่สองอยู่ในคณะมิชชันนารี ทั้งสองทำให้ผมรู้สึกว่าการมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยสายตาที่เป็นกลางนั้นน่าจะมีส่วนทำให้เรื่องราวออกมาสนุกถึงขีด ถ้าผมจะเขียนเรื่องแบบนี้บ้างคงจะรู้สึกราวกับว่าเขียนอยู่บนโลงศพอาม่าอากงตัวเอง สักวันถ้ามีโอกาสผมจะไปตระเวนศึกษาประวัติศาสตร์ของพวกนี้มาบ้าง เอามาตีแผ่ให้คนไทยได้อ่านกัน ผมเชื่อว่าทุกประเทศไม่ว่าจะมี GDP ดีแค่ไหนมันก็มีเรื่องเหี้ยๆกันทั้งนั้นละครับ


“ไอ้ชัด...” ปู่แบนร้องเรียกผม เดาจากเสียงของแกว่าแกเพิ่งตื่น “เอ็งอ่านไรอยู่วะ พลิกหน้ากระดาษเสียงดังจนข้านอนไม่หลับ”


“นิยายน่ะปู่” ผมตอบ คิดในใจว่าเสียงกรนของแกนั่นละที่ดังลั่นไปทั้งชั้น ผมพูดจบแกก็ยื่นมือมา ผมก็ยื่นหนังสือไปให้แก


“นี่เอ็งอ่านภาษาฝรั่งเลยหรอ” แกถาม


“อ่ะ... แน่นอนสิปู่” ผมตอบ “วัยรุ่นเดี๋ยวนี้เค้าเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังเดินไม่ได้” ผมโม้แก


“ไอ้ขี้โม้” แกด่าตอบ


และนี่ละครับคือข้อดีที่สุดของการมาอยู่โรงพยาบาล นั่นคือการได้ปู่แบนมาเป็นเพื่อนคุย ถึงแม้แกจะขยับตัวไม่ได้แล้วแต่สมองแกยังคงสดใส ปากคอเราะร้าย ทั้งเสียดสี ประชดประชัน อย่างที่เรียกได้ว่าคนหนุ่มอย่างผมอดที่จะชื่นชมทัศนะคติในการมองโลกของแกไม่ได้ ครั้งที่แล้วอูฐมาเยี่ยมผม ปู่แกก็กึ่งชมกึ่งจีบจนน้องอูฐของผมเธออายม้วนต้วนกลับไปเลย แกว่าตอนหนุ่มๆแกเป็นเพลย์บอย ผมก็เชื่อจริงอย่างที่แกว่า ถึงแม้ตอนนี้หนังหน้าแกจะเหี่ยวจนแทบจะเป็นหนังท้องช้าง แต่วาจาของแกนี่ร้ายกาจ พูดอะไรแต่ละอย่างผมแทบสะดุ้ง... เพราะบางอย่างมันก็ไม่ค่อยเหมาะกับวัยละครับ คือถ้าเป็นคนไทยทั่วไป วัยนี้คงจะเข้าวัดไปฟังเทศน์ฟังธรรมเดินจงกรมเพื่อให้จิตใจสงบเผื่อแผ่ส่วนบุญรอโลกหน้าเรียบร้อยไปแล้ว แทนที่จะเป็นอย่างนั้นปู่แบนแกยังเร่าร้อนดั่งไฟ


“เดี๋ยวนี้ตาข้าไม่ค่อยดี” แกบอกขณะพลิกหนังสือของผมไปแต่ละหน้า “อ่านหนังสืออย่างนี้ก็ไม่ค่อยสนุกแล้ว เออ แต่ว่า เอ็งอายุเท่าไรนะ”


“ยี่สิบแล้ว” ผมตอบ “ปู่อายุสี่เท่าของผมเชียว... จะว่าไปอายุอย่างผมก็เป็นเหลนปู่ได้” ผมอำแก


“เออ... ข้ามันแก่แล้ว ที่ข้ามาอยู่อย่างนี้คงเพราะข้าไม่มีลูกหลานสักคนเดียว”


“อ้าว! แล้วปู่ไม่มีเมียหรอ” ผมอำแกอีก “หรือปู่เป็นเกย์”


“เกย์พ่อเอ็งนะสิ” แกตอบ “อย่างข้านี่แถวบ้านเค้าเรียกว่าขุนแผนแสนสะท้าน ฟันสาวมาตั้งแต่สมัยประเทศสยามยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช หน้าตาอย่างเอ็งเนี่ย เมื่อก่อนเขาเรียกว่าลูกเจ็ก ไม่มีสาวไหนมองหรอก”


“แต่เดี๋ยวนี้เจ็กครองเมืองนะปู่” ผมย้อน “ลองย้อนสายตระกูลรวยๆ ดูสิ ใช้แซ่มาทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เค้าเน้นหนุ่มสูงขาวตี๋ หญิงก็ต้องขาวหมวยสวยน่ารักแบบเกาหลี ญี่ปุ่น จะมาแนว มิตร ชัยบัญชา สมบัติ เมทะนี ก็หลงยุคแล้วละปู่”


“ไหลเป็นลิงเลยนะเอ็งเนี่ย” แกหัวเราะโชว์ฟันหักๆ “ไอ้เจ็กเลี้ยว”


“ผมว่าผมใหญ่กว่าปู่” ผมตอบกวนตีน “และที่แน่ๆยังใช้ได้อีกหลายสิบปี”


“ไอ้ลูกหมา” แกตอบโต้ “ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะได้แก่ตาย ข้าน่ะ... ปลงสังขารตั้งแต่สี่สิบแล้ว... แต่โชคชะตามันจะให้ข้าแก่ตาย หรือไม่ก็ต้องฆ่าตัวตาย”


 ผมคิดเลขในใจ ถ้าแกบอกว่าตอนนี้แกอายุ 83 แสดงว่าแกเกิดปี 2546-83=2463 ซึ่งเกิดก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยปี 2475 ถึง 12 ปี โอเคครับ เด็กอายุสิบสองสิบสามก็คงจะพอรู้เรื่องอะไรมากแล้ว และถ้าแกใช้ชีวิตเต็มที่แบบไม่ได้โม้จริงๆ แกก็คงผ่านช่วงยุคของจอมพลต่างๆมามากมาย ตั้งแต่ยุคพระยาพหลฯปฏิวัติเสร็จหมาดๆ ต่อมาก็ยุคสงครามโลกครั้งที่สองของจอมพลแปลก ยุคฟื้นฟูความเชื่อของจอมพลสฤษดิ์ ยุค 14 ตุลา ประชาชนหูตาสว่างของจอมพลถนอม ต่อมาก็ 6 ตุลา และต่อมาก็พฤษภาทมิฬ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้จากปู่ไม่ใช่เรื่องราวประวัติศาสตร์หรือประสบการณ์อันโชกโชนของแกหรอกครับ เรื่องพวกนั้นรอให้แกอยากจะเล่าแกก็คงเล่าเอง แต่เรื่องที่ผมอยากรู้จริงๆและต้องถามแกให้ได้ก็คือ


“นี่ปู่” ผมถาม “ผมถามจริงๆเหอะ... ปู่ใช้ชีวิตมาขนาดนี้ ปู่รู้หรือยังว่าเป้าหมายของชีวิตคืออะไร?”


“ถามโง่ๆ” แกตอบ “เอ็งเชื่อหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดมาเนี่ย ข้าเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตมาสี่ครั้งแล้ว จนตอนนี้สิ่งที่ข้าเชื่อเพียงอย่างเดียวคือไอ้นี่” แกพูดแล้วก็ชี้ไปยังหัวของตนเอง “ตอนแรกๆสิ่งที่ข้ายึดถือเป็นจุดหมายก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั่นละ... นี่เอ็งฟังอยู่หรือเปล่า”


“ฟังอยู่” ผมตอบรับ ผมกำลังนิ่งเงียบตั้งใจฟังเพราะผมว่ามันคงน่าสนใจจริงๆ “เป้าหมายแรกคือ...”


“เงินไงล่ะ” แกบอก “จะมีอะไรที่บันดาลความสุขให้กับวัยรุ่นคึกคะนองได้มากไปกว่าเงิน เงินที่มากพอจะจับจ่ายใช้สอยได้ตามสะดวก เงินที่มากพอจะซื้ออิสระ ซื้อความเคารพ ซื้ออำนาจ ซื้อได้แม้กระทั่งความรักจากสาวๆ เมื่อก่อนข้าอยู่ในวงการนักเลง ด้วยใจนักเลงจนผู้ใหญ่เห็นเลยถูกใช้ให้ไปคุมบ่อน เมื่อรู้จักคนมากเข้าจึงออกมาซื้อขายของเถื่อน สมัยนั้นเสือที่ไหนปล้นทองมาก็จะเอามาปล่อยที่ข้า เพราะข้ามีเครื่องแช่ แช่ให้ของร้อนมันเย็นลงก่อน และปล่อยไปอีกทีในราคางามๆ สมัยนั้นข้ามีเงินมากจนต้องเจาะผนังบ้านใส่เงินแล้วโบกปูนทับ ในกระถางต้นไม้ก็เงินทั้งนั้น เป็นทรัพย์ในดินจริงๆ ข้าอยากได้อะไร เงินหาให้ได้ทุกอย่าง เอ็งพอจะเดาออกใช่ไหมว่าทำไมเป้าหมายของชีวิตข้าถึงเปลี่ยนไปอีก”


“จุดเปลี่ยนในชีวิต” ผมตอบ


“ใช่จุดเปลี่ยนในชีวิต เมียข้า คนที่ข้ารักมาก คนที่ให้ลูกชายกับข้า” ชายแก่พูดไปสีหน้ายังไม่เปลี่ยน “โดนอริข้ายิงทิ้ง ทั้งลูกทั้งเมียนั่นละ และหลังจากนั้นข้าก็โกนหัวเข้าวัด”  


แกเล่าให้ผมฟังต่อว่าแกอยู่ในนั้นหลายปี ในกุฏิเย็นๆที่ทำให้ความมืดมนจากความเศร้าโศกค่อยๆหายไปกลายเป็นความปลง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องธรรมดา ดังนั้นหลังจากปลงเรื่องเมียเก่าของแกได้ แกก็ได้พบกับรักใหม่ เป็นญาติโยมม่ายสาวสวยที่มักจะมาทำบุญให้ผัวที่ตายในสงครามโลกครั้งที่สองอยู่เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อคนเหงาได้พบกันก็เกิดการแหกผ้าเหลือง ถูกจับสึกสิครับ แกออกไปทำงานสุจริตโดยมีความเชื่อลึกซึ้งในความดีความชั่ว และความเชื่อนั้นก็ถูกทำลายอีกครั้งเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ทำให้เมียสาวสวยอยู่กับแกได้นานเท่าไร เพราะสักพักเมียแกก็เบื่อคนจน ไปผูกสัมพันธ์กับเสี่ยเจ้าของโรงสีที่มีงานอดิเรกในการสีสาวจนปู่แบนแกจับได้ พอจับได้นักเลงเก่าอย่างแกก็ไม่เอาไว้สิครับ ศีลห้าเค้าห้ามยุ่งกับลูกเมียคนอื่นแกก็หวังให้คนอื่นรักษาศีลเช่นกันจึงอยากจะเชือดไก่ให้ลิงดู ดังนั้นแกจึงล้างอายด้วยการยัดปากเมียและชายชู้ด้วยลูกตะกั่วที่ทำให้แกต้องกระดอนไปทำงานนอกกฏหมายอีกครั้ง ใช่ครับ และนั่นเป็นจุดเปลี่ยนครั้งที่สองของแก จุดเปลี่ยนที่ทำให้แกกลับมาเชื่อมั่นในตัวเอง ใช้ชีวิตในป่า หาของป่า ล่าสัตว์ ปล้นสดมภ์ ใช้ชีวิตแบบเสือยุคแรกๆแต่ตอนนั้นแกไม่ได้มีบารมีเหมือนยุคแรกๆอีกแล้วทำให้ชีวิตโจรอย่างแกต้องระหกระเหินไปกินข้าวแดงอยู่ในบางขวาง เรื่องราวทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ฟังแกเล่าจากปากหรอกครับ ผมอ่านจากหนังสือกึ่งๆชีวประวัติของแกที่แกแต่งขึ้นขณะอยู่ในเรือนจำ การแต่งหนังสือที่กลายเป็นงานอดิเรกของคนคุกที่วันๆก็ไม่ได้มีอิสระอะไรมากไปกว่าอิสระทางความคิด ที่ผมบอกว่ากึ่งๆชีวประวัติเพราะมีบางเรื่องในหนังสือของแกที่ผมคิดว่าแกเพ้อเจ้อ เช่นแกบอกว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงมาคุยกับแกแล้วห้าครั้ง และครั้งสุดท้ายท่านลงมาเตือนมนุษย์โลกผ่านแกว่าโลกจะแตกในปี พ.ศ. 3000 และยังมีเรื่องปาฏิหารย์มากมายในนั้น พอผมอ่านจบผมก็ยิงคำถามแรกที่อยู่ในใจ


“ปู่เพี้ยนป่าวเนี่ย...” ผมถามแก


“เอ็งคิดว่าข้าดูปกติงั้นหรอ” แกถามกลับ


“ไม่แม้แต่น้อย” ผมตอบ ก็จริงของแก แกก็ดูไม่ค่อยเป็นปกติมนุษย์ตั้งแต่แรกๆที่เราได้เจอกันแล้ว เอาจริงๆนะครับผมว่าถึงแกจะอายุแปดสิบกว่าแล้ว ผมเผ้าถึงจะขาวหงอกหมดแล้วแต่ก็ยังคงดกหนามัดรวบไว้ข้างหลังเหมือนฤาษีในละครจักรๆวงศ์ๆ ที่สำคัญความคิดความอ่านแกยังดูวัยสะรุ่นอยู่มาก แม้ว่าบางอย่างจะดูเพี้ยนๆไปหน่อยก็ตามที ครั้งแรกที่ได้คุยกับปู่แกก็รู้สึกได้เลยว่าแกเป็นผู้ใหญ่ที่ต่างจากผู้ใหญ่ทั่วไป ลองทบทวนดูจึงเห็นว่าคงเป็นเพราะแกยังมีความหนุ่มอยู่มาก จนแทบจะอยากเรียกว่า “พี่” แทน “ปู่” แต่หนังหน้าแกก็เหี่ยวจนรู้สึกขัดเขินที่จะเรียกอย่างนั้น เวลาผมคุยกับแก ผมก็นอนเอาตีนชี้หน้าแก แกก็ไม่ได้ว่าอะไร 


จะว่าแกเป็นนักเขียนแก่ไม่ยอมตายก็ไม่น่าจะใช่ เป็นไปได้ไหมด้วยเหตุผลที่ว่า นักเขียนน่าจะเป็นอาชีพที่เก็บความหนุ่มไว้ได้นาน เพราะความหนุ่มน่าจะมาจากความไม่รู้สึกว่าตัวแก่ เพราะความแก่น่าจะมาจากความรู้สึกที่ว่าตัวรู้เยอะแล้วใช้ชีวิตพอแล้วจึงแก่ และความหนุ่มน่าจะมาจากการรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรใหม่ให้ค้นหาตลอดเวลา และอาชีพนักเขียนก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีทางได้หยุดที่จะคิดหาอะไรใหม่ๆออกมาตลอดเวลา ทำให้ผมรู้สึกว่าปู่แกยังไม่แก่ ด้วยทั้งการพูดคุยทำให้รู้ว่าแกเป็นคนหัวสมัยใหม่เอามากๆ (จะว่าวัยรุ่นก็ไม่ใช่เพราะวัยรุ่นบางคนก็ออกจะไม่ค่อยทันสมัย) ซึ่งออกจะหายากในหมู่ผู้ใหญ่(เจาะจงผู้ใหญ่ที่ผมเคยคุย) และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าแกเป็นนักเขียนที่น่าสนใจทั้งงานเขียนและชีวิตส่วนตัว น่าเสียดายที่แกเสียช่วงล่างไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นแกคงยังไม่อยากตายหรอก


 คงมีแต่โชคชะตาเท่านั้นละครับที่ชักนำให้ผมได้เจอกับแก ทัศนะคติในการมองโลกของแกได้เข้ามาจัดระเบียบอะไรภายในของผมใหม่ การได้คุยกับแกเหมือนได้อ่านหนังสือดีๆอีกเล่ม การได้อ่านหนังสือของแกแล้วพูดคุยกับคนเขียนไปด้วยนี่เป็นการ Enlighten ผมอย่างใหญ่หลวง เหมือนมีฆ้อนที่มองไม่เห็นมาทุบผมให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนมีความร้อนแห่งความรู้ที่ค่อยๆหลอมและก่อรูปผมขึ้นมาใหม่ ด้วยวัสดุเดิม ด้วยการจัดเรียงตัวแบบใหม่ บางครั้งที่แกหลับผมก็จะตื่น บางครั้งที่แกตื่นผมก็หลับ แต่ครั้งใดที่เราตื่นพร้อมกันมันก็จะตามมาด้วยบทสนทนาที่น่าสนใจมามาย ทั้งเรื่องภายในและภายนอก ทั้งเรื่องสนุกสนานและเรื่องความโหดร้ายบนโลกแห่งความเป็นจริงที่หนักแน่นพอจะเปลี่ยนข้างในของผมไปตลอดกาล เราสนิทกันมากจนแทบจะเล่นหัวกันได้ มันแปลกนะครับที่คนรุ่นผมจะสนิทกับคนรุ่นนี้ได้ถึงเพียงนี้ ดังนั้นหลังจากกินอาหารเที่ยงในถาดหลุมของโรงพยาบาลที่จัดให้ในไม่กี่วันก่อนที่หมอจะอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาล แกก็เอื้อมมือสากๆของแกมากุมมือผมไว้


“ก่อนเอ็งจะไปข้าขออะไรสักอย่างได้ไหม” แกถามผม “ในฐานะเพื่อน”


“อะไรปู่” ผมถามกลับ


“ช่วยฆ่าข้าที”


    


           






Free TextEditor


Create Date : 29 ตุลาคม 2552
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 19:21:26 น. 0 comments
Counter : 429 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]