life sucks
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
30 กันยายน 2552

XXXแหกคอกมหาลัยXXX7XXX



ผมรู้สึกว่าผมเริ่มจะเป็นบ้าไปจริงๆแล้วครับที่มาทำตัวเป็นนักสืบทั้งๆที่เรื่องมันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ บางทีผมอาจจะเล่นเกมนักสืบเยอะเกินไปและควรจะปล่อยให้เรื่องมันดำเนินไปตามเรื่องตามราวของมันได้แล้ว ผมถอนหายใจแล้วไปซื้อบุหรี่ที่เซเว่นสูบคลายเครียดก่อนที่จะบ้าตายไปเสียก่อน


ยามสนธยา ท้องฟ้าสีหม่น มนุษย์เงินเดือนเพิ่งเลิกงานต่างทยอยกันกลับบ้านจนรถติด ในกรุงเทพฯผมไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า อาจจะเป็นเพราะมีตึกสูงๆมากเกินไปหรือไม่ก็เพราะแต่ละวันของผมยุ่งจนเกินไป ดูเหมือนเวลาแต่ละวันในกรุงเทพฯนั้นสั้นกว่าเวลาที่บ้านเกิดผม เวลาผ่านไปแต่ละวันโดยแทบจะไม่รู้ตัว ผมมาย้อนนึกดูสองสามวันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนเรื่องจริงเรื่องไหนเป็นเรื่องในจินตนาการ ช่วงเวลาเป็นทุกข์อย่างนี้ละครับที่ผมอยากจะมีเพื่อนแท้เพื่อนที่เราวางใจพอที่จะสามารถเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง เมื่อคิดได้อย่างนั้นผมจึงไปซื้อสมุดไดอารี่ปกหนังอย่างดีมาเล่มหนึ่ง นี่ละครับเพื่อนแท้ เพื่อนที่ผมสามารถเล่าให้มันฟังได้ทุกเรื่องจริงๆ


สถานที่ที่ผมจะมีสมาธิมากพอจะเขียนไดอารี่คงจะมีเพียงห้องสมุด ผมเดินผ่านประตูหน้าของห้องสมุดเข้าไปปะทะกับลมเย็นๆที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศแบบตั้งพื้นทรงโบราณ เดินผ่านแอร์เครื่องนี้ผมได้ยินเสียงน้ำแข็งแตกดังกริ๊กๆอยู่ภายใน ผมสูดหายใจเอากลิ่นกระดาษเก่าๆ กลิ่นฝุ่น กลิ่นหมึก รู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้กลับบ้าน ห้องสมุดเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับบ้านที่สุดแล้วเท่าที่จะหาได้ตอนนี้ ผมรู้ว่าห้องสมุดจะปกป้องผม จะโอบอุ้มผม จะปลอบโยนผม จะให้ไอเดียดีๆกับผมยามเมื่อผมจนปัญญา


ผมหาที่นั่ง เปิดไดอารี่ แล้วเริ่มเขียนลงไปในนั้นโดยไม่ต้องหยุดคิด ผมเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่แวบเข้ามาในหัวให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่มือของผมจะทำได้ เขียนโดยลายมือขยุกขยิกที่จะไม่มีใครอ่านออกนอกจากตัวผมเอง ในระหว่างการเขียนนั้นผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์อะไรสักอย่าง ผมไม่เมื่อยมือ กระแสความคิดไหลบ่าราวกับน้ำป่า มันท่วมสมองผม มันไหลอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากซะจนผมต้องออกแรงว่ายไปกับมันอย่างเต็มแรง ผมว่ายไปกับกระแสความคิดด้วยมือข้างขวาข้างนี้ที่กำลังจับปากกา ผมเขียนอย่างนั้นตั้งแต่หกโมงรู้ตัวอีกทีก็สามทุ่ม ที่ผมรู้ตัวเพราะผมกดปากกาแรงเกินไปจนกระดาษขาดดังแคว๊ก!


ผมมองสิ่งที่ตัวเองเขียน ผมเขียนไปเยอะพอสมควรจนไดอารี่ที่ผมเพิ่งซื้อมาหมดไปหนึ่งในสามของเล่ม และแน่นอนครับผมเขียนด้วยภาษาที่ตัวผมเองก็แทบจะอ่านไม่ออกถ้าไม่เพ่งดูดีๆ เอาเป็นว่าเรื่องที่ผมเขียนคงหาสาระอะไรไม่ได้มากแต่มันก็ช่วยลดอาการประสาทแดกของผมไปได้เยอะทีเดียว พออารมณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว ผมก็เริ่มกระบวนการการใช้ชีวิตโดยปกติของผมโดยการหาหนังสือดีๆมาอ่านสักเล่มเพื่อให้รู้สึกว่าผมไม่ได้ใช้เวลาวันๆโดยเปล่าประโยชน์เกินไปนัก


ตอนแรกผมไปค้นดูหนังสือในหมวดนิติศาสตร์  มันเป็นความต้องการลึกๆที่อยากจะอ่านหนังสือประเภทกฏหมายเบื้องต้นเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ด้วยความที่ผมไม่ใช่เด็กวิชาการแบบนั้นทำให้แทนที่จะดึงหนังสือกฏหมายออกมาอ่านเหมือนที่ตั้งใจเอาไว้ในเบื้องต้น ผมกลับเอาแต่ใจตัวเองโดยไปจับเอาหนังสือหน้าปกสีเขียวเล่มบางๆอีกเล่มหนึ่งมาแทน หนังสือเล่มนี้มันไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับกฏหมายเมืองไทยเลยครับ หน้าปกพิมพ์ตัวดำหนาบอกชื่อเรื่องว่า “365x10วันในคุกอินเส่ง” ผมพลิกหน้าแรกแล้วก็อ่านจนถึงหน้าสุดท้ายแบบไม่มีหยุดพัก บอกตามตรงมันเป็นหนังสือที่ให้กำลังใจผมได้ดีมากครับ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักศึกษาหนุ่มชาวพม่าคนหนึ่งที่ถูกจับเข้าคุกอินเส่งในพม่าในฐานะนักโทษการเมือง มันเป็นงานที่เขียนมาจากเรื่องจริงที่เขาติดคุก 10 ปี ตั้งแต่อายุ 18 และถูกปล่อยตอน 28 ปี เหตุเพียงเพราะโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร คนเขียนเริ่มต้นเล่าถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิต ความแร้นแค้นไม่มีกิน ทั้งๆที่ประเทศเขาก็มีชายแดนติดประเทศเราแค่นี้แต่คุณภาพชีวิตของคนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แม่เขาก็เก็บหอมรอมริบให้ลูกได้เรียนหนังสือ พอเริ่มเรียนหนังสือเขาก็รู้สิครับว่าที่รัฐบาลปฏิบัติกับประชาชนมันไม่ถูกต้อง พอโวยวายมากสุดท้ายก็ถูกจับเข้าคอกไปตามแบบฉบับรัฐเผด็จการ เรื่องราวอย่างนี้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นครับ บางทีถ้าผมเลือกเกิดผิดที่ห่างไปอีกไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ป่านนี้งานเขียนของผมคงทำให้ผมนอนเป็นไข้มาเลเลีย ตบยุงอยู่ในคุกหฤโหดแล้วก็เป็นได้


ผมดูนาฬิกา หาทุ่มครึ่ง ห้องสมุดจะปิดตอนเที่ยงคืน ผมคงต้องออกไปแล้วเพราะไม่อยากรอจนต้องถูกปิดไฟไล่ แต่ผมจะไปไหนได้ละครับ ที่แน่ๆผมไม่อยากกลับหอ ผมเหงา ผมเครียด ผมอยากไปในที่ๆผมจะไม่ต้องคิดอะไร และมันก็มีไม่กี่คนหรอกครับที่ผมรู้จักใน กทม ดังนั้นผมจึงล้วงมือถือขึ้นมากดโทร...


“ว่าไงวะ หายหน้าไปเลยนะมึง”


        “ช่วงนี้เรียนหนักอะพี่” ผมตอบ “แล้วตอนนี้พี่อยู่ไหน”


แค่ฟังเสียงดนตรีดังตึบๆที่ลอยเข้ามาก็ไม่ต้องบอกแล้วครับว่าพี่เค้าต้องเที่ยวกลางคืนอยู่สักที่อย่างแน่นอน ผมเดาว่าไม่เอกมัยก็ RCA แต่ผมว่าวันธรรมดาอย่างนี้น่าจะเป็นเอกมัยมากกว่า


“กูอยู่ซอย 10” พี่เค้าตอบ “มึงจะมาป่าววะ”


ผมเดาถูกครับ!


“ไปครับพี่ เดี๋ยวเจอกันครับ”


อันที่จริงผมเหนื่อยและไม่ค่อยอยากเที่ยวแล้วครับ แต่ที่ผมไปเป็นเพราะผมไม่มีที่ไป ความจริงถ้าเลือกได้ผมก็อยากจะหาตั๋วกลับต่างจังหวัดเลยนะครับ ประมาณกลับไปเยียวยาจิตใจ แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ ประสบการณ์สอนให้ผมสู้กับปัญหาด้วยตัวเองครับ ท้อแท้ได้ เหนื่อยได้ แต่อย่าแสดงออกให้คนที่เรารักรู้ เพราะถ้ารู้เค้าก็จะไม่สบายใจ และพอเค้าไม่สบายใจเค้าก็จะมาวุ่นวายกับเราเกินกว่าที่เราจะต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะแม่ของผมนั้นผมไม่อาจแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นได้เลยครับ เพราะคนเป็นแม่จะกังวลเกี่ยวกับเรามากกว่าที่เรากังวลเกี่ยวกับตัวเองหลายสิบเท่า


ดังนั้นพอมีอะไรผมก็จะช่วยเหลือตัวเองอย่างนี้ละครับ หากิจกรรมทำโดยพยายามปรับทัศนคติไปด้วย แล้วสุดท้ายถ้าเรายังไม่ตายยังไงเราก็ต้องผ่านปัญหาได้ครับ ผมเชื่ออย่างนี้และผมก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ ที่สำคัญผมจำเป็นต้องใช้ชีวิตตามที่ตัวเองเชื่อ ผมเกิดมาในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยครับ ถึงแม้มันยังคงเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆแต่มันก็ให้เสรีภาพกับผมพอสมควร มันคงแย่กว่านี้มากถ้าผมอยู่ในประเทศพม่าที่คนคิดต่างต้องอยู่ในคุก เมื่อผมโชคดีที่มีเสรีภาพแล้วผมก็ต้องดื่มด่ำกับเสรีภาพให้เต็มที่สิครับ ผมจะรับฟังแต่จะไม่เชื่อฟังใคร ผมจะประมวลข้อมูลและเชื่อหัวใจตัวเองเท่านั้น ดังนั้นเวลาพลาดขึ้นมาก็ไม่ต้องไปโทษใคร โทษตัวเอง ยอมรับว่าตัวเองผิด ถ้าผมทำได้ดังนี้แล้วผมจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมทำไปเลย เพราะมันเป็นการเลือกของตัวผมเองล้วนๆ ผมสูดอากาศเย็นๆในประเทศเสรีภาพด้วยความซาบซึ้ง


ผมย่องเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในหอ ที่ผมเรียกการเข้าหอว่าย่องเพราะในขณะนั้นเด็กหอปีหนึ่งทุกคนก็ยังคงอยู่ในห้องเชียร์ ผมเข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดเข้ารูปและกางเกงยีนส์ขาเดฟตามแฟชั่น รองเท้าหนังสีขาว ตบท้ายด้วยการเซตผม ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยอยากเที่ยวเท่าไร แต่ถ้าจะให้ผมแต่งตัวโทรมๆไปก็คงจะไม่สนุกนัก ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับบุคลิกทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม รวมถึงการพูดการจาพอสมควร เพราะคนเราถึงแม้จะหน้าตาไม่ดีก็ดูดีได้ด้วยการดูแลตัวเอง ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไปด้วยการออกกำลังกาย ถึงผมจะสูบบุหรี่จัดก็ไม่ได้แปลว่าผมจะละเลยกับการเอาใจใส่สุขภาพนะครับ ผมไม่ใช่คนสุดโต่งอะไร ถึงผมจะสูบบุหรี่ผมก็ออกกำลังกายและกินอาหารที่มีประโยชน์ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นการบาลานซ์ชีวิต


ถ้าชีวิตสมดุลบุคลิกที่ออกมาก็จะโอเคไปเอง ถึงแม้ในใจผมจะต่อต้านระบบอะไรมากมายแต่ผมก็อยากมีชีวิตในสังคมอย่างสงบสุข และจะมีอะไรที่จะทำให้เราใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขไปมากกว่าหนังแกะที่เรียกว่าบุคลิกซึ่งผมกำลังสวมอยู่นี่ละครับ ถ้าคุณบุคลิกดี พูดจาดี ดูมีความคิดคุณก็จะได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าสิ่งที่อยู่ในสมองของคุณจริงๆเสียอีก ยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆเช่นคุณอภิสิทธิ์กับคุณสมัคร ผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับการเมืองมากหรอกครับ และไม่สนใจด้วยว่าใครจะดีกว่าใคร สองคนนี้ผมแค่รู้สึกรำคาญคนหนึ่งที่เสนอหน้าเป็นผู้นำประเทศทั้งๆที่อัปลักษณ์และการพูดจาก็ไม่น่าฟัง ซึ่งถ้าเทียบกับอีกคนแล้วก็ไม่ต้องคิดเลยครับว่าจะศรัทธาใคร เหมือนคำที่ว่า คนเราจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว คนเราดีชั่วอยู่ในใจ แต่สูงต่ำอยู่ที่คนอื่นจะตัดสินครับ (เกิดมาเป็นสัตว์สังคมก็คงหนีไม่พ้นการถูกตัดสินอยู่แล้ว)


   ส่วนตัวผมนั้นผมตัดสินตัวเองไว้แล้วครับว่าผมเป็นคนเลว ผมมันเป็นมารสังคมดีๆนี่เอง ถ้ามีใครมาถามว่าผมเคยทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง ผมตอบไม่ได้หรอกครับ ผมแค่เป็นพวกปากหมาที่ชอบวิจารณ์คนอื่น โดยตัวเองก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อส่วนรวมเลย นักชีวะวิทยาคงเรียกผมได้เต็มปากว่ามึงมันเป็นปรสิตดีๆนี่เอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะสนุกกับชีวิตไม่ได้นี่ครับ... ผมเรียกแท็กซี่ บอกเป้าหมาย แล้วก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยของผมไปเหมือนเดิม


ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณก็คงจะสงสัยแล้วสิครับว่าผมกำลังจะไปเที่ยวกับใคร เขาชื่อพี่เซ็กซ์ครับ และแน่นอนนั่นเป็นชื่อเล่นที่เพื่อนตั้งให้เพราะไม่มีพ่อแม่คู่ไหนบ้าพอที่จะตั้งชื่อลูกได้สัปดนแบบนั้น เขาค่อนข้างจะเป็นวีรบุรุษของผม เขาเป็นคนแบบที่ผ่านความบัดซบต่างๆของชีวิตมาทุกรูปแบบแต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง และแน่นอนเช่นกันที่เขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการหล่อหลอมบุคลิกเพี้ยนๆของผม


ผมมาถึงหน้าร้านแล้วครับ ผ่านกำแพงการ์ดตรวจบัตรเข้าไปข้างในให้เสียงเพลงถล่มหูเล่น ผมโทรบอกให้เขาออกมารับ นั่นไงครับ เขาเดินถือแก้วเหล้าเบียดผู้คนที่แออัดแทบจะล้นทะลักออกนอกร้านออกมา


“แต่งตัวหล่อเลยนะมึง” เขาทักผม


“เป็นไงบ้างครับพี่” ผมทักกลับ “วันนี้ได้มากี่เบอร์แล้วล่ะ”


“เยอะแล้วว่ะ” เขาหัวเราะตอบ “ได้แต่เบอร์รองเท้านะ”


ผมเองก็ร่วมผสมโรงหัวเราะไปกับเขาด้วย พี่เซ็กซ์เดินนำผมไปยังโต๊ะข้างใน


ใช่ครับ... พี่คนนี้ผมเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่าเป็นพี่คนสนิทที่เสี้ยมสอนผมในเรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอนและเรื่องที่พ่อแม่ไม่กล้าสอน ด้วยความที่หน้าตาคล้ายๆกัน ส่วนสูงก็ไล่เลี่ยกัน ที่ผมมีสิทธิเที่ยวก็เพราะพี่เขาเนี่ยละครับที่ให้บัตรประชาชนเก่าของเขาให้ผมไว้ใช้ ด้วยความที่พี่เค้าเป็นคนสนุกสนานทำให้ผมติดพี่ตั้งแต่เด็ก แบบว่าไปไหนไปกัน ขี่มอเตอร์ไซค์ ตีสนุ๊ก ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ผมก็เริ่มโดยมีพี่คนนี้แนะนำเข้าสู่วงการ ถ้าใครจะไปว่าพี่เขาเป็นคนบาปพาน้องพานุ่งไปสู่อบายมุขก็ช่างเขาเถอะครับ พี่แกก็คงไม่ได้สนเรื่องบาปกรรมอะไรอยู่แล้ว และถ้าจะให้พูดตรงๆเลยด้วยนิสัยอย่างผมนี่ถึงพี่เค้าจะไม่พาไปผมก็ไปของผมเองได้อยู่แล้ว ดีซะอีกที่มีคนที่มีความรู้และรักเราเป็นผู้แนะนำ


พี่เซ็กซ์อายุเกือบสามสิบ ผิวแดงแดด ผอมสูง ผมยาวย้อมสีน้ำตาลรวบไว้ข้างหลัง แต่งตัวเก่ง คิ้วเข้ม หน้าตาคมสัน ไว้เครา พูดง่ายๆก็คือหล่อ เป็นคนแบบว่าถ้าเขาไม่พูดภาษาไทยออกมาคุณก็คงคิดว่าพี่แกเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นอะไรประมาณนั้น แกเป็นคนเที่ยวเก่งมากครับ สโลแกนเที่ยวทุกวันไม่เว้นวันนักขัตฤกษ์ ในตอนนี้พี่แกดูมีความสุขมาก มีผู้หญิงมาล้อมหน้าล้อมหลัง แต่กว่าพี่เขาจะมาถึงตรงนี้ได้เขาต้องผ่านความยากลำบากอย่างไม่น่าเชื่อ คือดูเผินๆคุณไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าไอ้คนที่ดูท่าทางไร้สาระขนาดนี้จะเป็นคนสู้ชีวิตตัวจริง ตอนนี้พี่เซ็กซ์แกกอดคอผมและพยายามจะเท Red เพียวๆเข้าปากผมโดยมืออีกข้างหนึ่งของเขากอดเอวผู้หญิงไปด้วย นั่นคงทำให้คุณเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมครับว่าไอ้เหี้ยนี่มันสู้ชีวิตตรงไหน


ผมจะบอกคุณเดี๋ยวนี้ละครับ...        






Free TextEditor


Create Date : 30 กันยายน 2552
Last Update : 30 กันยายน 2552 14:09:46 น. 0 comments
Counter : 567 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Chud S.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Chud S.'s blog to your web]